ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 390
บทที่ 390
แต่ ไป๋ยี่เฟยฆ่าคน และยังถูกตำรวจจับตัวไปแล้ว ซึ่งตอนนี้เขาก็ถูกตำรวจนําตัวไปโรงพยาบาลแล้ว เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาจะถูกพาตัวกลับไปที่เมืองเทียนเป่ยอีกครั้ง เพื่อพิจารณาคดี
การฆาตกรรม มีโทษประหารชีวิต!
อู๋กุ้ยเซียงเดินไปเดินมาในห้องนั่งเล่นอย่างร้อนรน และคิดหาวิธีมากมายเพื่อช่วยไป๋ยี่เฟย แต่ไม่มีเลยสักอย่างที่มีประโยชน์ เพราะการฆาตกรรม มีโทษประหารชีวิต ไม่ว่าจะหลีกหนียังไง ก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้น ตํารวจก็เห็นด้วยตาตัวเองแล้วด้วย
“ทําไมคุณยังดื่มชาอยู่?” คุณช่วยคิดหาวิธีหน่อยสิ!”
ไป่หยุนเผิงพูดอย่างจนปัญญาว่า “จะให้ผมคิดหาวิธีอะไรงั้นเหรอ?”
อู๋กุ้ยเซียงกังวลจนแทบจะทนไม่ไหว หล่อนนั่งลงข้างกายเขา และจับแขนเขาไว้ “คิดหาวิธีช่วยยี่เฟยไง! ตอนนี้เขาถูกตำรวจจับได้ที่จุดเกิดเหตุแล้ว และนั่นก็เป็นการฆาตกรรมด้วย จะต้องโดนโทษประหารชีวิตเลยนะ! ”
“คุณลองคิดหาวิธี และช่วยเขา!”
ไป๋หยุนเผิงใช้มือตบเบาเบาที่มือของอู๋กุ้ยเซียง ซึ่งนับว่าเป็นการปลอบประโลม จากนั้นจึงพูดกับชายชราวัยกลางคนว่า “แกนำเรื่องนี้ไปบอกกับไป๋เซี่ยวนะ”
“ครับ” ชายชราวัยกลางคนก็เดินออกไป
อู๋กุ้ยเซียงเขม็งตาใส่ไป๋หยุนเผิง “นี่ตกลงคุณอยากช่วยลูกจริงจริงหรือเปล่า? ”
ไป๋หยุนเผิงส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าไม่ช่วย แต่มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องช่วย ”
“เขาต้องการแก้แค้น และยังฆ่าคน เรื่องร้ายแรงเช่นนี้ โดยปกติคนทั่วไปจะต้องหลบหนีตํารวจอย่างแน่นอน แต่ทำไมพวกเขาไม่ทํา”
“ไม่เพียงแค่นั้น เขายังจงใจให้ตํารวจเจอตัวเขา และหาเขาจนเจอ คุณคิดว่านี่มันเป็นเพราะอะไรกัน?”
อู๋กุ้ยเซียงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “จงใจถูกจับได้งั้นเหรอ?”
“อืม” ไป๋หยุนเผิงพยักหน้าแล้วพูดต่ออีกว่า “เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าบอกไปแล้วงั้นเหรอ? ตํารวจเจอตัวเขา เพราะมีคนบอกตํารวจถึงตำแหน่งของเขา”
อู๋กุ้ยเซียงพยักหน้า เมื่อครู่หล่อนเอาแต่สนใจเพียงว่าไป๋ยี่เฟยถูกตํารวจจับตัวไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงกังวลจนเกินไป
ไป๋หยุนเผิงพูดต่ออีกว่า “เขาจงใจให้ตํารวจจับเขาเอง และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเขา ดังนั้นคุณต้องเชื่อในตัวลูกชายคุณเพราะเขาเฉลียวฉลาดมาก”
“พ่อเป็นเสือลูกไม่เป็นหมาไง”
อู๋กุ้ยเซียงสงบสติอารมณ์ลง เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ “แต่เขาฆ่าคน จะต้องถูกตัดสินโทษประหารชีวิต แล้วเรื่องนี้ล่ะเราจะทํายังไงกันดี? ”
ไป๋หยุนเผิงนิ่งเงียบ เพราะนี่ก็เป็นจุดที่เขาคิดไม่ออกเหมือนกัน ไป๋ยี่เฟยเป็นคนฉลาด เขารู้ว่าถ้าฆ่าฉุงโยวเวยแล้ว คงอยู่ไม่รอดคืนนี้แน่ ดังนั้นการถูกตํารวจจับตัวไป จึงปลอดภัยมากกว่า แต่การฆ่ามีโทษประหารชีวิต แล้วจุดนี้จะต้องแก้ยังไงดี?
อู๋กุ้ยเซียงเขม็งตาใส่เขา “แล้วทำไมเมื่อครู่คุณยังใจเย็นขนาดนั้นล่ะ ลูกชายยังต้องถูกตัดสินโทษประหารชีวิตนะ! ”
ไป๋หยุนเผิงขมวดคิ้ว พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ต้นขาของตนเองอย่างไม่สามารถควบคุมได้ นี่เป็นจุดตาย
ถ้าไป๋ยี่เฟยไม่เข้าไป ก็จะถูกคนตระกูลฉุงแก้แค้นจนตาย แต่ถ้าเข้าไป ด้วยที่เขาฆ่าคน ก็คงต้องโดนโทษประหารชีวิต ยังไงก็ยังหนีไม่พ้นเป็นคําว่าตายอยู่ดี
ไป๋หยุนเผิงกุมขมับ และปลอบโยนว่า “คุณต้องเชื่อในตัวเขา ผมว่าในเมื่อเขากล้าวางแผนถึงขั้นตอนนี้ ก็น่าจะคิดดีแล้วว่าจะปิดฉากเรื่องนี้ยังไง บางทีเขาอาจจะไม่เป็นไร ”
……
ณ ตระกูลฉุงในเมืองหลวง
เวลาห้าทุ่มกว่า เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว และนี่ก็เป็นเวลาที่ต้องเข้านอนแล้ว แต่ตระกูลฉุงกลับมีแสงไฟลุกโชนอยู่
ด้านนอกคฤหาสน์ มีรถหรูสีดําจอดอยู่คันหนึ่ง
ไม่นานมาก ชายร่างสูงใหญ่ในเสื้อโค้ตก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู ใบหน้ามืดครึ้ม คางของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา และดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาต ดูแล้วเหมือนหัวหน้าโจรคนก่อนเป็นเลย
คนคนนี้ก็คือท่านสามแห่งตระกูลฉุง ฉุงเฉ่าเจว๋ นั่นเอง และยังเป็นพ่อของฉุงโยวเวยอีกด้วย
ฉุงเฉ่าเจว๋ตั้งแต่รู้ว่าลูกชายตัวเองตายแล้วเขาก็ทำหน้ามืดครึ้มตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และความโกรธของเขาก็ถึงขีดสุด หากไม่ระวังตัว ก็อาจถูกระเบิดอารมณ์ใส่ก็เป็นได้
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงส่งข่าวดังมาจากรถคันนั้น
หญิงสาวผิวคล้ำคนหนึ่งพูดกับฉุงเฉ่าเจว๋ว่า “ท่านสาม…เจอตัวแล้วค่ะ ไป๋ยี่เฟยถูกตำรวจจับตัวไปแล้ว แต่เพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้เขาอยู่ในโรงพยาบาลเฟิร์สเป่ยไห่ ตํารวจไม่อนุญาตให้คนเข้าไปพบ”
ฉุงเฉ่าเจว๋ได้ยินดังนั้น ก็ระเบิดอารมณ์ขึ้นมาทันที “บัดซบ! มันจงใจทำ! ”
“ท่านสาม… พวกเราไม่จําเป็นต้องไปอีกแล้ว…”
ฉุงเฉ่าเจว๋ไม่ฟัง “ไปโรงพยาบาลเฟิร์สเป่ยไห่!”
“ท่านสามตระกูลฉุงได้ส่งคนไปแล้วค่ะ อีกอย่างแม้จะไปก็ยังไม่สามารถพบไป๋ยี่เฟยได้ ท่านสามช่าง…”
“ฉันไม่อยากพูดเป็นครั้งที่สองนะ!” เสียงของฉุงเฉ่าเจว๋เพิ่มขึ้นหลายเท่า
เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าที่จะคัดค้านอีก
ฉุงเฉ่าเจว๋แววตาดุร้าย เขาอยากเห็นจริงจริงเลย ว่าคนที่ฆ่าลูกชายเขาหน้าตาเป็นยังไงกันแน่? และมีฝีแค่ไหน?
……
ณ โรงพยาบาลเฟิร์สเป่ยไห่
ไป๋ยี่เฟยฟื้นด้วยอาการมึนงง ทําได้เพียงมองเห็นตัวเองอยู่ในห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาลอย่างเลือนราง
จากนั้น ก็มีเสียงพูดคุยของคนสองคนดังขึ้นมาในห้อง แต่ไกลออกไปจากเขา เหมือนกับว่าพวกเขาจะอยู่ที่ประตู
“รุ่นพี่ เขาฟื้นแล้วเหรอคะ?”
“ยังเลย!”
“เมื่อฟื้นแล้วต้องแจ้งหัวหน้าทันทีนะ”
“รู้แล้วค่ะ ฉันหวังว่าเขาจะไม่ต้องฟื้นแล้วนะ! ฮึ่ม! ฉันไม่ได้เห็นใครที่ฆ่าคนมากขนาดนี้มานานแล้ว! นี่มันคนบ้าชัดชัด! ”
“รุ่นพี่ น้องเองก็รู้สึกเหลือเชื่อมากเหมือนกัน เขาเป็นประธานโหวจวี๋กรุ๊ปเลยนะ ดูแล้วเหมือนว่าเขาจะฆ่าคนไม่เป็น ไม่รู้ว่าทําไมถึง…”
“ประธานโหวจวี๋กรุ๊ปงั้นเหรอ?” เสียงของหญิงสาวคนนั้นดูหมิ่นและเหยียดหยามมาก “คนบ้าคนนี้เนี่ยนะ สมควรเป็นประธานโหวจวี๋กรุ๊ป? คนของโหวจวี๋กรุ๊ปตาบอดกันหมดแล้วหรือไง? ”
“น้องได้ยินมาว่า เขาเป็นตระกูลนักธุรกิจ”
“ไม่แปลกใจเลย นี่ก็เป็นลูกรวยไม่ใช่เหรอ? ด้วยความรักใคร่ของครอบครัว ก็จะทําอะไรตามใจอย่างนี้แหละ กระทั่งตอนนี้กล้าที่จะฆ่าคนได้! ”
“โอ้โฮ?” จริงเหรอคะ? ”
“ไร้สาระ คนรวยพวกนี้ มีข้อดีไม่กี่อย่างหรอก!”
“เอาล่ะ รีบไปพักผ่อนเถอะ! เมื่อเขาฟื้นพี่จะแจ้งหัวหน้าให้เอง ”
“ได้ค่ะ งั้นน้องจะไปห้องข้างข้างก่อนนะคะ”
“……”
ไป๋ยี่เฟยฟังพวกเขาคุยกันอย่างเงียบเงียบ แต่ในความคิดของเขากลับเป็นภาพที่อยู่ในห้องพิเศษ แต่เมื่อมองดูห้องอีกครั้งก็เหมือนแสงไฟที่สว่างจ้าในเวลากลางวัน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกมึนงงขึ้นมาทันที
ต่อมา เสียงพูดคุยก็เงียบหายไป และแทนที่ด้วยเสียงฝีเท้าที่ค่อยค่อยเข้ามาใกล้
ไป๋ยี่เฟยลืมตาขึ้นอย่างเต็มที่ และตอนนั้นเองเขาก็กําลังมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเตียงอย่างสงสัย
หญิงสาวคนนี้สวมเสื้อสเวตเตอร์ กางเกงยีน และตัดผมสั้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งเขาไม่สามารถเดาอายุของหล่อนได้ แต่หล่อนคงเป็นสาววัยทำงานแล้ว น่าจะประมาณยี่สิบต้นต้น!