ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 1051
ไป๋ยี่เฟยไม่พูดมาก เขารู้ เธอร้องไห้ไม่ใช่เพราะดูไม่ดี แต่เป็นเพราะ……
ไป๋ยี่เฟยมองเธอพูดเพียงว่า “รีบกินบะหมี่เถอะ ไม่กินเส้นจะอืดเอานะ”
“อื้ม” หลิวเสียเอามือป้ายน้ำตา ก้มหน้าก้มตากิน
พอทานข้าวเสร็จแล้ว ไป๋ยี่เฟยก็พาหลิวเสียไปหาโรงแรมสักแห่ง เปิดสองห้อง
พอถึงกลางดึกไร้คน หลังหลิวเสียหลับแล้ว ไป๋ยี่เฟยก็จากไป
ตอนที่เขาจากไปยังทิ้งบัตรธนาคารใบหนึ่งแล้วโน้ตสั้นๆ ไว้
“หลิวเสีย กินอาหารเช้าแล้วก็ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับไปเถอะ ฉันยังมีธุระมากมายต้องทำ จึงไม่อาจพาเธอไปไหนได้ ฉันกับพี่ชายเธอเป็นพี่น้องกัน น้องสาวเขาก็คือน้องสาวฉัน ฉันทิ้งบัตรธนาคารไว้ให้เธอใบหนึ่ง ในบัตรมีเงินอยู่สองแสน ใบนี้เป็นเงินเล็กน้อยที่พี่ชายมอบให้น้องสาว ไม่ต้องคืนฉัน หากหมดแล้วก็มาเอาจากฉันได้”
ไป๋ยี่เฟยจากไปก่อนฟ้าสาง แต่สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรแตกต่าง ในดวงตาเขายังคงมีเพียงเวลากลางวัน
ตอนนี้ไป๋ยี่เฟยสงสัยในความฝันของตัวเองเหลือเกิน
ในความฝัน เขาบอกว่าตัวเองเกิดปัญหา ทั้งหมดเป็นภาพหลอน แต่หากเป็นภาพหลอน แต่เพราะอะไรสิ่งที่เขาเห็นล้วนเป็นความจริงล่ะ?
ไป๋ยี่เฟยมาหยุดยังหัวสะพานแห่งหนึ่ง เขาพิงราวสะพานจุดบุหรี่สูบ
หลังกำลังสูบควันเขาลึกทีหนึ่ง จากจุดที่ไม่ไกลนักมีคนที่นั่งรถเข็นคนหนึ่ง เข็นรถเข้ามาอย่างช้าๆ
คนคนนี้ก็คือน้องชายแท้ๆ ของไป๋ยี่เฟย ไป๋เซี่ยว
เขามาหยุดตรงหน้า กล่าวว่า “พี่ไปตระกูลฉุงมาแล้ว?”
“อืม” ไป๋ยี่เฟยส่งเสียงตอบรับ
ไป๋เซี่ยวถามอย่างสงสัยว่า “หรือพี่ไม่กลัวว่าพวกเขาจะเอาข่าวที่พี่ยังมีชีวิตอยู่แพร่ออกไป?”
“ใครจะเชื่อล่ะ?” ไป๋ยี่เฟยยักไหล่
ไป๋เซี่ยวพลันชะงักไป
ไป๋ยี่เฟยอัดบุหรี่เข้าไปเต็มปอด แล้วก็พ่นออกมา จากนั้นก็นำหัวบุหรี่กดดับไฟบนราวสะพาน
เขาเดินมาหยุดด้านหลังไป๋เซี่ยว เข็นเขาเดินไปข้างหน้าต่อ อีกทางหนึ่งก็พูดว่า “พรุ่งนี้พี่อยากได้ยินข่าว”
“ข่าวอะไร?” ไป๋เซี่ยวถาม
ไป๋ยี่เฟยกล่าว “ตระกูลฉุงสมคบกับสหพันธ์วรยุทธแห่งหนานเหมินมีเจตนาจะแข่งขันธุรกิจกับประเทศหวา”
“ฉุงเฉ่าซินเพื่อให้ได้ผูกมิตรกับคุณชายของสหพันธ์วรยุทธ ไม่เสียดายที่จะสละความสุขของลูกสาวตัวเอง ใส่ร้ายน้องชายแท้ๆ ลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง”
“ฉันอยากเห็นฉุงเฉ่าซินชื่อเสียงป่นปี้ แบบนี้น่าจะง่ายมากสินะ?”
ไป๋เซี่ยวกลับหัวเราะเสียงเย็น “เมื่อเป็นเช่นนี้ สามตระกูลใหญ่ก็จะไม่เชื่อใจฉุงเฉ่าซินอีก แต่หนานเหมินกับตระกูลหวังล่ะ?”
“เกี่ยวอะไรกับพวกเขา?” ไป๋ยี่เฟยพูด
ไป๋เซี่ยวนิ่งไปเล็กน้อย ทันใดนั้นก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ที่พูดมาก็ใช่ พี่แค่อยากทำให้ความร่วมมือของสามตระกูลใหญ่เข้มแข็งมากขึ้น เพื่อช่วยพี่รับมือตระกูลหวังเท่านั้น ขอเพียงสามตระกูลใหญ่เชื่อ ตระกูลหวังกับหนานเหมินจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่สำคัญ”
ไป๋ยี่เฟยชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ถามอย่างไม่แน่ใจว่า “หนนี้เห็นตระกูลหวังกับหนานเหมินเป็นศัตรูแล้ว?”
“ใช่ พวกเขาเป็นศัตรู” ไป๋เซี่ยวพูดอย่างมั่นใจมาก
ไป๋ยี่เฟยยิ้ม “ดูเหมือนครั้งนี้นายจะรู้เสียทีว่าใครเป็นศัตรู”
ไป๋เซี่ยวเองก็ยิ้มตามเช่นกัน
ไป๋ยี่เฟยพูดอีกว่า “ตอนนี้พวกเราไม่ใช่ศัตรูกันแล้ว จิงหลัวก็ไม่จำเป็นต้องติดตามฉันแล้วสินะ?”
“แต่เขาจะติดตามก็ไม่เป็นไร อย่างไรตอนนี้เขาก็สู้พี่ไม่ได้หรอก”
ไป๋เซี่ยวสีหน้าไม่เปลี่ยน เพียงแต่โบกมืออย่างสบายๆ
ทันใดนั้นไป๋ยี่เฟยก็เห็นว่าคนที่ตอนแรกซ่อนอยู่ในเงามืดได้จากไปแล้ว
ไป๋เซี่ยวถามอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “พี่ ตอนนี้พี่อยู่ระดับไหนแล้ว? ถึงสามารถมองเห็นได้ไกลขนาดนี้?”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้าพลางยิ้มขื่น แล้วกล่าวว่า “ไม่เกี่ยวกับฝีมือพี่ ไม่ว่าเขาจะซ่อนอยู่ที่ไหน สำหรับพี่แล้ว ล้วนมองเห็นได้ชัดเจน
“เพราะว่าดวงตาของพี่ตอนนี้ ไม่มีความมืดใดๆ”
ไป๋เซี่ยวเงยหน้ามองไป๋ยี่เฟยด้วยท่าทางแปลกใจ “พี่ ตอนนี้พี่แสร้งทำเป็นเชี่ยวชาญขนาดนี้เชียวเหรอ?”
ไป๋ยี่เฟย “……”
คำที่ไป๋เซี่ยวพูดกับไป๋ยี่เฟยดูไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก ซึ่งเขาเองก็เข้าไม่ถึงความรู้สึกเช่นนั้นของไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยไม่พูดอะไรกับเขาอีก พูดเพียงว่า “ที่ให้นายมาที่นี่ก็เพื่ออยากบอกนายจากปากตัวเอง ตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว บุญคุณความแค้นเหล่านั้นในอดีตฉันก็ไม่เอามาใส่ใจแล้ว ตอนนี้นายจะต้องยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับฉัน”
ไป๋เซี่ยวพยักหน้าก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้าอีก “ผมไม่อาจเข้าใจได้”
ไป๋เซี่ยวเงยหน้ามองไป๋ยี่เฟย ไป๋ยี่เฟยก้มหน้ามองไป๋เซี่ยว เขากำลังมองเห็นแววเยาะหยันในดวงตาของไป๋เซี่ยว
ไป๋เซี่ยวไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ
ไป๋ยี่เฟยจึงอธิบายว่า “หลังฉันมาถึงเมืองหลวง ไม่สิ ควรจะเป็นตั้งแต่ตอนที่ฉันรับช่วงต่อโหวจวี๋กรุ๊ป หลังจากนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก็เหมือนเป็นเชือกเส้นหนึ่ง ได้นำพวกเราทุกคนมาร้อยเข้าด้วยกัน”
“เรื่องเหล่านี้นายเองก็เห็นอยู่ในสายตา ราวกับว่าพวกเขามีคนคอยควบคุมอยู่เบื้องหลัง ทีละก้าวๆ ทำให้ฉันเดินมาจนถึงวันนี้”
“คนที่อยู่เบื้องหลังหลอกใช้นิสัยที่อยู่ในตัวฉัน และหลอกใช้ทุกคนที่อยู่ข้างกายฉัน เขาคำนวณได้ไม่พลาดเลยสักนิด”
“เมื่อหยิบยกเรื่องราวในระยะนี้มาพูด ตั้งแต่ฉันออกมาจากหลันเต่า เรื่องราวที่ร้อยเข้าด้วยกันนี้ ล้วนถูกคนควบคุมอยู่”
“ฉันกลับมาควรไปที่เมืองเทียนเป่ย แต่ทำไมฉันถึงตรงมาเมืองหลวงล่ะ?”
“แล้วทำไมถึงมอบเหตุผลที่จะต้องมาเมืองหลวงให้ฉัน?”
ฟังถึงตรงนี้ สีหน้าไป๋เซี่ยวก็เปลี่ยนไป มีความตกตะลึงเต็มใบหน้า “พี่หมายถึง……”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้ากล่าวว่า “เรื่องเหล่านี้ฉันควรบอกนาย ยิ่งกว่านั้นนายเองก็ต้องรู้ด้วย หากคนผู้นั้นที่อยู่เบื้องหลังเป็นอย่างที่ฉันเดาไว้จริง อย่างนั้นพวกเราก็ยืนอยู่บนเชือกเส้นเดียวกันแล้ว”
“มิหนำซ้ำ บนเชือกเส้นนี้ มีเพียงเราสองคน”
ไป๋เซี่ยวก้มหน้าครุ่นคิด
ไป๋ยี่เฟยกล่าวอีกว่า “หากฉันตายแล้ว คนต่อไปจะต้องเป็นนายแน่!”
“ดังนั้น มีเพียงนายที่ช่วยฉันได้”
สิ้นคำ ไป๋เซี่ยวก็ตัวสั่นด้วยความหนาวเหน็บ ไม่รู้เป็นเพราะลมแม่น้ำในตอนกลางคืนใช่หรือเปล่า ถึงได้หนาวมากขึ้น
ไป๋ยี่เฟยมองเห็นแล้ว ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นเขาเพียงขยับตัวครึ่งบน ครึ่งล่างไม่ขยับโดยสิ้นเชิง
เขาถอนหายใจอยู่ในใจอย่างจนปัญญา จากนั้นก็ถอดเสื้อนอกของตัวเองออก คลุมลงบนตัวไป๋เซี่ยว
การกระทำตรงหน้านี้ของไป๋ยี่เฟย ไป๋เซี่ยวตกตะลึงอยู่บ้าง “พี่……”
ไป๋ยี่เฟยมองแม่น้ำแล้วกล่าวนิ่งๆ ว่า “เรื่องของฉุงเฉ่าซินฝากนายด้วยแล้วกัน”
“คนผู้นั้นจะต้องควบคุมทุกการกระทำของพวกเขาแน่ ดังนั้นทางฝั่งพ่อแม่อย่าเพิ่งบอกพวกเขาชั่วคราวว่าฉันยังมีชีวิตอยู่”
ไป๋เซี่ยวพยักหน้าพูดว่า “รู้แล้ว”
ทันใดนั้นเขาก็ถามอีกว่า “แล้วพวกเราควรทำอย่างไรต่อไป?”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้า จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้พวกเราถูกคนควบคุมอยู่ ที่ต้องทำแน่นอนว่าคือการหลุดพ้นจากการควบคุมของเขา”
“ทำอย่างไร ไม่ควรทำอย่างไร พวกเราก็ฝืนทำไป!”
ไป๋ยี่เฟยกล่าวจบก็มองไป๋เซี่ยว พบว่าไป๋เซี่ยวกับเขาหน้าตาไม่ค่อยเหมือนกันนัก ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ทันที แล้วกล่าวว่า “ไปกัน”
จากนั้นเขาก็หมุนกายออกไปจากที่นี่
……
รอจนไป๋ยี่เฟยจากไปแล้ว จิงหลัวก็เข้ามาอีกครั้ง
ไป๋เซี่ยวกล่าวว่า “อย่าเอ่ยถึงเรื่องในคืนนี้กับใคร”
“ครับ คุณชาย”
ไป๋เซี่ยวควบคุมการเลี้ยวของรถเข็นเอง และเพราะเหตุนี้จึงทำให้เสื้อที่ไป๋ยี่เฟยนำมาคลุมบนตัวเขาหล่นลง แต่สายตาของไป๋เซี่ยวไม่มีแบ่งให้กับเสื้อที่ตกอยู่บนพื้นแม้แต่แวบเดียว
ไป๋เซี่ยวควบคุมรถเข็นเลื่อนไปข้างหน้า จิงหลัวรีบเดินตาม “คุณชาย ตอนนี้พวกเรากำลังรับซื้อหมิงหวางกรุ๊ปของตระกูลฉุงอยู่ไม่ใช่หรือ? แต่ระยะนี้จู่ๆ ก็มีซินรุ่ยกรุ๊ปปรากฏขึ้นมา พวกเขาเองก็กำลังรับซื้อหวางหมิงกรุ๊ปเช่นกัน แถมยังให้ราคาสูงกว่าพวกเราสองเท่าด้วย”
“หากพวกเรารับซื้อต่อไปล่ะก็ จะเกินงบของพวกเรา ดังนั้น พวกเราควรจะหยุดรับซื้อหรือให้ราคาสูงขึ้นดีครับ?”
หลังไป๋เซี่ยวฟังจบก็ขมวดคิ้ว “ซินรุ่ยกรุ๊ปมีความเป็นมาอย่างไร?”
“ให้คนไปสืบแล้วครับ”
ไป๋เซี่ยวพูดอีกว่า “ไม่ต้องแล้ว รับซื้อซินรุ่ยไปพร้อมกันเลยเถอะ”
จิงหลัวรีบขานรับอย่างรวดเร็ว “ครับ!”
ไป๋เซี่ยวหัวเราะเสียงเบา “ไม่ควรทำอย่างไร ก็ต้องฝืนทำไป…..”
ช่างน่าสนใจจริงๆ!