ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 1032
ชายชรากลับใช้มือตบๆหมายักษ์ทั้งสองตัว “กลับไปในกรงก่อน ไม่งั้นอาจจะตายได้!”
หมายักษ์เหมือนฟังภาษาคนรู้เรื่อง ยื่นมือให้ชายชราครั้งนึง ก่อนที่จะกลับเข้าไปในกรงอย่างเชื่อฟัง
ถัดจากนั้นชายชราจึงพูดว่า “มีเพียงยอดฝีมือระดับหนึ่งชั้นกลางเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้ค่ายมายาด้านนอกทำงานได้”
ไป๋ยี่เฟยเข้าใจขึ้นมาได้ภายในพริบตา ในขณะเดียวกันเขาก็ได้ระมัดระวังตัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน เพราะไม่ใช่ใครก็ได้ที่สามารถใจเย็นขนาดนี้ได้เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับหนึ่งชั้นกลาง
นี่จึงแสดงให้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามไม่เกรงกลัวศักยภาพความสามารถของเขาเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างไป๋ยี่เฟยกลับดูไม่ออกว่าศักยภาพความสามารถของฝ่ายตรงข้ามอยู่ในระดับไหนกันงั้นหรอ
ไป๋ยี่เฟยแค่ถามว่า “หวังเจียจุ้นหละครับ?”
ชายชราอมยิ้มพลางตอบกลับ “คุณไป๋ คุณชายพักอาศัยอยู่ที่นี่จริงๆครับ แต่คืนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่”
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกตะลึงในใจ “คุณรู้จักผม?”
ชายชราอมยิ้มอีกครั้ง “คุณไป๋อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมแค่คาดเดาเท่านั้น”
“คาดเดา?”
ชายชรายิ้มพลางตอบกลับ “ศักยภาพความสามารถระดับหนึ่งชั้นกลางไม่ถือว่าพิเศษอะไร แต่ถ้าอยู่ในเมืองเทียนเป่ยก็ถือว่าเป็นสิ่งที่หาพบได้ยากเช่นกัน เท่าที่ผมทราบมาเหมือนกับว่าจะมีแค่คุณไป๋คนเดียวเท่านั้นที่มีศักยภาพความสามารถระดับนี้”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา ไป๋ยี่เฟยมีความรู้สึกเหมือนถูกคนอื่นรู้ความลับทุกอย่างของตัวเองยังไงอย่างงั้น
และตอนนี้ข้อมูลที่เกี่ยวกับตระกูลไป๋ยี่เฟยยังรู้ไม่มาก แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับเข้าใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเองแล้ว
แต่ว่าตอนนี้ต้องนำเรื่องพวกนี้ไปไว้ข้างๆก่อนชั่วคราว ช่วยชีวิตหลงหลิงหลิงสำคัญกว่า
ไป๋ยี่เฟยถามอีกว่า “ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
ชายชรากลับส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คุณไป๋ครับ การเป็นเพื่อนกันดีกว่าการเป็นศัตรูต่อกันนะครับ อีกอย่างเป็นแค่งานแต่งงานเดียวเท่านั้น และเรื่องทุกอย่างได้ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว…..เรื่องที่ควรจะเกิดขึ้นได้เกิดขึ้นหมดแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยโกรธเกรี้ยวขึ้นมาภายในพริบตาเมื่อได้ยินแบบนี้ “งานแต่งบ้าอะไรล่ะ!”
เขาเข้าไปกระชากปกเสื้อของชายชรา “แกจะพูดรึเปล่า?”
ช่วงชีวิตที่ผ่านมาของหลงหลิงหลิงน่าสงสารมาก
พ่อแม่ของเธอมีความคิดที่ให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงที่รุนแรงมาก ในสายตาของพ่อแม่มีแค่น้องชายเธอเท่านั้น ทำอะไรก็คิดเผื่อแค่น้องชายเธอ ตอนนั้นจะให้เธอแต่งงานกับลูกคนรวยเพียงเพราะอนาคตของน้องชายเธอ
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เขาจึงมีความคิดที่อยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของหลงหลิงหลิง
และหลังจากนั้นหลงหลิงหลิงก็เชื่อใจและพึ่งพาตัวเองมาโดยตลอด ตอนที่มเรื่องกับหลิ่วจาวเฟิงเธอเกือบจะเสียสละชีวิตของตัวเธอเอง เพียงเพราะอยากทำให้ไป๋ยี่เฟยพลิกผันกลับมาชนะได้
เพราะฉะนั้นตอนนี้เขายากที่จะยอมรับได้ว่าเธอถูกคนอื่นหลอกลวง
อันที่จริงเขาก็รู้ดีอยู่เหมือนกันว่าตอนนี้เวลาได้ผ่านพ้นไปหลายชั่วโมงแล้ว และเป็นดั่งที่ชายชราพูดจริงๆด้วย เรื่องที่ควรจะเกิดได้เกิดขึ้นไปตั้งนานแล้ว แต่สิ่งที่ตัวเองเข้าใจไม่เหมือนกับสิ่งที่พูดออกมาจากปากคนอื่น
เพราะฉะนั้นเขาจึงควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้ว
“คุณไป๋ใจเย็นๆก่อน” ชายชราพูดไปด้วยพลางใช้มือตัวเองไปจับที่ข้อมือของเขา
ไป๋ยี่เฟยตกตะลึงอย่างกะทันหัน เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนสิ่งของชิ้นนึงที่อยู่ในมือของชายชรา จากนั้นค่อยออกแรงผลักเล็กน้อย และร่างกายของเขาก็เซถอยหลังกลับไปหลายก้าว
รอหลังจากที่เขาทรงตัวได้อย่างมั่นคงแล้ว ไป๋ยี่เฟยมองไปทางชายชราด้วยสายตาที่หวาดผวา
ชายชรากลับพูดด้วยสีหน้าอารมณ์ที่เรียบนิ่งว่า “คุณไป๋ ตระกูลหวังของเราไม่อยากมีเรื่องกับคุณไป๋แต่อย่างใด ก็แค่อยากทำงานร่วมกันกับคุณไป๋เท่านั้นเองครับ”
“เพราะความสัมพันธ์ในแบบทำงานร่วมกันจะทำให้คนสบายใจได้มากกว่า และวิธีการทำงานร่วมกันที่ดีที่สุดก็คือการแต่งงานกัน”
“จะว่าไป การที่คุณชายของเราต้องตาคุณหญิงหลงก็ว่าเป็นบุญบารมีที่สั่งสมมาหลายภพชาติ เธอจะซาบซึ้งดีใจยังไม่ทันเลย คุณไป๋อย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่านะครับ”
แม้ไป๋ยี่เฟยจะรู้สึกตะลึงต่อศักยภาพความสามารถของฝ่ายตรงข้ามอยู่เล็กน้อย แต่คำพูดของชายชรากลับดูเหมือนว่าเขากำลังดูถูกเหยียดหยามหลงหลิงหลิง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เขาทนไม่ได้
และเขาก็ไม่ได้สนใจความแตกต่างของศักยภาพระหว่างฝ่ายตรงข้ามและตัวเอง พุ่งเข้าไปใช้ศอกแทง “งานแต่งงานห่าอะไร! หลงหลิงหลิงไม่ชอบคุณชายหวังอะไรนั่นด้วยซ้ำ ขอแค่เธอไม่ยอมให้ตายยังไงฉันก็ไม่เห็นด้วย!”
เมื่อเผชิญหน้ากับไป๋ยี่เฟยที่พุ่งเข้ามา ชายชราแค่ใช้นิ้วจิ้มไปที่ข้อศอกของเขาอย่างแผ่วเบา จากนั้นร่างกายของไป๋ยี่เฟยก็เซถอยหลังกลับไปไกลเจ็ดแปดเมตร
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกว่าเหมือนตัวเองโจมตีโดนสำลีก้อนนึง ไม่มีแรงและไม่มีความรู้สึก
ชายชราพูดกับไป๋ยี่เฟยด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งว่า “คุณไป๋มีสิทธิ์อะไรมาไม่เห็นด้วย? คุณไป๋เป็นอะไรกับหลงหลิงหลิง? ก็เป็นแค่เจ้านายกับลูกน้องเท่านั้น มีสิทธิ์มายุ่งเกี่ยวเรื่องงานแต่งงานของลูกน้องด้วยหรอ?”
“ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้คุณชายของตระกูลเราจะเทียบกับคุณไป๋ไม่ได้ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่ว่ายังไงคุณไป๋ก็เทียบกับคุณชายของเราไม่ได้”
“คุณชายของตระกูลเรารักเดียวใจเดียวหลงหลิงหลิงอย่างสุดใจ และจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้เขาก็ยังไม่ได้แต่งงาน ส่วนคุณไป๋นั้นไม่เพียงแต่จะมีภรรยาและมีลูกแล้ว แต่ยังมีผู้หญิงอีกหนึ่งคนอีก”
“ถ้าพูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือ คุณเป็นแค่ผู้ชายเลวๆคนหนึ่งเท่านั้นแหละ”
หลังจากที่พูดจบ ร่างกายของไป๋ยี่เฟยก็สั่นเทาขึ้นมา
ชายชราพูดถูก ตอนนี้ไป๋ยี่เฟยมีลูกมีเมียแล้ว แต่ยังมีอะไรกับผู้หญิงอีกคนอีกเป็นผู้ชายเลวๆคนนึงจริงๆด้วย
แต่ว่า…..
ไป๋ยี่เฟยถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเขาออกอย่างกะทันหัน เปิดเผยเสื้อกล้ามที่ทำมาจากแผ่นเหล็กดังกล่าวนั้นของเขา ก่อนที่จะแกะแผ่นเหล็กออกมาแล้วทำการประกอบใหม่อีกครั้ง
เขาประกอบไปด้วยพลางพูดไปด้วยว่า
“คุณพูดถูก ฉันเป็นแค่ผู้ชายเลวๆคนนึง”
“แต่ว่าฉันไม่เคยบีบบังคับคนอื่นมาก่อน และยิ่งไม่เคยฉวยโอกาสทำอะไรต่อสิ่งที่คนคนนั้นไม่ชอบ”
ตอนนั้นตอนที่ความสัมพันธ์ของเขาและหลิวเสี่ยวอิงยุ่งเหยิงไม่ชัดเจน ซึ่งในใจเขาต่อต้านเรื่องนี้จริงๆ แต่เรื่องของความรักความรู้สึกแบบนี้ ใช่ว่าคุณบอกไม่อยากก็จะสามารถหักห้ามได้?
ก็เหมือนกับที่หลิวเสี่ยวอิงที่รักไป๋ยี่เฟย มันเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมได้เช่นกัน ถึงแม้เธอจะพยายามมากแค่ไหน อยากเว้นระยะห่างกับเขามากแค่ไหน แต่ตอนสุดท้ายเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันต่อไป๋ยี่เฟย ทำให้เขาสูญเสียความสำนักคิด ถึงได้ทำให้ทั้งสองคนเข้ามาพัวพันด้วยกัน
เมื่อผิดตั้งแต่ก้าวแรกก้าวถัดๆก็จะผิดตาม ทำให้เรื่องทุกอย่างยิ่งอยู่ยิ่งยุ่งเหยิงจนไม่สามารถแก้ไขได้
เพื่อไม่ให้เขารู้สึกลำบากใจ ถึงแม้หลิวเสี่ยวอิงจะท้องเธอก็ไม่ได้พูดอะไร และได้ทำการเข้ามาบังการโจมตีให้เขา ทำให้เธอไม่สามารถมีลูกต่อไปได้อีกในอนาคต
ตอนแรกเธออยากจะแกล้งทำเป็นตายเพื่อให้อยู่ห่างจากเขา แต่หลี่เสว่ใจกว้างมากๆใจกว้างจนทำให้เธอหวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง
ไป๋ยี่เฟยก็รู้เหมือนกันว่าทำแบบนี้มันไม่แฟร์ต่อผู้หญิงทั้งสองคน แต่ว่าเขาทำอะไรได้บ้างหรอ?
เขาทนดูหลิวเสี่ยวอิงแต่งงานกับคนอื่นไม่ได้ และผู้ชายคนดังกล่าวรังเกียจที่เธอไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ จนทิ้งเธอไปในที่สุด
เขายิ่งไม่สามารถหย่ากับหลี่เสว่ และไปแต่งงานกับหลิวเสี่ยวอิง
เขาทำไม่ได้ทั้งสองอย่าง เพราะฉะนั้นจึงทำได้แค่เป็นผู้ชายเลวๆคนนึง
ไป๋ยี่เฟยพูดเสียงทุ้มว่า “ฉันก็รู้สึกว่าตัวฉันเลวเหมือนกัน แต่ว่าฉันไม่เคยไปบีบบังคับผู้หญิงคนนึงมาก่อนเลย พฤติกรรมอย่างหวังเจียจุ้น มันเลวยิ่งกว่าผู้ชายเลวๆเสียอีก!”
“ยังมาบอกอีกว่าอยากทำงานร่วมกันกับฉันโดยรูปแบบการแต่งงานกัน?”
“การทำงานร่วมกันของพวกคุณก็คือการบีบบังคับคนของฉันหรอ?”
“ทำงานร่วมกันกับหมาอ่ะดิ!”
“ถ้าเกิดหลงหลิงหลิงโดนหวังเจียจุ้นทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายจริง งั้นถึงแม้จะต้องตาย ฉันไป๋ยี่เฟยก็จะทำให้หวังเจียจุ้นได้รับต่อผลกรรมที่มันก่อ!”
ทันทีที่เพิ่งพูดจบ ดาบใหญ่ที่อยู่ในมือไป๋ยี่เฟยได้ทำการประกอบเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขายกดาบใหญ่ขึ้นมาพลางฟาดฟันตรงเข้าไปทางชายชรา
สีหน้าอารมณ์ของชายชรายังคงเรียบนิ่งเหมือนเคย เข้าไปลากดาบใหญ่ที่อยู่ในมือเขาอย่างแผ่วเบาและเมตตา แต่ว่าในขณะที่เขากำลังจะก้าวถอยหลังกลับไปอยู่นั้น ร่างกายของเขากลับชะงักไปอย่างกะทันหัน และเบิกตากว้างขึ้นมาทั้งสองข้าง
“ปังๆ…..”
เสียงระเบิดดังลั่นดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของชายชราถอยหลังกลับไปอย่างควบคุมไม่อยู่
จนกระทั่งถอยหลังกลับไปสิบกว่าเมตร และร่างกายชนเข้ากับกำแพง แล้วแต่กำแพงของตัวคฤหาสน์ยังถูกกระแทกจนกลายเป็นช่องโหว่
“ปัง!”
รอหลังจากที่ชายชราทรงตัวได้อย่างมั่นคงแล้ว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตะลึง”ของที่อยู่ในมือคุณคืออะไร?”
อย่าว่าแต่ชายชรารู้สึกตะลึงเลย แล้วแต่ตัวไป๋ยี่เฟยเองยังรู้สึกตะลึงเล็กน้อย
การโจมตีในครั้งนี้มีกำลังแรงของตัวเองทั้งหมดเก้าสิบเปอร์เซ็น ก็เหมือนกับเขาได้ทำการผ่าฟันมีดออกไปเก้าครั้งในเวลาเดียวกัน พลังแรงทั้งหมดที่ตัวดาบปลดปล่อยออกมา ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งชั้นสูงคาดว่าก็คงต้องได้รับบาดเจ็บแน่นอน
แต่ว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้านี้แค่เซถอยหลังกลับไปเท่านั้น ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นไป๋ยี่เฟยถึงได้รู้สึกตกตะลึง
หรือว่าเขาเคยยอดฝีมือระดับแดนเทพยุทธ์แล้ว?
และหลังจากที่ไป๋ยี่เฟยได้ทำการโจมตีฟาดฟันครั้งนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว แผ่นเหล็กที่อยู่บนตัวดาบเกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาอีกครั้ง ท่าโจมตีครั้งหนึ่ง คาดว่าแผ่นเหล็กคงทนต่อไม่ไหวต้องแตกสลายแน่นอน
ไป๋ยี่เฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธกริ้ว “คุณไม่พูด งั้นเดี๋ยวฉันไปตามหาเอง!”
หลังจากที่พูดจบเขาก็หันหลังกำลังจะเดินจากไป
ตอนนี้เขาสู้ชายชราคนนี้ไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ จึงจะมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ไม่ได้ ไม่งั้นถึงแม้จะมีโอกาสช่วยชีวิตหลงหลิงหลิงได้จริงๆ คาดว่าถึงตอนนั้นก็คงสายไปแล้ว
และตอนนี้เนื่องจากเขาร้อนรนเกินไป ทำให้เขาลืมจางหัวปินไปอย่างสิ้นเชิง