ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 1042
รถฉางอันรุ่นธรรมดาที่สุดมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูเพื่อนบ้าน จากนั้นก็มีคนนำเสื้อผ้าและโทรศัพท์มือถือมาให้
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยแต่งตัวเสร็จก็ดูโทรศัพท์ ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงครึ่ง หลิวเสียบอกว่าเธอออกไปซื้ออาหาร ไป๋ยี่เฟยพยักหน้ารับทราบ
เขารอจนหลิวเสียออกไป ก่อนจะมองไปรอบห้อง แล้วก็ลุกขึ้นยืนเดินไปรอบ ๆ สักพัก และพบว่าตัวเองไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง แต่เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
จากนั้นเขาก็หลับตาลงอีกครั้ง สัมผัสถึงบรรยากาศโดยรอบห้องแล้วก็พบว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษ ดังนั้นเขาจึงวางแผนเพื่อออกไปดูด้านนอกและถือโอกาสสูดอากาศบริสุทธิ์เสียหน่อย
ทว่าหลังจากที่เขาเปิดประตู ก็ตกตะลึง
ด้านนอกบ้านมีลานเล็ก ๆ อยู่หนึ่งลาน มีชายอายุห้าสิบกว่านั่งอยู่ในลานบ้าน ดูเหมือนกับว่าเขาถืออะไรบางอย่างไว้ในมือและกำลังแกะสลักมันอย่างตั้งอกตั้งใจ
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยตกตะลึงเขาก็เกิดความสงสัย
ความรู้สึกตอนที่เขาเพิ่งจะหลับตาลง เขากลับไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของคนๆ นี้โดยสิ้นเชิง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เป็นไปได้ไหมว่าการรับรู้ของตนเองจะมีปัญหา?
เพื่อทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยปิดประตู เขาก็เดินไปด้านหลังชายผู้นั้น
เขายืนอยู่ด้านหลังอีกฝ่าย ไป๋ยี่เฟยเห็นชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังถือมีดแกะสลักไว้ในมือ กำลังแกะสลักดาบไม้ที่มีขนาดท่าฝ่ามือ
ไป๋ยี่เฟยมองไปด้านข้างก็เห็นเก้าอี้พับตัวเล็กหนึ่งตัว เขาจึงนั่งลงบนมันแล้วถามว่า “คุณคือ…”
แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาแต่อย่างใด เขาจดจ่ออยู่กับการแกะสลักของตัวเองต่อ ก่อนจะตอบเสียงเบา “ฉันเป็นเจ้าของบ้าน”
ใบหน้าของไป๋ยี่เฟยเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
เขารู้สึกว่าบุคลิกของผู้ชายคนนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นเจ้าของบ้าน
ไม่เพียงเท่านั้น ชายคนนี้ยังสวมชุดถังโบราณพร้อมกับสวมรองเท้าผ้า ให้ความรู้สึกไม่ธรรมดา
จู่ ๆ ชายผู้นั้นก็พูดขึ้นมา “ไอหนุ่ม ร่างกายของนายไม่เลวเลยนะ เจ็บหนักขนาดนั้น นอนพักแค่คืนเดียวก็เกือบจะหายดีแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยตกใจ “คุณรู้วิธีรักษาโรคเหรอ? เห็นแผลของผม?”
ชายวัยกลางคนยกดาบไม้เล็ก ๆ ในมือขึ้นมา เขาส่องมันกับพระอาทิตย์ ดูเหมือนจะมองไปที่เส้นกึ่งกลางของดาบไม้เล็ก ๆ และปากก็พูดอย่างแผ่วเบา “บางสิ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา ต้องคิดได้ด้วยตัวเอง ฉันคิดว่านายควรจะมีความรู้สึกบางอย่างเช่นกัน”
ไป๋ยี่เฟยตกใจอีกครั้ง
เขาเพิ่งรู้ได้เมื่อไม่นานมานี้ว่าต้องหลับตาเพื่อรับรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ไม่พูดอะไรมาก ทว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ดูเหมือนจะรู้สถานการณ์ของเขาเป็นอย่างดี
ไป๋ยี่เฟยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปาก “ดูเหมือนว่าผม…จะเจอปัญหาเข้าแล้ว”
หลังจากที่ชายวัยกลางคนดึงดาบไม้กลับมาก็ใช้มีดแกะสลักมัน จากนั้นก็ยกมันขึ้นส่องกับพระอาทิตย์ “บางปัญหาก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป”
ไป๋ยี่เฟยตกใจมาก
เขาพูดเพียงประโยคเดียว ชายวัยกลางคนก็เหมือนจะรู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังส่องดาบเล็ก ๆ นั้นกับแสงอาทิตย์อยู่เป็นเวลานาน ถ้าเป็นสายตาของคนธรรมดาคงทนไม่ไหว
ไป๋ยี่เฟยอดคิดไม่ได้ หรือความจริงแล้วแสงแดดที่แรงกล้านั้นไม่ได้มีผลอะไรกับอีกฝ่าย?
ขณะเดียวกัน ชายวัยกลางคนก็พูดขึ้นมาอีกว่า “แต่ถ้าเกิดปัญหาแล้วไม่แก้ไข ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ไป๋ยี่เฟยก็จริงจังขึ้น ทัศนคติน่านับถือเป็นอย่างมาก
“คุณลุง ไม่ทราบว่าจะให้ผมเรียกคุณลุงว่าอะไร?”
ชายวัยกลางคนกลับหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เรียกคุณลุงก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?”
“หา? ผมหมายถึง…”
“คุณลุง ฉันซื้ออาหารเย็นมาเยอะเลย ทานด้วยกันไหม?” หลิวเสียเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาในลานบ้านพร้อมกับถุงกับข้าวที่อยู่ในมือ ขัดจังหวะไป๋ยี่เฟยที่กำลังจะถามต่อ
ชายวัยกลางคนวางดาบในมือลงทันที จากนั้นก็มองไปทางหลิวเสียก่อนจะยิ้ม “เอาสิ”
อย่างไรก็ตามหลิวเสียชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเบา “ฉันแค่ชวนตามมารยาท คุณลุงจะกินด้วยกันจริง ๆ เหรอ ?”
ชายวัยกลางได้ยินจึงตอบว่า “ฉันอายุเยอะแล้ว ปฏิเสธคนอื่นไม่ได้หรอก”
หลิวเสีย “…”
หลังจากที่ชายวัยกลางคนกล่าวจบ เขาก็ย้ายโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมตัวเล็กออกมาจากลานบ้าน แล้วก็บอกให้หลิวเสียวางกับข้าวลงบนโต๊ะ
หลิวเสียเห็นแบบนี้ก็ไม่พูดอะไรอีก ทั้งสามคนนั่งล้อมรอบโต๊ะ
ทันใดนั้น ก็คิดอะไรบางอย่างออกแล้วพูดด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “ค่าเช่าห้องของคุณลุงลดให้พวกเราถูกกว่านี้ได้ไหม?”
“นั่นไม่ได้” ชายวัยกลางคนรีบส่ายหัวปฏิเสธทันที “พวกเธอไม่ได้ขาดเงิน เรื่องนี้ไม่จำเป็น”
ไป๋ยี่เฟยกลับขมวดคิ้วแล้วถามว่า “คุณรู้ว่าพวกเรามีเงิน?”
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าชายวัยกลางคนจะมีความเห็นบางอย่างเกี่ยวกับเขา ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ สายตาของชายวัยกลางคนไม่เคยมองมาที่ไป๋ยี่เฟยเลยสักครั้ง แต่สายตาของเขาอยู่ที่หลิวเสียเสมอ
ตอนนี้หลิวเสียเริ่มเปิดกล่องข้าว ชายวัยกลางคนพบว่ามีปูขนอยู่ด้านในนั้น เขายิ้มและกล่าวว่า “ถ้ามีเหล้าสักหน่อยคงดี”
ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปเอาเหล้าในบ้าน ผ่านไปไม่นานเขาก็หยิบไหใบเล็กออกมา
ไหใบเล็กนี้ดูเหมือนว่ามันจะถูกฝังอยู่ในดิน มีโคลนเปื้อนอยู่รอบไห
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยมาถึงก็ถามว่า “คุณลุง เหล้านี่อายุไม่น้อยแล้วใช่ไหม?”
ชายวัยกลางคนตอบเสียงเบา “นี่คือเหล้าที่เมียเก่าฉันซื้อไว้ กี่ปีก็จำไม่ได้แล้ว”
เขาพูดพร้อมกับหยิบถ้วยเล็กสามใบมาเทเหล้าลงไป
เหล้าเมื่อถูกเทลงในถ้วยก็เป็นสีเขียวใส ในขณะเดียวกันก็ส่งกลิ่นหอมละมุน
แต่ดวงตาของไป๋ยี่เฟยและหลิวเสียล้วนเบิกกว้าง แล้วหลิวเสียก็กล่าวว่า “คุณลุง เหล้านี่เปลี่ยนสี มันเสียแล้วรึเปล่า?”
ชายวัยกลางคนกลับหัวเราะแล้วตอบว่า “มันมีชื่อเรียก มันชื่อว่าเสี่ยงแล้วรอด”
พูดจบก็หยิบปูขนขึ้นมาหนึ่งตัว หลังจากกัดปูหนึ่งคำเขาก็ดื่มเหล้าเข้าไปอึกใหญ่
หลิวเสียกล่าวด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง “อะไรรอด?อะไรเสี่ยง? ให้คนกินหรือเปล่าเนี่ย?”
ชายวัยกลางคนไม่สนใจหลิวเสีย เขากินปูขนไปพลางดื่มเหล้าไปพลาง
ไป๋ยี่เฟยตกใจเป็นอย่างยิ่ง
เสี่ยงแล้วรอด?
นี่หมายความว่าอย่างไร?
หลังจากตายแล้วจะได้เกิดอย่างนั้นเหรอ?
ในขณะเดียวกัน จู่ ๆ ชายวัยกลางคนก็พูดกับหลิวเสียว่า “ถ้าไม่กล้าตาย แล้วกล้าที่จะมีชีวิตได้ยังไง?”
“แน่นอนว่าฉันไม่อยากตาย อีกอย่าง ถ้าตายแล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหน?” หลิวเสียตอบอย่างโกรธเคือง
เมื่อไป๋ยี่เฟยได้ยินแบบนี้ หัวใจของเขากลับเต้นตึกตัก เขาก้มศีรษะมองถ้วยเหล้าที่อยู่เบื้องหน้า
จากนั้นเขาก็ยกมันขึ้นมาอย่างไม่ลังเล แล้วดื่มรวดเดียวหมด
เหล้ากลิ่นหอมละมุน ทว่าหลังจากที่มันเข้าไปในปากกลับเผ็ดร้อนอย่างถึงที่สุด
ไป๋ยี่เฟยเองก็ดื่มไม่เก่ง การดื่มเหล้ารสเผ็ดร้อนเข้าไปแบบนี้ เกือบทำให้เขาหายใจไม่ทัน
แต่ในขณะเดียวกัน หลังจากกินข้าวเสร็จ ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกได้ถึงน้ำสุราสีเขียวที่แทรกซึมเข้าสู่หลอดเลือดอย่างรวดเร็ว แล้วเลือดก็ไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกาย
และทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงดังกึกก้องที่หัวสมองของเขา แล้วดวงตาก็มืดลง
“เพล้ง” เขาล้มลงไปกับพื้น
หลิวเสียกรีดร้องเมื่อเห็นภาพนั้น หลิวเสียกล่าวโทษชายวัยกลางคน “ลุงดูสิ เหล้านี่มันหมดอายุแล้ว พี่ไป๋ดื่มเข้าไปแล้วถูกพิษ!”
……
เมื่อไป๋ยี่เฟยลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่มืดมาก
เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็ควานหาประตูแล้วเปิดมันออก
แล้วเขาก็ตกตะลึง
ด้านหน้าของเขาคือน้ำทะเลสาบสีดำสนิท ส่วนตัวเขาก็อยู่ในบ้านที่ลอยอยู่เหนือทะเลสาบ
ไป๋ยี่เฟยประหลาดใจ ที่นี่คือที่ไหน?
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง ท้องฟ้าด้านบนเต็มไปด้วยดวงดาว อีกทั้งยังมีพระจันทร์เสี้ยวที่สว่างไสว
“พระจันทร์…”
ไป๋ยี่เฟยแปลกใจมาก “ฉันปกติแล้ว?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตอบกลับมาว่า “เป็นเท็จ”
ไป๋ยี่เฟยตกใจ เขาหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว แล้วก็พบว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก็คือชายวัยกลางคนคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าของบ้าน
เขายังคงนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ๆ พร้อมกับดาบไม้ที่แกะสลักด้วยตัวเองในมือ