ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 465
บทที่465
อีกด้านหนึ่ง หลิวเสี่ยวอิงเดินไปเรื่อยเปื่อย เพื่อทำให้ตัวเองกลมกลืน ในมือยังถือไวน์แดงไว้แก้วหนึ่งด้วย
วันนี้หลิวเสี่ยวอิงแต่งตัวได้ธรรมดามาก แต่งมันก็ไม่อาจปิดกั้นความสวยของเธอเอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะอยู่ในงานแต่งแบบนี้ แล้วเธอไม่ได้ใส่ชุดราตรีมามันก็ไม่ทำให้เธอดูผิดสังเกตเลย
ดังนั้น หลิวเสี่ยวอิงก็ได้เจอกับชายคนหนึ่งที่เข้ามาจีบ
“สวัสดีครับ คนสวย ผมชื่อหม่าเฉิง ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ชายหมุ่มที่สวมชุดสูทสีเข้มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของหลิวเสี่ยวอิงพร้อมกับแนะนำตัวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
หลิวเสี่ยวอิงเหล่ตามองเขา โดยไม่คิดจะสนใจชายคนนั้น จากนั้นหลิวเสี่ยวอิงก็อ้อมไปทางอื่นแล้วเดินหน้าต่อไป
รอยยิ้มของหม่าเฉิงถึงกับเกร็งไปเลย เขาทำต่อไม่ถูก จากนั้นก็เดินตามเธอไป “นี่คนสวย ทำความรู้จักกันหน่อยก็ได้นะครับ เผื่อต่อไปจะมีเพื่อนเพิ่มขึ้นสักคน!”
หลิวเสี่ยวอิงหยุดเดิน จากนั้นก็พูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่จำเป็นค่ะ”
อย่าคิดว่าเธอจะไม่รู้นะว่าคนที่เข้ามานั้นมีจุดประสงค์อะไรซ่อนอยู่ เธอไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้มาแค่ครั้งสองครั้งสักหน่อย
พอหม่าเฉิงได้ยินอย่างนั้น เขาก็ทำหน้าเขินๆ แต่เขาก็ยังไม่ตายใจ “นี่คนสวย ผมแนะนำตัวเองไปแล้วนะครับ อย่างน้อยคุณก็ควรบอกชื่อให้ผมรู้หน่อยจริงมั้ยครับ? ไม่อย่างนั้น ผมจะขาดทุนมากนะครับ?”
“ไม่มีอารมณ์ค่ะ” หลิวเสี่ยวอิงยังคงทำตัวเฉยชาอยู่ แถมยังดูรำคาญอีกด้วย
พูดจบหลิวเสี่ยวอิงก็เดินไปทางอื่นทันที เดินไปพักหนึ่ง ก็ยังไม่พบอะไร แต่เธอกลับมองเห็นไป๋ยี่เฟย เธอจึงเดินเข้าไปอย่างอารมณ์ดี
หม่าเฉิงเป็นคนที่ไม่ยอมง่ายๆ จึงรีบเดินตามเธอไป
แต่พอมาเห็นหลิวเสี่ยวอิงที่ทำตัวเฉยชาเมื่อกี้กำลังยืนกับผู้ชายอีกคน แววตาที่เต็มไปด้วยความสดใส ยืนพูดคุยกับผู้ชายอีกคน
หม่าเฉิงก็รู้โกรธจนทนไม่ไหว
เมื่อกี้เขาอุตส่าห์เข้าหาหลิวเสี่ยวอิงด้วยความเป็นมิตรขนาดนั้น แต่กลับถูกเธอเย็นชาใส่ ตอนแรกเขายังคิดว่าเธอเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว แต่มันไม่ใช่เลย!
แล้วหันไปดูผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิวเสี่ยวอิง แต่งตัวธรรมดา ดูแล้วก็เป็นแค่ของข้างทาง แถมยังไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนดังนั้นเขาจึงตัดสินว่าชายคนนี้เป็นแค่ชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
คนธรรมดาแบบนี้มาเทียบกับเขาได้ยังไง?
มันต้องไม่ได้อยู่แล้ว!
หม่าเฉิงถือแก้วไวน์เดินมาหยุดอยู่ระหว่างทั้งคู่ “สวัสดีครับคนสวย เจอกันอีกแล้วนะครับ”
พอหลิวเสี่ยวเฟยเห็นว่าเป็นชายคนนี้อีกแล้ว เธอก็มองบนทันที “ขอโทษนะคะ ฉันไม่รู้จักคุณ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมบอกไปแล้วนี่ว่าผมชื่อหม่าเฉิงใช่มั้ย? แล้วคนสวยชื่ออะไรเหรอครับ?” หม่าเฉิงพูดพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างเป็นธรรมชาติ
ไป๋ยี่เฟยมองต่ำมาที่ทั้งคู่ แวบเดียวก็รู้แล้วว่าชายคนนี้ต้องการเข้ามาจีบสาว
หลิวเสี่ยวอิงที่ไม่อยากจุ้นจ้านกับหม่าเฉิง เธอจึงพูดไปอย่า
เรียบเฉยว่า “ฉันไม่ได้อยากรู้จักคุณเลย อีกอย่าง วิธีการจีบของคุณมันเชยมาก ไม่น่าตื่นเต้นเลยสักนิด”
หม่าเฉิงมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ภาพใบหน้าที่แย้มของหลิวเสี่ยวอิงเมื่อกี้กำลังลอยอยู่ในหัวเขา เขารู้สึกไม่พอใจ ไม่พอใจเอามากๆ
ว่าแล้วหม่าเฉิงก็เปลี่ยนประเด็นมาที่ไป๋ยี่เฟย “สวัสดีครับ ผมชื่อหม่าเฉิง ผมทำงานเกี่ยวกับคลินิกเสริมความงาม ลูกค้าของผมเยอะมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าระดับตระกูลเย่ทั้งนั้น ในวงการนี้ผมก็ถือว่าพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง”
ไป๋ยี่เฟยทำหน้างง จะมาบอกเรื่องพวกนี้ให้เขารู้ทำไมเนี่ย?
จากนั้น หม่าเฉิงก็ถามต่อว่า “ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายคนนี้ทำงานอยู่ที่ไหนเหรอครับ? หรือมีธุรกิจประจำตระกูลอยู่แล้ว?”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับต้องขมวดคิ้ว และไม่ได้อยากจะตอบคำถามของชายคนนี้มากนัก “ผมไม่รู้จักคุณ”
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่มีความจำเป็นที่จะเอาของมูลส่วนตัวของตัวเองไปบอกให้คนอื่นรู้
หลิวเสี่ยวอิงทนไปไหวจนต้องขำออกมา ทำเอา หม่าเฉิงรู้สึกคันยิกๆ ในใจ จากนั้นเขาก็รวบรวมความกล้าขึ้นมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้เขาเปลี่ยนวิธีการถามใหม่ “คุณสองคนมาด้วยกันเหรอครับ? ผมไม่เคยเห็นหน้าพวกคุณในเป่ยไห่มาก่อนเลยพวกคุณไม่ใช่คนที่นี่สินะครับ?”
“ใช่ค่ะ” หลิวเสี่ยวอิงพยักหน้า
พอหม่าเฉิงเห็นสาวสวยตอบคำถามมาหลายครั้ง สีหน้าก็ดูดีขึ้นมาทันที “ผมเป็นคนที่นี่ ถ้าพวกคุณต้องการความช่วยเหลือก็มาหาผมได้เลยนะครับ นี่เป็นนามบัตรของผม”
พูดจบ หม่าเฉิงก็ล้วงนามบัตรใบหนึ่งมอบให้หลิวเสี่ยวอิงกับไป๋ยี่เฟยไป
หม่าเฉิงคิดว่าเขาทำถึงขนาดนี้แล้ว ตามมารยาท ยังไงพวกเขาก็ควรแนะนำตัวกับชื่อของตัวเองให้เขารู้บ้างนะ?
แต่ว่าหม่าเฉิงกลับคิดเยอะไป
หลังจากที่หลิวเสี่ยวอิงกับไป๋ยี่เฟยรับนามบัตรไปก็ยังไม่ได้แนะนำตัวให้เขารู้ เพราะชื่อกับตัวตนของพวกเขาจะถูกเปิดเผยไม่ได้ โดยเฉพาะไป๋ยี่เฟย
ตอนนี้ในแวดวงผู้ดีไป๋ยี่เฟยถือว่าเป็นคนดังแล้ว คนดังที่กำลังถูกตามฆ่า
ไป๋ยี่เฟยพูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “อืม ว่างๆ ผมจะแวะไปนะ”
“เราไปทางนั้นกันเถอะ!” จู่ๆ หลิวเสี่ยวอิงก็มาจูงมือไป๋ยี่เฟย
หม่าเฉิงเห็นอย่างนั้นก็ตาค้างไปเลย เขาทนไม่ไหวแล้ว จึงถามไปตรงๆ ว่า “รอเดี๋ยว นี่พวกคุณเป็นแฟนกันเหรอครับ?”
ไป๋ยี่เฟยแอบชักมือออก
หลิวเสี่ยวอิงถลึงตาใส่ไป๋ยี่เฟยอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็หันมามองหม่าเฉิง แล้วตอบไปว่า “ใช่ค่ะ เราเป็นแฟนกัน”
“นี่……” ไป๋ยี่เฟยกำลังจะบอกให้เธออย่าพูดมั่วๆ มือของหลิวเสี่ยวอิงก็ขึ้นมาพัวพันอีกครั้ง แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงที่เย้ายวนว่า “โอ๊ย คุณไม่ต้องเขินขนาดนั้นก็ได้~”
ไป๋ยี่เฟยสั่นไปทั้งตัว ขนแขนลุกไปหมดแล้ว
พอหม่าเฉิงเห็นอย่างนั้น เขาก็เข้าใจว่าสองคนนี้เป็นแฟนกันจริงๆ โดยที่ดูไม่ออกเลยว่าไป๋ยี่เฟยนั้นไม่ได้อยากเข้าใกล้หลิวเสี่ยวอิงจริงๆ “นี่คนสวย ผมว่านะ การที่ผู้หญิงจะหาแฟนสักคน ก็ควรหาคนที่ดูพึ่งพาได้หน่อย ห้ามไปเลือกพวกผู้ชายที่ไม่เอาไหนเด็ดขาดเลยนะครับ ไม่อย่างนั้นคนที่จะขาดทุนก็คือตัวเอง”
“คุณจะบอกว่าเขาพึ่งพาไม่ได้อย่างนั้นเหรอคะ?” หลิวเสี่ยวอิงชี้ไปที่ไป๋ยี่เฟย
หม่าเฉิงพยักหน้า “งานที่ชายคนนี้ทำน่าจะธรรมดามากเลยสินะครับ? แสดงว่าเงินเดือนก็ต้องไม่มาก และไม่สามารถทำให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ คนสวยอย่างคุณต้องมาอยู่กับคนอย่างเขามันดูจะไม่คุ้มเลยนะครับ!”
หลิวเสี่ยวอิงมองบน
แต่ไป๋ยี่เฟยที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับขำออกมา หม่าเฉิงคนนี้ตั้งใจเอาฐานะของตัวเองมาเปรียบเทียบกับเขา จากนั้นก็บอกว่าตัวเองมีเงิน และสามารถทำให้หลิวเสี่ยวอิงมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ใช่มั้ย?
มันทำให้ไป๋ยี่เฟยนึกถึงหลิ่วจาวเฟิง หลิ่วจาวเฟิงเองก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
แต่สุดท้าย หลิ่วจาวเฟิงก็ทำไม่สำเร็จ
ส่วนหม่าเฉิงคนนี้ก็ไม่มีทางเหมือนกัน หึ แน่นอนว่า หลิวเสี่ยวอิงเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงของเขาเหมือนกัน
“ช่วงนี้ผมยังไม่มีงาน” ไป๋ยี่เฟยตอบอย่างเรียบเฉย
พอหม่าเฉิงได้ยินอย่างนั้นเขาก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยิ่งมีความมั่นใจที่จะเกลี้ยกล่อมหลิวเสี่ยวอิงใหญ่เลย “คุณดูสิไม่มีงานทำ ก็เท่ากับไม่มีเงินเดือน แล้วเขาจะเอาเงินที่ไหนมาให้คุณไปซื้อกระเป๋าซื้อเครื่องสำอางเหรอครับ!”
หลิวเสี่ยวอิงทนไม่ไหวแล้ว “ใครบอกล่ะว่าฉันต้องการซื้อกระเป๋าหรือเครื่องสำอาง? คุณป่วยรึเปล่าเนี่ย? เอาแต่วุ่นวายกับฉันอยู่นั่นแหละ ดูไม่ออกรึไงว่าฉันรำคาญ? ทำไมคุณถึงได้หน้าด้านแบบนี้เนี่ย?”
ไม่เสียแรงที่หลิวเสี่ยวอิงมีนิสัยแบบนี้ กล้าพูด!
หม่าเฉิงเหมือนโดนตบหน้าเข้าอย่างจัง ใบหน้าร้อนผ่าว ถึงเขาจะอยากจีบสาวมากขนาดไหน แต่การถูกพูดมาตรงๆ แบบนี้ใครจะไปทนได้กัน นี่มันเท่ากับเอาศักดิ์ศรีของผู้ชายมาเหยียบย่ำเลยนะ
“คุณรู้รึเปล่าว่าตัวเองพลาดอะไรไป? อย่าหาว่าผมไม่เตือนเลยนะ กับผู้ชายที่ไม่เอาไหนแบบนี้ สิ่งที่เขาไม่อาจให้คุณได้แต่ผมสามารถให้ได้!”
“สุดท้าย คุณก็จะต้องมาหาผมอยู่ดี!”