ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 1029
ไป๋ยี่เฟยมองเขาอย่างเย็นชา “รนหาที่ตาย?”
“แกเป็นใครกันแน่?” ความหวาดกลัวในดวงตาของบอดี้การ์ดเอ่อล้นออกมา
ไป๋ยี่เฟยยิ้มเย็นกล่าวว่า “ทำตัวดีๆ หน่อย ไม่อย่างนั้น ฉันไม่ถือสาที่จะฆ่าแกตอนนี้หรอกนะ!”
……
ไป๋ยี่เฟยหิ้วคนพาไปโรงพยาบาลโว่หลง หลังป้อนยาเม็ดหนึ่งให้เขาแล้วก็มอบให้ซูต้าหลิว “เอาคนไปขังไว้ เฝ้าให้ดี รอฉันว่างแล้วค่อยมาสอบสวนเขา”
ซูต้าหลิวนำคนไปขังไว้ในห้องใต้ดินอย่างนอบน้อมเป็นพิเศษ ห้องใต้ดินแห่งนี้ก็คือที่ที่เคยขังเย่อ้าย
หลังทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ ไป๋ยี่เฟยถึงขับรถกลับบ้าน อยู่ร่วมกับภรรยา
……
หลิวเสี่ยวอิงหยิบมือถือออกจากบ้าน ทางหนึ่งโทรทางหนึ่งวิ่งไปในคฤหาสน์ของไป๋ยี่เฟย น่าเสียดายระหว่างทางโทรไม่ติด สุดท้ายไป๋ยี่เฟยถึงกับยังปิดโทรศัพท์!
“บัดซบ!”
โชคดีที่บ้านของหลงหลิงหลิงอยู่ไม่ไกลกับบ้านของไป๋ยี่เฟย หลิวเสี่ยวอิงใช้เวลาไม่กี่นาทีก็วิ่งมาถึง
มาถึงหน้าประตู เธอกำลังเตรียมจะเคาะประตู จู่ๆ ก็มีเงาคนเดินออกมาตรงมุมมืดด้านข้าง
“แก! แกมันนังคนหน้าไม่อาย ดึกดื่นสวมชุดแบบนี้มาบ้านคนอื่น แกอยากทำให้ฉันโกรธจนตายใช่ไหม!” คนคนนั้นตะคอดใส่หลิวเสี่ยวอิงด้วยความโมโห
หลิวเสี่ยวอิงตกใจจนสะดุ้งโหยง หลังเงาคนร่างนั้นเดินออกมาถึงได้เห็นชัด ถึงกับเป็นพ่อตัวเอง!
“พ่อ! ทำไมพ่อมาอยู่ที่นี่ได้?”
หลิวโก๋จงเดินเข้ามาแค่นเสียงเย็นว่า “ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่ได้? ฉันก็ต้องใช้เท้าเดินมาที่นี่น่ะสิ แกแต่งตัวแบบนี้เพื่อจะมาล่อลวงสามีบ้านคนอื่นใช่ไหม!”
“ช่างเป็นตัวอับอายของตระกูล! ช่างเป็นตัวอับอายของตระกูลจริงๆ!” หลิวโก๋จงพูดไม่หยุด ดวงตาก็แดงด้วยความโกรธ
เวลานี้หลิวเสี่ยวอิงกำลังร้อนใจ “พ่อ ไม่ใช่แบบนั้น หลิงหลิงเธอ……”
ผลคือยังพูดไม่ทันจบ หลิวโก๋จงก็สลัดมือทีหนึ่ง ซัดผงสีขาวกลุ่มหนึ่งใส่หน้าของหลิวเสี่ยวอิง พริบตาหลิวเสี่ยวอิงก็ไม่รู้สึกตัวอีก
หลิวโก๋จงเอื้อมมือมากอดหลิวเสี่ยวอิงไว้ทันที จากนั้นก็มองประตูบ้านไป๋ยี่เฟยอย่างเย็นชา กล่าวเสียงเย็นว่า “ไป๋ยี่เฟย! ฉันจะทำให้แกเสียใจภายหลัง!”
หลังกล่าวจบ เขาก็อุ้มหลิวเสี่ยวอิงเดินออกไปจากที่นี่
หลังเขาจากไปไม่นาน ไป๋ยี่เฟยก็กลับมา
ก่อนจะกลับมาไป๋ยี่เฟยได้อาบน้ำที่โรงพยาบาลมาแล้ว เวลานี้พอกลับมาก็มองเห็นแสงไฟลอดออกมาจากซอกประตูห้องนอน รู้ว่าหลี่เสว่ยังรอตนอยู่ ในใจก็ตื้นตันเล็กน้อย
ดังนั้นเขาจึงเดินไปยังห้องโดยไม่หยุดสักเสี้ยววินาที
เพียงแต่ตอนที่กำลังเดินผ่านระเบียงทางเดิน ได้มองเห็นคนที่ระเบียงทางเดิน จึงชักงักไป
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนฝีเท้า เดินไปยังระเบียงทางเดินแทน
ซินชิวกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย อาศัยแสงจันทร์ ก้มหน้าถักเสื้อไหมพรม อีกทั้งยังถักอย่างจริงจังมาก จนไม่ได้สังเกตถึงการมาของไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยพลันประหลาดใจยิ่งยวด
“อาจารย์ลุง……”
หลังซินชิวได้ยินเสียงก็สะดุ้งทีหนึ่ง ตกใจจนรีบเอาเสื้อไหมพรมกับด้ายไหมพรมที่อยู่บนขาไปซ่อนไว้ แต่ซ่อนไว้ได้ครึ่งหนึ่ง ก็ราวกับรู้สึกว่าไร้ประโยชน์ จึงหัวเราะออกมาเสียงขื่น ไม่ได้ขยับอีก “เฮ้อ ถูกนายพบเข้าจนได้”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย
ซินชิวถอนหายใจกล่าวอย่างจนใจ “นายมองออกแล้วสินะ ฝีมือฉันสู้นายไม่ได้แล้ว”
ไม่ผิด นี่ก็คือเหตุผลที่ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้ว
ตอนที่เขาเดินเข้ามา ซินชิวถึงกับไม่เห็นเขา ถึงขนาดที่เขามายืนอยู่ด้านหลังซินชิวแล้ว ก็ยังไม่เห็นเขา
หลังไป๋ยี่เฟยชะงักไปชั่วครู่ก็ถามว่า “งั้นฝีมือคุณตอนนี้อยู่ระดับไหน?”
“น่าจะระดับที่หนึ่งชั้นต่ำล่ะมั้ง” ซินชิวถอนหายใจกล่าว
ไป๋ยี่เฟยถามอีกว่า “แล้วคุณยังจะถดถอยลงอีกไหม?”
ซินชิวมีความโศกเศร้าเต็มใบหน้า “น่าจะนะ”
ไป๋ยี่เฟยถามต่อว่า “แล้วสุดท้ายคุณจะถดถอยไปถึงขั้นไหน? จะกลายเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งไหม?”
ซินชิวส่ายหน้า ไม่ได้เอ่ยปากพูด
จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็ยิ้มออกมา “งั้นตอนนี้หากผมอยากฆ่าอาจารย์ลุง ก็ทำได้ง่ายดายเลยไม่ใช่หรือ?”
ซินชิวเงยหน้ามองไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยหัวเราะแหะๆ “นั่นแน่ อาจารย์ลุง ผมแค่ล้อคุณเล่นเฉยๆ”
หลังกล่าวจบจู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “อาจารย์ลุง คุณเคยได้ยินชื่อตระกูลหวังไหม?”
“ตระกูลหวัง?” ซินชิวขมวดคิ้ว
ไป๋ยี่เฟยให้จางหัวปินไปสืบ สืบไม่เจอสิ่งที่เป็นประโยชน์ใดๆ เลย ดังนั้นจึงคิดมาลองถามซินชิวดู เพราะอย่างไรซินชิวก็อยู่มานานขนาดนั้น รู้อะไรมากกว่าพวกเขา
อีกทั้งไป๋ยี่เฟยรู้สึกว่าที่ตระกูลหวังสามารถเติบโตขึ้นมาได้รวดเร็วขนาดนั้น เบื้องหลังจะต้องมีอิทธิพลหนึ่งที่ยิ่งใหญ่มากแน่
ซินชิวครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่บ้างว่า “หากตระกูลหวังที่นายพูดถึงคือตระกูลหวังนั้นเมื่อห้าสิบปีก่อนล่ะก็ อย่างนั้นฉันแนะนำว่าทางที่ดีนายอย่าไปยั่วโมโหพวกเขาจะดีกว่า”
“เพราะอะไร?” ไป๋ยี่เฟยไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก “หรือพวกเขายังร้ายกาจกว่าสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงใช่ไหม?”
ซินชิวส่ายหน้าเล็กน้อยพลางพูดว่า “ฉันเองก็ไม่แน่ใจ”
จากนั้นเขาก็เล่าประวัติศาสตร์ในช่วงร้อยปีก่อนให้ไป๋ยี่เฟยฟัง
เมื่อร้อยปีก่อน หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง แต่ละประเทศล้วนอยู่ในช่วงพักฟื้น ซึ่งวงศ์ตระกูลบางส่วนก็ฉวยโอกาสนี้สั่งสมยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกนี้ไว้เป็นจำนวนมาก
ตระกูลหวังก็คือหนึ่งในนั้น ซึ่งธุรกิจมากมายที่ตระกูลพวกเขาทำล้วนแต่เป็นธุรกิจดำมืด อาศัยยุคสมัยแห่งความวุ่นวายนั่น ทำให้พวกเขาค่อยๆ เติบโตขึ้นมา
แต่ต่อมาเมื่อประเทศมั่นคงแล้ว ตระกูลเหล่านั้นรู้ว่าไร้หนทางจะเป็นปฏิปักษ์กับประเทศ มีบางตระกูลเลือกที่จะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ และบางตระกูลที่เหมือนกับว่าสูญหายไป หลบซ่อนตัวอยู่
เมื่อห้าสิบปีก่อน หลายตระกูลจู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมา ซึ่งเพราะการแก่งแย่งผลประโยชน์ระหว่างตระกูลพวกเขา และระหว่างตระกูลก็เกิดการแก่งแย่งกันเอง สถานการณ์ในตอนนั้นจึงน่าเวทนาเป็นอย่างมาก ยอดฝีมือระดับที่หนึ่งจำนวนนับไม่ถ้วนต้องมาจบชีวิตเพราะเหตุการณ์นี้ ถึงขนาดที่ว่ายอดฝีมือแดนเทพยุทธ์ก็ยังปรากฏตัวออกมา
และในเวลานั้น เยว่เองก็หายสาบสูญไปในเวลานี้เช่นกัน
พวกเขาต่างพูดกันว่าเขาตายแล้ว แต่กลับไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเขาตายแล้ว ต่อมาเพราะเขาไม่เคยปรากฏตัวมาตลอด ทุกคนจึงได้เชื่อว่าเขาตายแล้ว
และเพราะเหตุนี้เอง ผู้ฝึกยุทธในแผ่นดินใหญ่ภาคเหนือจึงซบเซาเช่นนี้
แต่ก็ไม่มีใครรู้เหตุผลเช่นกันว่า หลังศึกใหญ่แต่ละครั้งของตระกูลเหล่านี้ จู่ๆ พวกเขาก็จะหายสาบสูญไป
ไป๋ยี่เฟยถามด้วยความประหลาดใจว่า “ “แม้แต่คุณเองก็ไม่รู้เหรอ?”
ซินชิวส่ายหน้าพูดว่า “ฉันในเวลานั้นยังไม่ถึงขั้นแดนเทพยุทธ์”
“แล้วก็เป็นเพราะฉันไม่ได้เข้าร่วมกับพวกนั้น ดังนั้นฉันจึงมีชีวิตรอดจนถึงตอนนี้ คนที่เก่งกว่าฉันพวกนั้นล้วนตายกันหมดแล้ว ฉันจึงกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด”
ไป๋ยี่เฟย “……”
ซินชิวเตือนไป๋ยี่เฟยว่า “หากเป็นตระกูลหวังนั้นจริง ทางที่ดีนายอย่าไปยั่วโมโหเขาดีกว่า”
“เพราะอะไร?” ไป๋ยี่เฟยยังคงไม่เข้าใจ
ซินชิวกล่าวเสียบราบเรียบว่า “อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า”
ไป๋ยี่เฟยคาดเดาว่าตระกูลหวังนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลที่เร้นกายจากโลกนี้ก่อนหน้านี้จริง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ พวกเขาจะสามารถเอาชนะตระกูลเย่ได้อย่างสบายๆ ได้อย่างไร
ซึ่งนับดูแล้ว สี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงเมื่อเทียบกับตระกูลโบราณเหล่านั้นแล้ว ยังอ่อนเกินไปจริงๆ พวกเขาเพียงได้ซินชิวภายหลังถึงได้ลอยขึ้นมาเท่านั้น
……
หลังไป๋ยี่เฟยกับซินชิวคุยกับเสร็จก็กลับไปยังห้องนอน
เห็นหลี่เสว่กำลังนอนอยู่บนเตียง ไป๋ยี่เฟยจึงลืมเรื่องรบกวนจิตใจเหล่านั้นไปชั่วคราว เขาถอดเสื้อนอกออกอย่างรวดเร็ว โผเข้าไปหาอย่างรีบร้อน
เหมือนหลี่เสว่จะหลับไปแล้ว ใบหน้ายามหลับของเธอสงบนิ่งทำให้ไป๋ยี่เฟยหวั่นไหวมากขึ้นกว่าเดิม
ไป๋ยี่เฟยที่โผเข้าหาอดทนไม่ไหวก้มหน้าลงไปจูบหลี่เสว่ ยิ่งจูบก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้น มือของหลี่เสว่ก็โอบลำคอของไป๋ยี่เฟยไว้
……
หลังร่วมรักกันไปหนึ่งยก ไป๋ยี่เฟยก็ใช้มือข้างหนึ่งโอบหลี่เสว่ไว้ มืออีกข้างก็ถือบุหรี่มวนหนึ่งที่จุดไฟไว้ สูบเข้าไปทีหนึ่ง
มือเล็กของหลี่เสว่กำลังลูบตรงบาดแผลบนไหล่ของไป๋ยี่เฟยอย่างแผ่วเบา เธอถามว่า “หนนี้อันตรายมากใช่ไหม?”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้าพูดว่า “ไม่อันตราย ก็แค่อุบัติเหตุเล็กน้อยเท่านั้น แต่สามีคุณเป็นใคร? อุบัติเหตุเล็กๆ แค่นี้ไม่ครณามือผมหรอก ด้วยความสามารถและไหวพริบของผม ก็แก้ไขทุกอย่างได้อย่างสบายๆ”