ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 10
บทที่ 10
ที่งานชุมนุมของตระกูล หลิ่วจาวเฟิงส่งของขวัญชิ้นใหญ่มาให้กับตระกูลแบบนั้น แน่นอนว่าต้องการสร้างสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหลี่แน่นอน หากเขาเป็นคนไปเจรจาล่ะก็ มันต้องราบรื่นอย่างแน่นอน โอกาสที่ดีแบบนี้ ทำไมถึงได้ให้หลี่เสว่เป็นคนแย่งไปกัน?
สำหรับตัวของหลี่ฝานเองแล้ว เขาได้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของหลันโปกั่งซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้โหวจวี๋กรุ๊ปที่ไม่อาจจะพูดอะไรได้มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเจรจาเงินทุนเลย
หลี่ฝานหันไปมองหลี่เสว่ก่อนจะพูดขึ้นว่า : “พวกเรามาเปลี่ยนกันหน่อยไหมล่ะเสว่เอ๋อ”
พูดจบเขาก็ยื่นมือไปเปลี่ยนเอกสารในมือทันที โดยไม่ให้โอกาสหลี่เสว่ได้โต้แย้งใดๆ เลย
ซึ่งทั้งเสียงและท่าทางที่เกิดขึ้น ต่างก็ดึงดูดสายตาของทุกคนได้เป็นอย่างดี
หลี่ฝานนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพูดกับนายท่านหลี่ว่า : “คุณปู่ครับ ความสัมพันธ์ของผมกับคุณชายหลิ่วเป็นไปด้วยดีเลยนะครับ หากผมไปล่ะก็ เรื่องเงินทุนต้องราบรื่นแน่นอนนะครับ ถ้าหากว่าเสว่เอ๋อไปล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่สำเร็จก็ได้นะครับ หรือไม่อาจจะถึงขั้นสูญเสียทุนก้อนใหญ่ไปเลยก็ได้นะครับ”
“ยิ่งไปกว่านั้น ที่หลันโปกั่งเองก็มีเพื่อนสมัยเรียนที่ผมรู้จักอยู่ หากเสว่เอ๋อเป็นคนไป ก็คงจะไม่ยากมากมายหรอกครับ พอถึงตอนนั้นแค่ผมบอกเขาคำเดียวก็น่าจะโอเคแล้วล่ะครับ”
นายท่านหลี่ส่งเสียงอืม ก่อนจะถามขึ้น : “เธอเห็นด้วยไหมล่ะหลี่เสว่?”
หากเทียบกับหลิ่วซื่อกรุ๊ปแล้ว การจะไปขอเงินทุนจากหลันโปกั่งมันยากเสียยิ่งกว่าอีก แต่เธอก็ยังคงพูดว่า : “เห็นด้วยค่ะ”
ทุกคนต่างก็ตะลึงไปตามๆ กัน
นี่เธอยอมไปที่หลันโปกั่งที่เป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้โหวจวี๋กรุ๊ปเลยนะ
แต่พอลองคิดๆ ดู หลี่เสว่ก็ไม่ค่อยได้รับความเอ็นดูจากนายท่านหลี่อยู่แล้ว แถมโอกาสดีๆ ยังต้องมาถูกหลี่ฝานแย่งเอาไปอีก
หลี่ฝานมองมาที่หลี่เสว่อย่างพึงพอใจ เพราะเขาเป็นหลานที่คุณปู่ให้ความสำคัญ
ส่วนหลี่เสว่นั้นเธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
ถึงแม้ว่าจะยากแค่ไหน แต่มันก็ดีกว่าการที่ต้องไปเจอหลิ่วจาวเฟิง เธออยากจะลองอาศัยกำลังตนเองเพื่อลองไปขอเงินทุนดู ถึงแม้ว่าจะทำไม่ได้ แต่เธอก็พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว
แต่ไม่ใช่เพียงเพราะเหตุผลนี้เท่านั้น แต่เธอทำไปเพื่อไป๋ยี่เฟยด้วย
วันนี้ตอนเช้าขณะที่กำลังจะออกไปข้างนอกนั้น ไป๋ยี่เฟยเห็นว่าหลี่เสว่ทำสีหน้าเป็นกังวล เขาจึงถามเธอว่าเธอเป็นอะไร
หลี่เสว่จึงเล่าเหตุการณ์เกี่ยวกับกิจการผลไม้หลี่ซื่อกรุ๊ปในตอนนี้ให้ฟัง ไป๋ยี่เฟยก็บอกกับเธอว่า ถ้าหากได้เจรจากับโหวจวี๋กรุ๊ปจริงๆ ล่ะก็ ก็ให้เธอทำอย่างสุดความสามารถ
ถึงแม้ว่าหลี่เสว่จะสงสัยนิดๆ แต่พอมองเห็นแววตาที่แน่วแน่ของไป๋ยี่เฟยเธอก็เชื่อเขาไปโดยปริยาย
หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันออกจากห้องไปทันที
“นี่หลี่เสว่โง่หรือเปล่าเนี่ย? โหวจวี๋กรุ๊ปไม่ใช่เป็นกิจการธรรมดาเลยนะ”
“ก็ใช่น่ะสิ นั่นเป็นกิจการหัวกะทิของเมืองเทียนเป่ยเลยนะ เขาจะมาสนใจกิจการผลไม้หลี่ซื่ออย่างพวกเราทำไมกัน?”
“เฮ้อ! การเจรจาของพี่ฝานคงเป็นไปได้ง่ายแน่นอนเลยล่ะ ส่วนหลี่เสว่นั้น ไม่พูดดีกว่า!”
หลี่เสว่ที่ได้ยินทุกคนซุบซิบนินทากันแบบนั้น เธอก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรไป
ทันทีที่เดินมาถึงหน้าประตู ลูกหลานของตระกูลหลี่แต่ละคนต่างก็อยู่กันพร้อมหน้า
พลันหลี่ฝานก็ส่งเสียงเรียกเธอ “เสว่เอ๋อ อยากให้พี่คนนี้ช่วยไปส่งเธอสักหน่อยไหมล่ะ? หากว่าเธอขับรถไปเอง พี่กลัวว่าเขาจะรังเกียจกิจการผลไม้หลี่ซื่อของพวกเราเข้าน่ะสิ ไม่แน่แม้แต่ประตูก็อาจจะไม่ให้เข้าเลยก็ได้นะ”
“ฮ่าๆ…” ทุกคนที่ได้ยินต่างก็พากันหัวเราะขึ้นมา
หลี่เสว่ขมวดคิ้ว พยายามไม่สนใจพวกเขา ก่อนจะเดินไปที่รถของเธอเอง
พลันหลี่ฝานก็เดินรุดหน้ามาหาเธอ “หลี่เสว่ นี่เธอจะไปขอเงินทุนกับหลันโปกั่งโดยที่ไม่ประเมินกำลังตัวเองเลยหรือ? เธออย่าเพ้อฝันไปสิ สู้กลับบ้านไปเลยจะดีกว่าไปขอเงินทุนให้สำเร็จนะ จะได้ไปอยู่กับสามีที่ไร้ประโยชน์ของเธอด้วยกันอย่างไรล่ะ!”
พลันหลี่เสว่ก็หยุดฝีเท้าลง ก่อนจะจ้องไปที่หลี่ฝานเขม็ง “ใครบอกว่าฉันทำไม่ได้ล่ะ?”
ขณะนั้นเองทุกคนต่างก็เงียบลงทันที
ในช่วงที่เงียบนั้นเอง หลี่ฝานก็หัวเราะเยาะขึ้นมา “กับคนแบบเธอน่ะนะ? เธอคิดว่าเธอเป็นใครกัน?”
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรล่ะ?” หลี่เสว่พูดอย่างเยือกเย็น
หลี่ฝานส่งเสียงหึในลำคอ “หึ ถ้าหากว่าเธอเจรจาสำเร็จจริงล่ะก็ พี่จะรีบคุกเข่าขอโทษต่อหน้าเธอเลย แล้วก็จะยกหลิ่วซื่อกรุ๊ปให้เธอไปเจรจาด้วย!”
“ตกลง!” หลี่เสว่กำหมัดพูด
พลันหลี่ฝานก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา นี่เธอกล้าจะตอบรับงั้นหรือ?
“ก็ดี ในเมื่อเธอตอบรับแล้ว แล้วถ้าหากว่าเธอเจรจาไม่สำเร็จล่ะ จะว่าอย่างไร?”
หลี่เสว่ส่งเสียงหึ “แล้วพี่ว่าควรทำอย่างไรดีล่ะคะ?”
“ถ้าหากว่าเธอเจรจาไม่สำเร็จล่ะก็ ฉันอยากให้เธอประกาศยอมรับว่า เธอกับตระกูลหลี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันอีกต่อไป!” หลี่ฝานพูดด้วยสีหน้าที่มืดทึมลง
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็แววตาเป็นประกาย ถ้าหากว่าหลี่เสว่ยอมรับว่าตัวเธอไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลหลี่ล่ะก็ พอถึงตอนแบ่งสมบัติกัน ก็จะไม่มีส่วนแบ่งที่ตกไปให้กับหลี่เสว่ ซึ่งพวกเขาต่างก็จะได้ส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นมา
หลี่เสว่ก็กัดฟันพูด “ตกลง!”
หลี่ฝานเห็นเธอตอบรับแบบนั้น ก็ยิ่งยิ้มอย่างพึงพอใจมากขึ้นไปอีก “ถ้าอย่างนั้นพี่จะรอข่าวดีจากเธอนะ!”
หลี่เสว่ไม่ได้สนใจอะไรเขาอีก ก่อนที่จะขับรถเตรียมที่จะกลับไปบ้านก่อนทันที
ระหว่างทาง หลิวจื่อหยุนแม่ของหลี่เสว่ก็โทรเข้ามา เป็นเพราะขับรถอยู่ เธอจึงไม่ได้รับสาย
แต่หลิวจื่อหยุนกลับโทรจี้เธอตลอดไม่หยุด ทำให้หลี่เสว่จำต้องหาที่จอดรถ เพื่อที่จะรับสายของเธอขึ้น
“คะแม่”
พอหลิวจื่อหยุนได้ยินเสียง ก็ตะโกนโพล่งออกมาทันที “นี่ปีกกล้าขาแข็งแล้วหรือไง? ถ้าหากไม่ใช่เพราะชิวหยิ่งบอกแม่ว่าลูกไปรับข้อเสนอของหลี่ฝานเข้า แม่ก็คงจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย! นี่ลูกยังมีพ่อกับแม่อยู่ในสายตาอยู่หรือเปล่า?”
หลี่เสว่ขมวดคิ้วแน่น หลี่ชิวหยิ่งเป็นพี่สาวเพียงคนเดียวในตระกูลหลี่ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธออยู่บ้าง
ทำให้ตอนที่เธอตอบรับเงื่อนไขของหลี่ฝานนั้น หลี่ชิวหยิ่งจึงรีบโทรไปบอกแม่ของเธอทันที
“แม่คะ อย่าเพิ่งรีบร้อนไปสิ เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่แม่คิดหรอกนะคะ” หลี่เสว่ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี
ไป๋ยี่เฟยยืนยันแน่วแน่ ให้เธอลองไปเจรจากับโหวจวี๋กรุ๊ปเสียขนาดนั้น เธอจึงทำได้เพียงต้องลองเชื่อใจไป๋ยี่เฟยดู ส่วนสาเหตุนั้น เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
แต่หลิวจื่อหยุนกลับไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น “ไม่ใช่อย่างที่แม่คิด แล้วมันอย่างไหนกันล่ะ? นี่ลูกตอบรับเงื่อนไขไปแล้วหรือ? และจะอย่างไรต่อล่ะ? ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ลูกรีบกลับมาหาแม่เดี๋ยวนี้เลย!”
หลี่เสว่ที่ได้ยินก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางสาย แล้วปิดเครื่องไปทันที
หลิวจื่อหยุนถอนมือถือออกมาดู ก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงไปบนโซฟา “จบเห่แล้ว!”
หลี่เฉียงตงเองที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างนิ่งเฉย เขาก็พูดขึ้นเพียงประโยคเดียว ทั้งๆ ที่ยังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ “เสว่เอ๋อควรจะเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้ว”
“คุณอย่าพูดอะไรเหลวไหลนะ!” พลันหลิวจื่อหยุนก็โมโหขึ้นมา “เห็นๆ อยู่ว่าเจรจาไม่มีทางสำเร็จ แต่ก็ยังตอบรับเงื่อนไขแบบนั้น นี่มันขุดหลุมฝังพวกเราอย่างเห็นได้ชัดเลย!”
“แล้วก็คุณด้วยอีก ถ้าหากคุณไม่ได้ไร้ความหวังแบบนี้ พวกเราจะมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้กันหรือ? คุณลองดูพี่น้องคนอื่นของคุณสิ มีใครบ้างที่เป็นเหมือนกับพวกเราน่ะ?”
หลี่เฉียงตงยังคงอ่านหนังสือพิมพ์ไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา
อีกฝั่งหนึ่ง หลี่เสว่ที่กลับมาถึงห้องเช่าของเธอเองแล้ว หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ เธอก็เตรียมที่จะออกไปที่หลันโปกั่งทันที
พลันไป๋ยี่เฟยก็พุ่งพรวดออกมาจากในห้อง พอเขาเห็นหลี่เสว่ก็ถามขึ้นว่า : “จะไปทำอะไรหรือ?”
“ไปเจรจาเรื่องเงินทุน ที่กิจการอสังหาริมทรัพย์หลันโปกั่งน่ะ”
ไป๋ยี่เฟยก็พยักหน้าอย่างเรียบเฉย “อ้อ”
แค่ถามคำตอบคำก็จบแค่นั้น จากนั้นหลี่เสว่ก็ออกไปทันที
พอเห็นว่าหลี่เสว่เดินออกไปแล้ว ไป๋ยี่เฟยก็ยกหูขึ้นโทรออก “โอนสายไปให้ผู้จัดการที่หลันโปกั่งหน่อยสิ”
……
ทันทีที่หลี่เสว่มาถึงหน้าประตู ก็มีผู้หญิงสวมชุดทำงานสีดำเดินออกมาต้อนรับ “ไม่ทราบว่าคุณคือคุณหลี่เสว่หรือเปล่าคะ?”
หลี่เสว่รู้สึกประหลาดใจนิดๆ แต่ก็รีบพยักหน้ารับทันที “ใช่ค่ะ ฉันเองค่ะ”
ผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มมาให้เธอ “สวัสดีค่ะคุณหลี่ฉันเป็นผู้ช่วยของผู้จัดการชื่อว่าเสี่ยวโจวนะคะ เชิญทางด้านนี้เลยค่ะ”
หลี่เสว่จึงเดินตามเสี่ยวโจวไปจนมาถึงที่ห้องทำงานของผู้จัดการ
ผู้จัดการเป็นผู้ชายอายุอานามประมาณห้าสิบปี รูปร่างดูเตี้ยนิดๆ แต่ก็ไม่ได้กระทบอะไรกับสง่าราศีที่เขามีเลย
“สวัสดีครับคุณหลี่” พอผู้จัดการเห็นหลี่เสว่เขาก็ลุกขึ้นยืนทักทายทันที
หลี่เสว่เองก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองถูกดูแลเป็นอย่างดี “สวัสดีค่ะผู้จัดการ”
หลังจากที่เขาพยักหน้ารับ เขาก็หยิบเอกสารออกมายื่นให้หลี่เสว่ทันที “นี่เป็นสัญญาของเรานะครับคุณหลี่คุณลองดูก่อนนะครับ ถ้าหากว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็สามารถเซ็นชื่อไปได้เลยครับ”
หลี่เสว่รับเอกสารสัญญานั้นมามองด้วยท่าทีที่ตกตะลึง
“ระ…ร้อยล้าน?”
หลี่เสว่เบิกตาโพลงอย่างตื่นตะลึง
กิจการผลไม้หลี่ซื่อกรุ๊ปก็เป็นแค่ธุรกิจเล็กๆ ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดการณ์ เงินทุนที่ต้องการก็แค่ประมาณห้าสิบล้าน แต่เงินห้าสิบล้านี้พวกเขาไม่สามารถหามาได้ ดังนั้นจึงต้องการระดมทุน แต่กับโหวจวี๋กรุ๊ปนี้ กลับระดมเงินให้ตั้งร้อยล้าน!
แถมยังให้โดยที่ไม่ถามสภาพการณ์อะไรเลยสักคำ สิ่งนี้ทำให้หลี่เสว่ยากที่จะเชื่อลงจริงๆ
ขณะที่หลี่เสว่เดินออกมาจากหลันโปกั่งนั้นเอง เธอก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังฝันอยู่อย่างไรอย่างนั้น
นี่เจรจาง่ายขนาดนี้เชียวหรือ?