ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 1055
“ต่อไป๋ยี่เฟยสำคัญสำหรับฉันมาก ฉันก็ไม่มีทางสละเธอเพราะเขาได้”
ฉีฉีเงียบไปอีกครั้ง เธอไม่ได้ถามต่ออีก
……
คฤหาสน์ของหลงหลิงหลิง
หลิวเสี่ยวอิงกับหลงหลิงหลิงนอนเรียงกันอยู่บนเตียง พวกเธอต่างมองฝ้าเพดาน แต่คนหนึ่งสีหน้าเซื่องซึม คนหนึ่งในใจเต็มไปด้วยความกังวล
หลิวเสี่ยวอิงพูดว่า “ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ เหรอ?”
หลงหลิงหลิงหัวเราะอย่างฝืนๆ “นี่อาจจะเป็นโชคชะตาของฉันสินะ!”
หลิวเสี่ยวอิงเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อปลอบใจเธอ แต่ชั่วขณะหนึ่งกลับหาคำที่เหมาะสมไม่เจอ
และเวลานี้เอง มีเสียง “ปึง” เกิดขึ้น หน้าต่างของคฤหาสน์ถูกคนเปิด จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากระเบียงทางเดินชั้นสอง
……
ไป๋ยี่เฟยออกจากเมืองหลวง ก็รุดมายังเมืองเทียนเป่ย
แต่เขาไม่ได้นอนทั้งคืน ทั้งยังขับรถมาสองชั่วโมง นัยน์ตาจึงแห้ง ร่างกายก็อ่อนเพลีย ดังนั้นหลังเขามาถึงเขตให้บริการแห่งหนึ่งจึงขับเข้าไป
ไป๋ยี่เฟยซื้อบุหรี่หนึ่งซองในซุปเปอร์มาร์เก็ต กลับมาถึงรถเตรียมจะหลับสักงีบ
แต่เพิ่งจะหลับตา เขาก็รู้สึกถึงความเย็นสบายสายหนึ่ง
ไป๋ยี่เฟยตกใจตื่นทันที รีบหันหลังไปมอง ที่เบาะหลังรถของเขาถึงกับมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ ซึ่งชายวัยกลางคนคนนี้ก็คือชายวัยกลางคนที่สระไม้มีดคนนั้นที่เขาเคยฝันเห็น
ไป๋ยี่เฟยอดถามไม่ได้ว่า “ฉันกำลังฝันอีกแล้ว?”
ชายวัยกลางคนไม่มองเขา “แต่มองผ่านหน้าต่างออกไปข้างนอก ที่ปากตอบนิ่งๆ ว่า “นับว่าใช่ล่ะมั้ง”
ไป๋ยี่เฟยอดมองตามไม่ได้ ตรงนั้นมีเพียงซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ แห่งเดียว มองผ่านหน้าต่างไปยังสามารถมองเห็นเถ้าแก่เนี้ยในซุปเปอร์มาร์เก็ตได้
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยจึงถามว่า “หากเป็นความฝันล่ะก็ ทำไมถึงมองเห็นได้ชัดขนาดนี้ล่ะ? แม้แต่ท่าทางของคุณก็ยังชัดขนาดนี้”
พอพูดประโยคนี้จบ เขาก็ยกมือขึ้นมาทีละน้อย
เวลานี้ จู่ๆ ชายวันกลางคนก็พูดว่า “หยิกตัวนายเองเถอะ หยิกฉันความฝันนายจะหายไป”
ไป๋ยี่เฟยหยุดมือทันที บนใบหน้าแสดงออกถึงความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“นายคิดว่าฉันเป็นใคร?” จู่ๆ ชายวัยกลางคนก็ถามไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยนิ่งคิด หากไม่ตอบเขา แต่ถามเขาแทนว่า “สาวเจ้าของที่คนนั้นคือลูกสาวคุณใช่ไหม?”
“เป็นภรรยาฉัน” ชายวัยกลางคนกล่าว
“เอ่อ……” ไป๋ยี่เฟยไม่รู้ว่าควรพูดอะไรไปชั่วขณะ
ผู้หญิงคนนั้นดูอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด แต่ชายวัยกลางคนผู้นี้ดูอายุประมาณสี่สิบห้าสิบปีแล้ว นี่อ่อนกว่ากันเกือบสิบยี่สิบปีมั้ง?
หลังไป๋ยี่เฟยตกใจเล็กๆ แล้ว จู่ๆ ก็คิดถึงก่อนหน้านี้อดีตภรรยาที่ชายวัยกลางคนเอ่ยถึง จึงถามขึ้นมาหนึ่งประโยคว่า “งั้นเธอเป็นคนที่เท่าไหร่?”
ชายวัยกลางคนกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนั้นฉันลืมไปแล้ว อย่างต่ำก็น่าจะสิบกว่าล่ะมั้ง เพราะฉันกลัวการอยู่คนเดียวมาก”
ไป๋ยี่เฟยเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ
ชายวัยกลางคนจึงยิ้มกล่าวว่า “ทุกคนล้วนแก่กันหมด แต่ฉันไม่แก่”
“พวกเธอบางคนเลือกที่จะจากไปเอง บางคนก็เป็นฉันที่เลือกจากไป”
“เพราะพอพวกเธอถึงวัยชราใบหน้าก็จะเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น สามีเธอกลับยังเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ฉันคิดว่าพวกเธอน่าจะรู้สึกน้อยใจล่ะมั้ง”
ไป๋ยี่เฟยเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้ากล่าวว่า “งั้นผมคิดว่าผมน่าจะเดาออกแล้วว่าคุณเป็นใคร”
ชายวัยกลางคนยิ้ม ไม่พูดอะไร
ไป๋ยี่เฟยจึงบอกว่า “พวกเขาบอกว่าคุณตายไปแล้ว”
ชายวัยกลางคนกลับพูดว่า “เป็นพวกเขาที่ปรารถนาให้ฉันตาย”
ไป๋ยี่เฟยเงียบไปชั่วครู่ ถามอย่างระวังว่า “แล้วคุณมาหาผม เพราะมีเรื่องจะมอบหมายใช่ไหม?”
จู่ๆ ชายวัยกลางคนก็เงียบไป หลังเงียบอยู่พักหนึ่งถึงกล่าวว่า “ตอนแรกคิดจะบอกบางเรื่องกับนาย แต่ฉันคิดว่าด้วยนิสัยของนายบางทีอาจจะเดาออกแล้ว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นนายก็ไม่ต้องคิดมาก รักษาความเลือดร้อนในใจของนายเอาไว้ ควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ฉันสามารถแบกรับแทนนายได้”
ไป๋ยี่เฟยตกตะลึงอย่างยิ่ง
เวลานี้ชายวัยกลางคนก็หันศีรษะมองมาที่ไป๋ยี่เฟย
สายตาของคนทั้งสองสบกันอีกครั้ง
หลังไป๋ยี่เฟยมองเห็นสายตานั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองตกลงสู่เหวลึก เขาตกลงไปที่ละนิดๆ อย่างไร้แรงต้าน ไม่ว่าทำอย่างไรก็ขัดขืนไม่ได้
ต่อมาร่างกายเขาก็สั่นอย่างรุนแรง จากนั้นจู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมา
ไป๋ยี่เฟยพลันหันหน้าไปมองที่เบาะหลังรถ พบความว่างเปล่า จึงอดส่ายหัวยิ้มขื่นไม่ได้ “เป็นความฝันจริงๆ ด้วย!”
แต่ไป๋ยี่เฟยรู้สึกว่าตนเองใกล้จะเสียสติเต็มทีแล้ว
ความฝันกับความจริงเป็นแบบไหนกันแน่นะ?
ซึ่งความฝันเมื่อกี้นี้ของเขาเป็นสมองของตัวเองเป็นฝ่ายสร้างขึ้นมาหรือเปล่า?
คนคนนั้นในฝันใช่เยว่จริงๆ เหรอ?
เขามีข้อสงสัยกับความไม่เข้าใจมากเกินไป
คิดไม่ตก ไป๋ยี่เฟยจึงคว้าคำพูดที่ชายวัยกลางคนพูดเมื่อกี้ไว้
เขาให้ตนไม่ต้องคิดมากเกินไป ผลที่ตามมาเขาแบกรับได้ทั้งหมด
ประโยคนี้ทำให้ในใจเขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี มักรู้สึกว่าจะมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้น แถมยังเป็นเรื่องใหญ่ที่ตนไร้หนทางต่อต้านด้วย!
ไป๋ยี่เฟยหยิบบุหรี่ที่ซื้อก่อนหน้านี้มาจุดสูบ หลังสูบอยู่สองสามครั้งถึงขับรถเดินทางต่อ
ตอนที่ฟ้าใกล้จะสว่าง เขาก็มาถึงเขตของเมืองเทียนเป่ยแล้ว หลิวเสียพาเขามาพักที่บ้านเล็กๆ นั่นบ่อยๆ
เขาอยากจะลองดูว่าชายคนนั้นยังมีตัวตนอยู่จริงๆ ใช่หรือไม่
เขามาหยุดตรงนอกตัวบ้าน ประตูไม่ได้ปิด ผลักเบาๆ ก็เปิดออก
ภายในบ้าน เขามองเห็นหญิงเจ้าของที่คนนั้นก่อนหน้านี้กำลังนั่งเล่นมือถืออยู่ในบ้าน
ไป๋ยี่เฟยเดินเข้าไป ใช้มือหยิบม้านั่งตัวหนึ่งมานั่งข้างๆ เธอ ก่อนจะถามว่า “ตอนนี้เขาอยู่บ้านไหม?”
ไป๋ยี่เฟยคิดว่าหากเขาเดาถูก ลำดับอาวุโสของหญิงเจ้าของที่คงจะสูงกว่าตนมาก ดังนั้นตอนที่กำลังพูดจึงไม่อาจให้หญิงสาวเงยหน้ามองเขาได้ จึงดูไร้มารยาทอย่างมาก เขาถึงได้หยิบม้านั่งตัวหนึ่งมานั่งลง
แต่เขาคิดมากไป หญิงสาวไม่ได้เงยหน้ามองเขาโดยสิ้นเชิง แต่ก้มหน้าเล่นมือถืออยู่อย่างนั้น “เด็กสาวคนนั้นไม่ได้ไปด้วยกันกับนายหรือ?”
ไป๋ยี่เฟยจึงกล่าวว่า “ที่ผมพูดถึงไม่ใช่เธอ”
“แล้วนายพูดถึงใคร?” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “บ้านนี้ไม่มีใครอื่นแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยพลันเงียบไม่พูดจา
หากที่หญิงสาวคนนี้พูดเป็นความจริงล่ะก็ ทุกอย่างก่อนหน้านี้ก็ล้วนเป็นไป๋ยี่เฟยคิดออกมาเอง เป็นภาพหลอนของเขา แม้แต่เหล้าสีเขียวที่อยู่ในร่างกายเธอนั้นก็เป็นภาพหลอนเหมือนกัน
แต่หากที่หญิงสาวพูดเป็นเรื่องโกหก อย่างนั้นไม่ว่าเขาจะถามอย่างไรก็คงไม่มีทางพูดความจริง
สุดท้าย ไป๋ยี่เฟยก็ส่ายหน้ายิ้มขื่นแล้วกล่าวว่า “ขอโทษด้วย เป็นไปได้ว่าผมอาจจะมองผิดไป”
หลังกล่าวจบก็หมุนตัวเดินจากไป
หญิงสาวเห็นเช่นนี้ก็อดพูดเสียงต่ำไม่ได้ว่า “รู้สึกเป็นประสาทล่ะสิ!”
ไป๋ยี่เฟยออกมาจากตัวบ้าน เกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง “เป็นปัญหาที่ตัวฉันเองจริงๆ?”
“ตัวฉันดูเหมือนจะเกิดปัญหาเสียแล้ว”
จนถึงตอนนี้ไป๋ยี่เฟยก็ยังเป็นเช่นนั้น ในตาเขาเห็นเพียงกลางวัน ไม่มีกลางคืน
พรุ่งนี้ก็คือวันที่หลงหลิงหลิงแต่งงาน เรื่องบางเรื่องคิดว่าคงจะเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาเพราะเหตุนี้
แต่คืนนี้เขาควรจะผ่านมันไปอย่างไรดี?
เขาไม่ได้นอนมาสองวันสองคืนติดต่อกันแล้ว
แต่เขาไม่กล้านอนในบ้านหลังเล็กอีก เพราะเขารู้สึกว่าไม่ปลอดภัย สุดท้ายเขาจึงได้แต่ไปที่คฤหาสน์หลันโปกั่ง
ไป๋ยี่เฟยมาหยุดตรงชั้นล่างของบ้านหลงหลิงหลิงอีกครั้ง
หลังกดกริ่งประตู หลิวเสี่ยวอิงก็เปิดประตู มองเห็นเป็นไป๋ยี่เฟย ก็ประหลาดใจอยู่บ้าง “คุณมาได้ยังไงคะ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยกลับถามว่า “เธอเป็นยังไงบ้าง? ยังสบายดีไหม?”
หลิวเสี่ยวอิงได้ยินสีหน้าก็หม่นลง “เธอไม่ค่อยดีนัก……”
ไป๋ยี่เฟยอดขมวดคิ้วไม่ได้ จากนั้นก็เข้าประตูไปพร้อมกับหลิวเสี่ยวอิง