ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 1022
มองเห็นไป๋ยี่เฟยที่เป็นเช่นนี้ เมิ่งเซินพลันตระหนกวาบ ท่าทางเช่นนี้ของไป๋ยี่เฟย ไม่ต่างอะไรกับคนเสียสติ
นิ่งไปชั่วครู่ จึงกล่าวว่า “แต่ความสามารถของนายในตอนนี้ทำไม่ได้อย่างแน่นอน”
“นายไปแก้แค้นทั้งอย่างนี้ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย”
ไป๋ยี่เฟยกลับพูดอย่างแน่วแน่ยิ่งว่า “ผมทำได้!”
เมิ่งเซินส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “จีไซสำเร็จมหาแดนเทพยุทธ์แล้ว ห่างชั้นกับนายไม่ใช่แค่ขั้นเดียว นายจะฆ่ายังไง?”
“หยุนอิงก็จะเข้าสู่แดนเทพยุทธ์แล้วเช่นกัน นอกจากนี้ สหพันธ์วรยุทธยังมีผู้แข็งแกร่งของแดนเทพยุทธ์อยู่อีกคน”
“ซึ่งนายในตอนนี้อยู่แค่ขั้นระดับที่หนึ่งชั้นกลางเท่านั้น ชั้นกลางห่างชั้นกันมากแค่ไหนนายน่าจะรู้นะ”
“ดังนั้นนายจะแก้แค้นยังไง?”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็กำหมัดตัวเองแน่น กัดฟันอย่างเอาเป็นเอาตาย จนเส้นเลือดดำบนหน้าผากนูนขึ้นมา
หลังเงียบไปพักหนึ่ง ไป๋ยี่เฟยก็พูดว่า “ให้เวลาผมหนึ่งเดือน”
เมิ่งเซินกลับส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ต่อให้นายมีพรสวรรค์สูงแค่ไหน เพียงเวลาหนึ่งเดือนก็ไม่มีทางบรรลุถึงแดนเทพยุทธ์ได้”
“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้นายบรรลุถึงแดนเทพยุทธ์ ก็สู้จีไซไม่ได้อยู่ดี เพราะจีไซสำเร็จขั้นมหาแดนเทพยุทธ์แล้ว!”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินก็กล่าวขึ้นเสียงเรียบว่า “จะทำลายอิทธิพลหนึ่งให้สิ้นซาก ไม่ได้พึ่งแค่พลังยุทธเพียงอย่างเดียว”
เมิ่งเซินนิ่งไป เหมือนว่าไม่เข้าใจคำพูดของไป๋ยี่เฟยอยู่บ้าง
เวลานี้ จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็ถามว่า “อาจารย์ลุง ศิษย์ที่พวกคุณส่งมามีคนที่ชื่อว่าเหลียนยินใช่ไหม?”
เมิ่งเซินพยักหน้า “ใช่ เขาคือศิษย์ของสำนักเฟยซิน”
จากนั้นเมิ่งเซินก็เล่าสถานการณ์ภาพรวมของสำนักเมิ่งซินในตอนนี้ให้ไป๋ยี่เฟยฟัง
เจ้าสำนักของสำนักเฟยซินชื่อว่าหยุนฉี อยู่ระดับเดียวกับเมิ่งหลิน แต่แข็งแกร่งกว่าเมิ่งเซิน
ตอนนั้นเมิ่งหลินเอาแต่หลงใหลกับการฝึกฝนอย่างหนัก ไม่สนใจตำแหน่งเจ้าสำนัก ดังนั้นตำแหน่งเจ้าสำนักจึงมอบให้หยุนฉี
แม้สำนักเฟยซินจะเป็นสำนักหนึ่ง แต่ในสำนักเองก็แบ่งอิทธิพลออกเป็นสามฝั่ง หนึ่งฝั่งในนั้นก็คืออิทธิพลของตำแหน่งประมุขสำนัก อีกหนึ่งฝั่งก็คืออิทธิพลของเมิ่งเซิน และหนึ่งฝั่งสุดท้ายเป็นอิทธิพลของซ่านฉ่าย
อิทธิพลทั้งสามฝั่งนี้มักต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกันเองทั้งในที่แจ้งและในที่ลับเสมอ แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องภายใน ถ้าเป็นภายนอกล่ะก็ หากมีศัตรูภายนอกบุกรุกเข้ามา อิทธิพลทั้งสามฝั่งจะสามัคคีกลมเกลียวกันในพริบตา
นี่ก็คือเหตุผลที่สหพันธ์วรยุทธไม่กล้าแตะต้องสำนักเฟยซิน
ไป๋ยี่เฟยพูดกับเมิ่งเซินว่า “ผมอยากฆ่าเขา!”
เมิ่งเซินนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้พัวพันไปถึงภายในของเขาจริงๆ แต่เขาเป็นศิษย์ของเจ้าสำนัก หากนายอยากฆ่าเขาล่ะก็……”
“อันที่จริง ก็ทำได้”
“ขอเพียงไม่อยู่หนานเหมินก็ทำได้แล้ว”
“แต่ เหลียนยินก็เหมือนกับหยุนอิง ล้วนเป็นคนที่เท้าเหยียบเข้าไปในแดนเทพยุทธ์ครึ่งก้าว นายในตอนนี้ เกรงว่าคงไม่มีความสามารถถึงขั้นจะฆ่าเขาได้”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินเช่นนี้ก็อดใคร่ครวญขึ้นมาไม่ได้
……
หลังเมิ่งเซินจากไป คนเหล่านั้นเมื่อสักครู่ก็เข้ามาเยี่ยมเยียนตนทีละคนๆ จากนั้นก็กำชับว่าให้ตนรักษาอาการบาดเจ็บให้ดี สุดท้ายก็บอกลาเขาแล้วจากไป
แม้คนเหล่านี้เขาจะไม่รู้จักเลยสักคน แต่ก็ทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่น
หลังคนเหล่านี้จากไปแล้ว ยีหยุนก็เข้ามา
เธอยกโจ๊กเปล่าชามหนึ่งมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง จากนั้นก็วางไว้บนตู้หัวเตียง “ทานโจ๊กรองท้องก่อนเถอะ”
ไป๋ยี่เฟยได้กลิ่นพิเศษมากกลิ่นหนึ่งบนตัวยีหยุน เขาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
ยีหยุนกล่าวว่า “กำลังเสริมาของสหพันธ์วรยุทธมาถึง ต้องการจะจับตัวนายไป คนของสำนักเฟยซินมาถึงทันเวลา บอกว่าคุณเป็นศิษย์ของเมิ่งหลิน เป็นคนของสำนักเฟยซิน”
“ต่อจากนั้น คนของสหพันธ์วรยุทธก็บอกว่าจะนำเรื่องนี้ไปบอกแก่ประมุขของสหพันธ์ จีไซ”
ไป๋ยี่เฟยไม่ค่อยสนใจเรื่องเหล่านี้เท่าไหร่นัก จึงถามอีกว่า “แล้วต่อจากนั้นล่ะ? เพื่อนของผมเธอ……”
ยีหยุนกล่าวว่า “นำร่างกลับมาแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า ถามยีหยุนอีกว่า “แล้วคุณ……มีแผนการอะไรต่อไป?”
ยีหยุนแววตาหมองหม่นอย่างมาก “ตอนแรกฉันคิดจะฆ่าท่านดยุกแล้วสวมรอยเป็นเขา แต่ฉันคิดง่ายเกินไป ฉันฆ่าเขาไม่ได้โดยสิ้นเชิง”
“ผมช่วยคุณได้” ไป๋ยี่เฟยพูด
ยีหยุนหัวเราะเสียงขื่น กล่าวว่า “ไม่มีประโยชน์ ต่อให้ตอนนี้ฉันฆ่าท่านดยุกไป ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว สหพันธ์วรยุทธไม่มีทางปล่อยฉันแน่”
ไป๋ยี่เฟยกล่าวอีกว่า “งั้นคุณไปกับผม”
“ไปไหน?”
……
ห้าวันให้หลัง อาการบาดเจ็บของไป๋ยี่เฟยเกือบจะหายดีแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งเครื่องบินกลับเมืองเทียนเป่ย
เครื่องบินสำนักเฟยซินเป็นคนจัดเตรียมให้
ก่อนที่จะจากไป พวกศิษย์น้องศิษย์หลานต่างมากล่าวลาเขา
นี่ทำให้ไป๋ยี่เฟยประทับใจมาก ในใจจดจำคนกลุ่มนี้ไว้อย่างเงียบๆ คิดจะตอบแทนพวกเขาภายหลัง
……
เครื่องบินกำลังลงสู่ผืนดินเมืองเทียนเป่ย
หลังไป๋ยี่เฟยลงจากเครื่องบินก็ยังไม่รีบกลับบ้านทันที ตรงไปยังสำนักงานใหญ่เฟยเสว่กรุ๊ป
เขาคิดถึงหลี่เสว่กับลูกเขามาก แต่มีบางเรื่องที่เขาจำเป็นต้องทำในตอนนี้
ไป๋ยี่เฟยเพิ่งจะเดินมาหยุดยังหน้าประตูห้องทำงานประธาน ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังเป็นชุดมาจากข้างใน
“หลงหลิงหลิง!”
“ตกลงเธอจะไว้หน้ากันหรือเปล่า?”
“เธอก็แค่พนักงานคนหนึ่ง มีอะไรน่าอวดดี? อย่าคิดว่าติดตามไป๋ยี่เฟย ก็สามารถโบยบินสู่ยอดไม้กลายเป็นหงส์ได้!”
“ฉันจะบอกเธอให้นะ คุณชายของเราถูกใจเธอนั่นคือความโชคดีของเธอ คนอื่นอยากมียังไม่อาจมีได้ เธออย่ามาเสแสร้งอยู่ที่นี่ให้ฉันเลย?”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที จึงหยุดฝีเท้าไว้
ยีหยุนที่ตามอยู่ข้างหลังเขาก็หยุดลงเช่นกัน
ยีหยุนยังคงมาด้วยกันกับไป๋ยี่เฟย เพราะว่าอยู่ที่หนานเหมิน ไม่มีสถานที่ที่ทำให้เธออยู่ต่อไปได้อีกแล้ว สู้ตามไป๋ยี่เฟยมาแผ่นดินใหญ่ภาคเหนือไม่ดีกว่าหรือ
จากนั้นเสียงเจือแววโกรธของหลงหลิงหลิงก็ดังออกมา “หลิวเตา ฉันเคยบอกแล้วว่าฉันกับประธานไป๋ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแบบนั้น อีกทั้งฉันไม่ได้ชอบคุณชายบ้านนายเลยสักนิด”
เสียงของผู้ชายดังออกมาอีกครั้ง “นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเธอ! คุณชายบ้านฉันถูกใจเธอ ก็ต้องไปแต่โดยดี!”
“งานเลี้ยงคืนนี้ เธอต้องไป ไม่อย่างนั้น……”
“นายคิดจะทำอะไร?” หลงหลิงหลิงถามเสียงโกรธ
ชายคนนั้นหัวเราะเสียงเย็น “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะอยู่ห้องทำงานไปได้ตลอด มิหนำซ้ำ พ่อแม่เธอก็ยังอยู่สินะ?”
หลงหลิงหลิงพลันร้อนใจ “นายขู่ฉัน?”
ชายคนนั้นกล่าวขึ้นอย่างโอหังเป็นอย่างยิ่งว่า “ก็ขู่เธอนั่นแหละ เธอจำไว้ให้ดี สองทุ่มคืนนี้ ภัตตาคารหมิงย่าน ทางที่ดีเธอจงใคร่ครวญให้ดีว่าจะไปหรือไม่ไปกันแน่?”
“คุณชายรอเธอแค่ครึ่งชั่วโมง หากนานกว่านี้ไม่รอ”
พูดประโยคนี้จบ ชายคนนั้นก็เปิดประตูเดินออกไป
เพิ่งจะออกมาก็ชนเข้ากับไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยเหลือบตามองเล็กน้อย ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้อายุน่าจะประมาณยี่สิบปี ผิวขาวมาก หน้าตาออกไปทางผู้หญิงอยู่บ้าง
เขามองไป๋ยี่เฟยด้วยสายตาเย็นชา ถึงขนาดผลักไป๋ยี่เฟยทีหนึ่งด้วย “หลีกทางให้ฉัน อย่ามาขวางทาง!”
หลังผลักไป๋ยี่เฟยออกไปก็เดินไปอย่างอวดดีเป็นที่สุด
ไป๋ยี่เฟยในตอนนี้ไม่มีทางไปทะเลาะกับคนธรรมดาเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจเขา แต่เดินเข้าไปในห้องทำงานแทน
พอเข้าไปในห้องทำงาน ก็เห็นหลงหลิงหลิงในชุดทำงานกำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่าง สองมือปิดหน้า ไหล่สั่นเล็กน้อย ราวกับกำลังร้องไห้เสียงเบา
เธอไม่ได้สนใจคนที่เข้ามาในห้องทำงาน
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยจึงเคาะประตู
หลังหลงหลิงหลิงได้ยินเสียง ก็รีบใช้มือเช็ดน้ำตาที่หางตาทันที น้ำเสียงก็ปรับให้จริงจังขึ้น “เข้ามา”
ทว่าพอเธอกล่าวจบ ศีรษะก็หันไปเห็นไป๋ยี่เฟย จึงชะงักไปก่อนเล็กน้อย ต่อมาก็กล่าวอย่างดีใจว่า “ประธานไป๋!”
หลงหลิงหลิงในเวลานี้ใบหน้าเจือรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ ราวกับว่าความเศร้าสร้อยกับเสียใจเมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ถามว่า “คนเมื่อกี้เป็นใคร?”