ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 404
บทที่404
ไป๋ยี่เฟยกับไป๋หู่และคนอื่น ๆ เข้าไปในศาลก่อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่ชัดเจนว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น
ในขณะนี้ไป๋ยี่เฟยและต่งหยีซวน ยืนอยู่ในตำแหน่งจำเลยและทนายความแล้ว ส่วนไป๋หู่และคนอื่น ๆ นั่งอยู่ในห้องพิจารณาคดี
แต่สิ่งที่ทำให้ไป๋ยี่เฟยคาดไม่ถึงคือเขาเห็นหลี่เฉียงตงในห้องพิจารณาคดี หลี่เฉียงตงเหลือบมองไป๋ยี้เฟยและหลบสายตาไปอย่างเรียบเฉยโดยไม่มีอารมณ์ใด ๆ
ด้านนั้น ฉุงเฉ่าเจว๋กับทนายหูยืนอยู่ในตำแหน่งโจทก์และทนายความซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยมองไปที่ฝั่งตรงข้ามและทนายความฝั่งตรงข้ามสวมแว่นตากรอบสีดำ หน้าตาธรรมดา เขาสวมสูทสีดำดูเป็นทางการ เมื่อดูอายุ เขาน่าจะเป็นทนายความที่มีประสบการณ์โชกโชน
ต่งหยีซวนเห็นดังนั้นจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้น: “ทนายฝั่งตรงข้ามคือทนายหู เป็นทนายที่ดีที่สุดในเมืองหลวง”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินดังนั้นจึงเลิกคิ้ว “ให้ความสำคัญกับฉันขนาดนั้น?”
พูดแล้วเขาก็ถามต่งหยีซวน “ทนายที่ดีที่สุดในเมืองหลวง คุณไม่มั่นใจเหรอ?”
“ไม่ค่ะ ฉันมี” ต่งหยีซวนพูดขึ้นด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
ไป๋ยี่เฟยยิ้ม “งั้นก็ดี”
โดยไม่รอให้ต่งหยีซวน พยักหน้ารับ จู่ ๆ ฉุงเฉ่าเจว๋ก็ส่งเสียงดังออกมา “ไป๋ยี่เฟย!”
ฉุงเฉ่าเจว๋ที่กำลังโกรธมองไปที่ไป๋ยี่เฟยและแทบอยากจะแล่เนื้อเถือเส้นเอ็นเขาออกมา “แกยังกล้ายิ้มอะไรอีก?”
“ทำไมผมถึงจะไม่กล้ายิ้ม?” ไป๋ยี่เฟยตอบกลับอย่างเรียบเฉย “ยิ้มเป็นสิทธิส่วนบุคคลของผม ท่านฉุงสามเข้ามายุ่งแม้กระทั่งการที่คนคนหนึ่งจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม มันดูจะเป็นการเข้ามาจัดการที่ไม่เข้าเรื่องนะครับ?”
ฉุงเฉ่าเจว๋ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์แต่เขาก็ยังไม่ปริปากพูดอะไร และสายตาของทุกคนก็ถูกดึงดูดโดยคนที่เข้ามาในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
เพราะผู้ที่เข้ามาเป็นผู้พิพากษาที่เป็นประธานในการพิจารณาคดีในครั้งนี้ เขามีผมสีเงินขาวที่โดดเด่นและแว่นตากรอบแว่นสไตล์เก่า
ที่ด้านหลังพวกเขาคือคณะลูกขุน กู่หรงและคนอื่น ๆ
ถ้าหากไป๋ยี่เฟยได้เห็นมันในระหว่างการสอบสวนเขาคงจะรู้ว่าคนเหล่านี้คือคนเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดี
ผู้พิพากษาเข้านั่งทีละคนและผู้พิพากษาที่อยู่ตรงกลางก็ชำเลืองมองทุกคนจากนั้นก็ดำเนินการตามขั้นตอนการเปิดการพิจารณาคดีในชั้นศาล จนพิธีการเสร็จสิ้นแล้ว ประธานการพิจารณาคดีประกาศการพิจารณาคดีอย่างเป็นทางการ
หลังจากเปิดการพิจารณาคดี ตามกฎแล้วควรจะต้องเป็นทนายหูทนายฝ่ายโจทก์เป็นผู้บรรยายรูปคดีทั้งหมด
ทนายหูบรรยายสิ่งที่เขาได้เรียนรู้อย่างครบถ้วนขณะเดียวกันในกระบวนการบรรยายคำพูดของเขาก็เพื่อปกป้องโจทก์และใส่ร้ายจำเลย
เมื่อเขาบรรยายจนจบ ก็เป็นตาของฉุงเฉ่าเจว๋ ซึ่งแทบไม่ต่างอะไรกับทนายหู
คนจากตระกูลฉุงต่างจ้องมองไป๋ยี่เฟยด้วยความโกรธหลังจากได้ยิน ไป๋ยี่เฟยก็คือปีศาจร้ายฆ่าคนสมควรได้รับโทษประหาร
หลังจากฟังผู้พิพากษาสีหน้าของเขาเรียบเฉยและถามโจทก์ “ยังมีอะไรจะเสริมอีกหรือไม่?”
“มีครับ” ฉุงเฉ่าเจว๋พูดขึ้น “ก่อนที่จะเปิดการพิจารณาคดี ผมได้ไปตรวจสอบที่โรงพยาบาล ไป๋ยี่เฟยไม่มีประวัติความเจ็บป่วยทางจิต และไม่มีไม่มีความผิดปกติทางจิตใด ๆ”
เพียงจุดนี้ก็สามารถตัดโอกาสที่ไป๋ยี่เฟยจะพลิกคดีได้ เพราะคนไข้ที่มีปัญหาทางจิตนั้นสามารถได้รับการละเว้นโทษได้
ไป๋ยี่เฟยเลิกคิ้วเล็กน้อย ถ้าหากไม่มีฉุงเฉ่าเจว๋เตือนสติเขาคงลืมจุดนี้ไปแล้ว อย่างไรเสียโชคดีที่ลืม อย่างไรเสียการทำแบบนี้มีความเสี่ยงมากที่สุด
ผู้พิพากษาหันไปถามจำเลย “จำเลย ที่โจทก์พูดมาทั้งหมดนั้น เป็นความจริงหรือไม่?”
“ไม่เป็นความจริง” ไป๋ยี่เฟยตอบเสียงดังลั่น
ผู้พิพากษาที่เห็นมามากไม่มีการแสดงออกทางสีหน้ามากนัก “ถ้าเช่นนั้นเชิญคุณพูดจากมุมมองของคุณ”
พูดจบต่งหยีซวน ก็พูดขึ้น: “ศาลที่เคารพ เรื่องเป็นอย่างนี้ค่ะ ลูกความของดิฉันฆ่าคนเพื่อป้องกันตัวไม่ใช่เจตนาฆ่าตามที่โจทก์กล่าว”
“แกโกหก!” เพียงฉุงเฉ่าเจว๋ได้ยินคำพูดนี้ก็อดไม่ได้ที่จะสบถขึ้นมา
เห็นชัด ๆ ว่าไป๋ยี่เฟยตั้งใจเดินทางไปที่เป่ยไห่ เพื่อไปหาฉุงโยวเวยและฆ่าเขาโดยเฉพาะ แล้วแม่งแบบนี้จะเรียกว่าป้องกันตัวงั้นหรอ?
คนอื่น ๆ ในตระกูลฉุงต่างตกตะลึง
ป้องกันตัว? แบบนี้เขาเรียกป้องกันตัวเหรอวะแม่ง?
การป้องกันตัวสามารถฆ่าคนจำนวนมากได้ในคราวเดียวและกระบวนการทั้งหมดควรใช้เวลาประมาณสิบนาทีนะ?
ทันใดนั้น คนทางฝั่งโจทก์ต่างอยากจะร้องโวยและสบถ
ต่งหยีซวนได้แต่มองไปที่ฉุงเฉ่าเจว๋อย่างเฉยชาและไม่พูดอะไร
ตอนนี้ผู้พิพากษาเคาะค้อนประธาน “โจทก์ ระวังคำพูดของคุณด้วย ต่อหน้าศาล ขอให้คุณระงับคำพูดที่ยุยงเกินไป การแสดงอารมณ์และคำพูด”
ฉุงเฉ่าเจว๋อดทนอดกลั้นแล้วจึงส่งเสียงอุทานดัง แล้วจ้องเขม็งไปที่ไป๋ยี่เฟย
ต่งหยีซวนเห็นดังนั้นจึงได้พูดต่อ: “สถานการณ์ในตอนนั้นเกิดความสับสนวุ่นวาย ลูกความของดิฉันถูกเหยื่อโจมตี ในสถานการณ์เช่นนั้น เพื่อเป็นการป้องกันตัวและด้วยความตื่นตระหนกถึงขีดสุดทำให้ขาดสติ ดังนั้นจึงได้มีปฏิกิริยาตอบโต้แบบรุนแรงเกินกว่าเหตุ สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นการป้องกันเกินกว่าเหตุเท่านั้นและความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาไม่ถือเป็นความผิด”
ฉุงเฉ่าเจว๋กำหมัดแน่นและหันไปมองทนายหู
ทนายหูส่ายหน้า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาฝ่ายโจทก์ที่จะพูด เขาไม่สามารถจะพูดอะไรออกไปตามอำเภอใจได้
ฉุงเฉ่าเจว๋ถอนหายใจอย่างเย็นชา และใช้สายตาเย็นชาจ้องมองไปที่ไป๋ยี่เฟย
ต่งหยีซวน พูดต่อ: “คดีทั้งหมดแท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้ สาเหตุเกิดจากเหยื่อฉุงโยวเวยข่มขู่ลูกความของดิฉัน ลูกความของฉันต้องมาที่เมืองเป่ยไห่เป็นการส่วนตัวเพื่อค้ำประกันให้กับเหยื่อ แต่เพราะเหยื่อจงใจให้ลูกความของดิฉันเดินทางไปเป่ยไห่ อีกทั้งยังต้องการฆ่าลูกความของดิฉันอย่างเหี้ยมโหด”
“ลูกความของดิฉันถูกปิดล้อมโดยบอดี้การ์ดและพวกมาฝีมือจากฝั่งเหยื่อ ในสถานการณ์เป็นตายเท่ากันเช่นนั้น ลูกความของดิฉันไม่มีทางนอกจากต่อสู้กลับ นั่นทำให้เกิดคดีความนี้ขึ้น”
พูดจบ คนตระกูลฉุงต่างตกตะลึง
นี่มันบิดเบือนความจริงชัด ๆ!
เห็นได้ชัดว่าไป๋ยี่เฟยปล่อยข่าวว่าเขาต้องการจัดการกับฉุงโยวเวยและเย่ฮวน ในความเป็นจริงภายใต้หน้ากากของการเจรจากับเย่ฮวนเพื่อหาฉุงโยวเวยและฆ่าฉุงโยวเวยเสีย
ครั้งนี้ฉุงเฉ่าเจว๋ไม่สามารถอดทนได้อีก “แม่งมึงมันพูดมั่ว ๆ!”
“เงียบ!” ผู้พิพากษาเคาะค้อนประธานอีกครั้ง “โจทก์ โปรดระวังเรื่องอารมณ์ด้วย ไม่เช่นนั้น ศาลจะเชิญคุณออกไปด้านนอกชั่วคราว”
ทนายหูเห็นเช่นนั้นจึงปรามฉุงเฉ่าเจว๋ไว้และพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม: “ศาลที่เคารพ ผมขอค้านความเห็นของฝ่ายจำเลย”
“เชิญพูด” ศาลพยักหน้า
ทนายหูพูดขึ้น: “สิ่งที่จำเลยกล่าวมีข้อสงสัยหลายประการ ประการแรก ทนายความของจำเลยกล่าวว่าจำเลยถูกข่มขู่โดยผู้เสียหายจึงต้องมาพบผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายกับจำเลยเคยพบกันเพียงครั้งเดียว เช่นนั้นผู้เสียหายอาศัยเหตุผลอะไรเพื่อข่มขู่จำเลย?”
“ประการต่อมา การฆาตกรรมต้องมีเหตุกระตุ้น ผู้เสียหายกับจำเลยไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันมากนัก เขาจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องส่งคนไปฆ่าจำเลยด้วยความเหี้ยมโหด”
“เช่นนั้น เดิมที่ทนายฝ่ายจำเลยพูดว่าเป็นการป้องกันตัวนั้นไม่เป็นผล”
ผู้พิพากษาพยักหน้าและมองไปที่ต่งหยีซวน “ขอให้ทนายความของจำเลยอธิบายข้อสงสัยทั้งสองนี้”
ต่งหยีซวนพยักหน้าและพูด: “การคุกคามของเหยื่อที่มีต่อลูกความของดิฉันเกี่ยวข้องกับอีกคดี จะต้องมีการอธิบายใหม่ที่นี่”
ทุกคนตะลึง ยังจะมีคดีอะไรอีก?
ฉุงเฉ่าเจว๋กับทนายหูมีสีหน้าสับสนมากขึ้นและทนายหูก็กังวลมากขึ้นด้วย
ผู้พิพากษาพูดอย่างเรียบเฉย: “เชิญพูด”
“สาเหตุที่ผู้เสียหายคุกคามลูกความของดิฉันเป็นเพราะลูกความของดิฉันรู้เกี่ยวกับการฆาตกรรมของผู้เสียหายฆ่าประธานสหพันธ์ธุรกิจเป่ยไห่หวังไห่”
“อะไรนะ?”
ทุกคนตกตะลึง
คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ต่างเป็นชนขั้นสูงจากที่ต่าง ๆ ซึ่งต่างก็รู้จักหวังไห่ผู้เป็นประธานสหพันธ์ธุรกิจเป่ยไห่เป็นธรรมดา แต่มีการกล่าวกันว่าวังไห่เสียชีวิตไปแล้วเนื่องจากอาการหัวใจวายเฉียบพลันและการช่วยเหลือไม่ทันท่วงที แล้วทำไมถึงกลายเป็นว่าถูกฆาตกรรมได้?