ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 548
บทที่548
หลี่เสว่จ้องเขม็งมาที่หลิวเสี่ยวอิง แล้วพูดต่อว่า “ความจริงฉันดูออกว่าเธอรักเขามาก”
“ฉะ……” กำเสื้อของตัวเองด้วยความตื่นเต้น “ฉันจะไม่รบกวนพวกเธอเด็ดขาด พวกเธอรักกันขนาดนั้น ฉันไม่มีทางทำลายมันเด็ดขาด”
นี่คือคำพูดที่ออกมาจากใจจริง ถ้าหลิวเสี่ยวอิงต้องการทำลายจริงๆ ละก็ เธอก็สามารถฉวยโอกาสตอนที่หลี่เสว่ความจำเสื่อมไปนานแล้ว ทำไมต้องรอจนถึงตอนนี้ล่ะ?
ถ้าจะให้ถูก ตอนนี้คุณธรรมในใจเธอยังคงอยู่ เธอไม่มีทางไปทำเรื่องที่ทำร้ายความสัมพันธ์ของคนอื่นเด็ดขาด
หลี่เสว่จ้องมาที่หลิวเสี่ยวอิง สูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ถามไปว่า “จะไปหาน้าสองเธอได้เมื่อไหร่?”
หลิวเสี่ยวอิงชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบไปว่า “ฉันต้องถามน้าสองดูก่อน เหมือนน้าสองจะติดธุระอยู่ เลยยังไม่มั่นใจเรื่องเวลา”
“โอเค” หลี่เสว่พยักหน้า แล้วหันไปมองไป๋ยี่เฟยที่นอนอยู่บนเตียง สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดในสิ่งที่เธอคิดออกมา
หลิวเสี่ยวอิงกล่าวขอโทษอย่างสุดซึ้ง “ขอโทษจริงๆ นะ”
หลี่เสว่ส่ายหน้าเบาๆ “เธอเองก็เหนื่อยแล้วสินะ? รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ!”
“อืม” หลิวเสี่ยวอิงพยักหน้า แล้วออกจากห้องทันที
พอหลี่เสว่ปิดประตูลง เธอก็มานั่งอยู่ข้างเตียง มองดูไป๋ยี่เฟย จู่ๆ ก็รู้สึกเลื่อนลอย “ฉันทำแบบนี้มันดีแล้วจริงๆ เหรอ?”
หัวใจที่มั่นคงของหลี่เสว่กำลังสั่นไหว
ไป๋ยี่เฟยนั้นจะต้องสืบทอดตระกูลไป๋ แต่เธอไม่สามารถมีลูกได้ จะรักษาได้รึเปล่ายังไม่รู้เลย การที่เธอเอาแต่ยึดเขาไว้แบบนี้มันดีแล้วจริงๆ เหรอ?
แล้วถ้ามันรักษาไม่หายล่ะ?
ถ้าอย่างนั้นเธอก็ควรที่จะเตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จริงมั้ย?
ภาพที่หลิวเสี่ยวอิงกำลังจะจูบไป๋ยี่เฟยเมื่อกี้ผุดขึ้นมาในหัวเธออีกครั้ง ถ้าเธอไปจากไป๋ยี่เฟย แล้วให้หลิวเสี่ยวอิงมาแทนที่มันก็น่าจะรับได้นะ?
พอดีกับที่หลิวเสี่ยวอิงยังสามารถมีลูกให้ไป๋ยี่เฟยได้ เท่านี้ไป๋ยี่เฟยก็สามารถเป็นผู้สืบทอดของตระกูลไป๋ได้แล้ว และจะไม่ถูกตระกูลไป๋ทอดทิ้งอีก
แต่พอคิดไปคิดมา น้ำตาที่แวววาวก็ไหลออกมาจากทางหางตาของหลี่เสว่
ถึงในความคิดมันจะใจกว้างเพียงไหนก็ตาม แต่ความรู้สึกมันกลับใจแคบอย่างถึงที่สุด นี่แหละคือความรัก ไม่มีที่สำหรับคนที่สามเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงจะทำเพื่ออีกฝ่ายก็ตาม
หลี่เสว่เช็ดน้ำตาให้ตัวเอง จากนั้นก็ลุกขึ้นมาเช็ดตัวให้ไป๋ยี่เฟย
……
หลังจากหลิวเสี่ยวอิงออกมา เธอก็นั่งลิฟต์ขึ้นไปบนดาดฟ้า
ในยามค่ำคืน ไฟนีออนทำให้เมืองทั้งเมืองสว่างขึ้นมา
หลิวเสี่ยวอิงยืนอยู่บนดาดฟ้า มองไปยังตึกรามบ้านช่องที่อยู่ไม่ไกลอย่างดูเลื่อนลอย
เธอทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?
ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าไป๋ยี่เฟยกับหลี่เสว่นั้นรักกันมาก แต่เมื่อกี้เธอกลับควบคุมตัวเองไม่ได้จนเกือบข้ามเส้นไปแล้ว ทำไมเธอถึงทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้?
ความรู้สึกผิดมันทำให้เธอไม่สบายใจ
แล้วความคิดอย่างหนึ่งก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในหัวของหลิวเสี่ยวอิง เธออยากจะไปจากไป๋ยี่เฟย รอให้สามารถลืมไป๋ยี่เฟยได้แล้วค่อยกลับมาช่วยเขาในฐานะเพื่อนอีกที
……
แสงอรุณส่องสว่าง เช้าวันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ภายในห้องของโรงแรม ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วตื่นขึ้นมาจากความฝัน
อาการเมาค้างจากเมื่อคืนทำให้ไป๋ยี่เฟยรู้สึกปวดหัวจนหัวแทบระเบิด พอนั่งขึ้นมาได้ เขาก็นวดไปที่ขมับของตัวเองแต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก
“ซี๊ด……”
ไป๋ยี่เฟยนั่งนวดอยู่นานกว่าจะตื่น หัวก็ไม่ได้ปวดขนาดนั้นแล้ว จากนั้นก็สังเกตได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของตัวเอง
แล้วเขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าเมื่อคืนเขาจะดื่มหนักไปหน่อย ถูกหลี่เสว่พยุงมาเปิดห้องที่โรงแรมแล้ว
แต่ว่า ทำไมในห้องถึงมีเขาอยู่แค่คนเดียวล่ะ?
ไป๋ยี่เฟยสังเกตดูรอบ ในห้องน้ำก็ไม่มีเสียง ในห้องนี้มีแค่เขาคนเดียวจริงๆ
“แย่แล้ว!”
จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้หลี่เสว่ต้องไปรับตำแหน่งที่เมืองเป่ยไห่นี่ ตอนนี้หลี่เสว่ต้องไปเมืองเป่ยไห่แล้วแน่ๆ!
เปิดผ้าห่มออก ไป๋ยี่เฟยหันไปดูเวลา นี่มันสิบโมงกว่าแล้ว เขารีบลงจากเตียง ไปอาบน้ำ จากนั้นก็เห็นเสื้อผ้าของเขาที่อยู่ในห้องน้ำ
เสื้อผ้าที่สะอาด
หลี่เสว่น่าจะเป็นคนเตรียมไว้ให้เธอ
ไป๋ยี่เฟยยิ้มอย่างดีใจ “ที่รักนี่ใส่ใจจริงๆ”
หลังอาบน้ำเสร็จ ไป๋ยี่เฟยก็เปลี่ยนชุดแล้วออกจากโรงแรมพร้อมกับมือถือทันที
……
พอขึ้นรถ ไป๋ยี่เฟยก็โทรหาหลี่เสว่ แต่ว่าหลี่เสว่ก็ไม่ได้รับสาย
ไป๋ยี่เฟยคิดว่าหลี่เสว่น่าจะกำลังยุ่งอยู่ จึงไม่ได้โทรอีก จากนั้นเขาก็โทรหาเฉินห้าว
“หัลโหล พี่ พี่ตื่นแล้วเหรอครับ!” เสียงของเฉินห้าวดังขึ้นในมือถือ
ไป๋ยี่เฟยตอบอืม แล้วถามไปว่า เสว่เอ๋อไปเมืองเป่ยไห่แล้วใช่มั้ย?”
“ใช่ครับ พี่สะใภ้เธอไปตั้งแต่เช้าแล้วครับ” เฉินห้าวตอบ
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
หลังจากวางสาย ไป๋ยี่เฟยก็นวดขมับอีกครั้ง อาการเมาค้างนี้มันไม่ดีเอาซะเลย
แล้วจางหัวปินก็โทรมาพอดี
“ผมสืบได้ข้อมูลบางอย่างมาแล้ว คุณช่วยมาที่โหวจวี๋กรุ๊ปหน่อยครับ”
” อืม”
ไป๋ยี่เฟยขับรถไปที่ตึกที่อยู่ตรงข้ามกับโหวจวี๋กรุ๊ป เพื่อรวมกับพวกจางหัวปิน
พอขึ้นไปบนรถคันหนึ่งแล้ว จางหัวปินก็พูดขึ้นว่า ตามที่ได้ไปสืบมา ไป๋เซี่ยวเป็นคนของหลิ่วจาวเฟิงครับ”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้เลย เพราะตอนอยู่บนเรือสำราญหลิ่วจาวเฟิงก็เคยบอกไว้แล้ว
“เย่ฮวนเอาเงินสามพันกว่าล้านมาทิ้งในโหวจวี๋กรุ๊ปอย่างสูญเปล่า แต่สภาพของโหวจวี๋กรุ๊ปตอนนี้คุณก็น่าจะรู้ดี ดังนั้น เมื่อตอนนี้ไป๋เซี่ยวเสนอว่าจะเข้าซื้อโหวจวี๋กรุ๊ป เย่ฮวนก็ตัดสินใจขายไปทันทีโดยไม่ลังเลสักนิด
จางหัวปินพูดไปก็อุทานไป “เมื่อเป็นแบบนี้ ยังไงโหวจวี๋กรุ๊ปก็ยังเป็นทรัพย์สินของตระกูลไป๋อยู่ดี”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้ว “ไป๋เซี่ยวจะซื้อโหวจวี๋กรุ๊ปไปทำไม?”
“อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” จางหัวปินส่ายหน้า
ไป๋ยี่เฟยถามต่อ “แล้วทาง ท่านหลินสามล่ะเป็นยังไงบ้าง? ได้เรื่องอะไรรึเปล่า?”
จางหัวปินพยักหน้า “ในที่สุดก็ได้เบาะแสนิดหนึ่งครับ แต่มันยังไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ”
“เดิมทีหลินยู่ชังกลับไปก็ตั้งใจจะไปหาท่านหลินสามครับ แต่หลิ่วจาวเฟิงก็โทรไปหาท่านหลินสามพอดี ตอนนั้นหลินยู่ชัง ก็อยู่ด้วย หลิ่วจาวเฟิงจึงเอามือถือให้หลินยู่ชังไป”
“พอหลินยู่ชังรับสาย ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนั้น มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ท่านหลินสามถึงยังอยู่รอดปลอดภัยมาได้”
“แต่ไม่สามารถสืบได้ว่าเขาคุยอะไรกันในสายนั้น”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วแล้วใช้ความคิด หลิ่วจาวเฟิงคนนี้ ไม่สิ ต้องบอกว่าไป๋เซี่ยวต่างหากที่ไม่ธรรมดาเลย เบื้องหลังของเขาจะต้องมีคนอยู่แน่ๆ แค่คำพูดไม่กี่คำก็สามารถทำให้เรื่องนี้คลี่คลายไปได้อย่างง่ายดาย
ในตอนนั้นเอง ที่ประตูหน้าของโหวจวี๋กรุ๊ปก็มีคนยี่สิบกว่าคนถูกไล่ออกมา
และในยี่สิบกว่าคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่เขารู้จักด้วย พวกเขาเป็นพนักงานของโหวจวี๋กรุ๊ป
ไป๋ยี่เฟยชะงักไป
จางหัวปินก็สังเกตเห็นเหมือนกัน แล้วได้อธิบายไปว่า “ตอนนี้โหวจวี๋กรุ๊ปเหลือแค่เปลือกเท่านั้น ถ้ายังต้องการรักษามันไว้ ก็จำเป็นต้องไล่คนออกเพื่อลดค่าใช้จ่ายครับ”
พอได้ยินอย่างนั้นไป๋ยี่เฟยก็ขมวดคิ้วทันที
เท่าที่เขาจำได้ คนพวกนี้เป็นพวกที่มีความสามารถอยู่ ต่อให้โหวจวี๋กรุ๊ปต้องการไล่คนออก ก็ควรไล่พวกที่ไม่มีประโยชน์ออกไปสิถึงจะถูก
ที่หน้าประตู คนที่ถูกไล่ออกมาอุ้มกล่องกระดาษเอาไว้ และกำลังขอร้องให้อย่าไล่พวกเขาออกไป
จางหัวปินอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่ตัวเองเก็บเงินเพื่อเอาไปผ่าตัดให้ภรรยา อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “เฮ้อ ทุกคนต่างก็ลำบากกันทั้งนั้น ถ้าไม่ได้ทำเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว แล้วใครจะยอมให้โดนกดขี่แบบนี้?”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินอย่างนั้นเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย แล้วขาก็ขยับเบาๆ
จางหัวปินเห็นเข้าก็รีบกดเขาไว้ แล้วพูดขึ้นว่า “ผมรู้ว่าคุณเห็นใจพวกเขา แต่คุณควรรู้ไว้ว่า ช่วยหนึ่งคนมันได้ แต่ไม่สามารถช่วยทุกคนได้”
“ที่สำคัญ คุณสามารถช่วยได้แค่ชั่วคราว แต่ไม่สามารถช่วยได้ตลอดไป”
“คุณลองนึกดูอีกที ว่าตอนที่คุณออกจากโหลจวี๋กรุ๊ปมีใครบ้างที่ตามคุณมา?”