ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 601
บทที่ 601
“ที่นี่คือห้องครัว เป็นสถานที่ทำงานของพวกคุณคุณลองดูสิว่าพวกคุณสามารถทำอะไรในครัวได้บ้าง?”
เชฟอ้วนยิ้มเยาะอย่างไม่สนใจใคร “แล้วจะยังไงต่อนะ?”
“นี่คุณ!” หญิงสาวโดนทำให้โกรธจนสั่นไปทั้งตัว
เชฟอ้วนส่งเสียงยิ้มเยาะ และพูดด้วยความเหยียบหยามว่า “ใครๆ ก็รู้ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของคุณให้เงินคุณ เพื่อมาช่วยเหลือล่ะก็ ภัตตาคารนี้ก็คงจะโดนยุบไปตั้งนานแล้วและตอนนี้พ่อของคุณก็ตายไปแล้ว คุณยังจะสามารถจ่ายค่าจ้างให้เราได้อยู่หรือเปล่าล่ะ?”
“เจ้านายครับ อย่าหาว่าผมพูดจาไม่ดีเลยนะครับ ถ้าคุณยังอยากเปิดภัตตาคารนี้ต่อไป ทางที่ดีคุณควรสุภาพกับผมและพี่น้องพวกเราหน่อย ไม่งั้นถ้าเราลาออกไปแล้ว ภัตตาคารของคุณจะยังเปิดให้บริการอยู่ไหมล่ะ?”
พวกเขากำลังเถียงกันที่หลังครัวโดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามีคน 3 คนได้ยืนอยู่ที่ประตูแล้ว
หญิงสาวโกรธมาก แต่กลับไม่สามารถพูดอะไรเพื่อโต้ตอบได้เลย
สิ่งที่เชฟอ้วนพูดนั้นสมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก และเป็นที่แน่นอนว่าภัตตาคารแห่งหนึ่งต้องดูที่ฝีมือของเชฟด้วยซึ่งหากเชฟฝีมือไม่ดีแล้วจะมีใครมาทานอาหารที่ร้านล่ะ?
ถ้าเชฟอ้วนพาคนกลุ่มนี้ออกไป หล่อนคงไม่สามารถหาเชฟคนอื่นได้ในทันที และร้านอาหารก็คงจะขาดทุนมากขึ้นอีกด้วย
ขอบตาของหญิงสาวคนนั้นแดงก่ำ เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับตะลึงจนไม่สามารถพูดมันออกมาได้ เพราะไม่มีทางตอบโต้ได้เลย
และในขณะนั้นเอง ไป๋ยี่เฟยซึ่งยืนอยู่ที่ประตูก็ส่งเสียงตำหนิว่า “อยากทำก็ทำไป ถ้าไม่ทำก็ออกไปสะ!”
เมื่อพูดจบ สายตาของทุกคนก็จ้องมา
เมื่อหญิงสาวเห็นไป๋ยี่เฟยก็ตะลึงเล็กน้อย
พึ่งพาเชฟแต่กลับไม่ใส่ใจ เขาพูดด้วยความโกรธ “ไอ้เหี้ยนี่เป็นใคร? ใครบอกให้แกมาเอะอะโวยวายที่นี่วะ”
ไป๋ยี่เฟยไม่สนใจเชฟอ้วนแต่ไปยังด้านหน้าของหญิงสาวและถามว่า “คุณคือ จงยู่ถิงใช่ไหม?”
หญิงสาวพยักหน้าและมองเขาอย่างสงสัย
เมื่อได้ยินดังนั้นไป๋ยี่เฟยก็ยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ผมเป็นเพื่อนพ่อของคุณในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่”
เมื่อพูดจบ สีหน้าของจงยู่ถิงก็แข็งกระด้างขึ้นมาทันที
ปล่อยให้เพื่อนของพ่อเห็นว่าตัวเองโดนรังแกอย่างนี้ ก็รู้สึกน่าอายเหมือนกัน
แต่ไป๋ยี่เฟยกลับไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ และชี้ไปที่คนกลุ่มนั้นพร้อมกับพูดกับจงยู่ถิงว่า “เรื่องที่พวกเขาขโมยของและโกหกเรื่องราคาถ้าคุณไม่คิดที่จะแจ้งตำรวจก็ไล่พวกเขาออกไปตอนนี้”
“และสำหรับเรื่องค่าจ้าง ก็อย่าจ่ายให้พวกเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นเราจะค่อยๆคิดบัญชี
เชฟอ้วนจ้องไป๋ยี่เฟย “คุณเป็นใครกัน? มายุ่งได้ด้วยเหรอ? อยากหาเรื่องเหรอ?”
พูดอย่างนั้น เชฟอ้วนก็โบกมือไปทีหนึ่ง “ต่อยมัน!”
พวกเชฟทั้งหลายเห็นดังนั้น จึงพากันพุ่งไปที่ไป๋ยี่เฟย โดยคิดว่าไป๋ยี่เฟยก็เป็นเพียงชายหนุ่มที่อ่อนแอคนหนึ่ง และคงจะเอาชนะคนกลุ่มหนึ่งไม่ได้อย่างแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม…
“ปัง!”
เชฟคนที่อยู่ตรงหน้าสุดกำหมัดแน่นพร้อมชกไป๋ยี่เฟย แต่กลับโดนไป๋ยี่เฟยชกเพียงหมัดเดียว จนกระเด็นออกไป ชนเตา และล้มลงกับพื้น
เมื่อคนอื่นๆ ด้านหลังเห็นฉากนี้ ทั้งหมดก็หยุดการเคลื่อนไหวลง และพากันตะลึงงัน
เชฟอ้วนก็ตะลึงเช่นกันจากนั้นจึงหยิบมีดทำครัวขึ้นมาพร้อมกับพุ่งออกไปทันที
แต่ เขายังไม่ทันได้พุ่งออกไปดาบสันโค้งเล่มหนึ่งก็กดลงที่คอของเขา
สวีลั่งปรากฏตัวข้างๆเขา และพูดเบาๆว่า “มีดไม่ได้ให้คุณนำมาเล่นแบบนี้”
เชฟอ้วนก็เหงื่อแตกทันทีเขาไม่เห็นเลยว่าสวีลั่งมาได้ยังไงและทำไมอยู่ๆ ดาบสันโค้งเล่มนั้นถึงได้อยู่ที่คอตัวเองแล้ว
เชฟคนอื่นๆ ก็หยิบมีดทำครัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน แต่เมื่อพวกเขาเห็นมีดที่สามารถฆ่าคนได้จริงในมือของสวีลั่งแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็ตะลึงงันและแข็งตัวอยู่กับที่และไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า ทั้งยังไม่กล้าวางมีดลงเช่นกัน
ในที่สุดเชฟอ้วนก็กลัวและถามอย่างสั่นๆ ว่า “ตกลงพวกคุณเป็นใครกันแน่? และต้องการทำอะไร?”
เมื่อได้ยินดังนั้นสวีลั่งก็ยิ้มเยาะ “แกไม่สมควรที่จะรู้ตัวตนของเราหรอก”
ไป๋ยี่เฟยหยิบแตงกวาอันหนึ่งจากเคาน์เตอร์ แล้วโยนไปให้สวีลั่ง
สวีลั่งหยิบมีดออกจากคอของเชฟอ้วนอย่างให้ความร่วมมือ จากนั้นก็ทำท่าทีสองสามครั้งในอากาศ
เมื่อเชฟอ้วนรู้สึกว่ามีดไม่ได้อยู่ที่คอของตัวเองแล้ว เขาก็ดีใจมาก และในขณะที่เขากำลังคิดจะออกไป มีดเล่มนั้นก็ใส่กลับเข้าไปที่เดิมอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันนั้น เมื่อสวีลั่งวางมีดลงที่คอของเชฟอ้วนอีกครั้ง เขาก็ใช้ปลายมีดเตะไปที่แตงกวา และแตงกวาก็กระเด็นตรงไปยังไป๋ยี่เฟย
เมื่อไป๋ยี่เฟยรับแตงกวามาก็เป็นแตงกวาที่โดนปอกเปลือกจนหมดแล้ว
“แควก”
ไป๋ยี่เฟยกัดฟัน และยืนอยู่ตรงนั้นอย่างลวกๆ “ให้พวกคุณเลือกสองทางนะ จะเรียกตำรวจ หรือ…รีบไสหัวออกไปทันที!”
ทั้งเหล่าเชฟและพนักงานเมื่อเห็นดังนั้นต่างก็พากันตกตะลึงในฉากนี้ โดยฝีมือการใช้มีดของสวีลั่งนั้นยอดเยี่ยมมาก และคนเหล่านี้ก็ไม่เคยเห็นฝีมือการใช้มีดแบบนี้จากที่ไหนมาก่อนเลย?
ดังนั้น พวกเขาทุกคนจึงหวาดกลัว และไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
เชฟอ้วนก็กลืนน้ำลายไปด้วยความตกใจ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากลาออกจากภัตตาคารนี้เท่าไหร่ จึงพูดขึ้นว่า “แขกกำลังมาแล้ว ถ้าเราออกกันไป ก็จะไม่มีใครทำอาหาร”
ไป๋ยี่เฟยมองออกไปอย่างเย็นชาและมองออกความคิดของพวกเขา
ในเวลานั้น ก็ไม่ใช่ปลายปี หรือต้นปีอีกด้วยซึ่งถ้าพวกเขาออกไปหางานในตอนนี้ ก็คงจะค่อนข้างยากและคนก็ไม่ใช่น้อยๆ ด้วย
แม้ว่าพวกเขาจะหางานใหม่ได้คงจะไม่ได้รับค่าตอบแทนที่ดีขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ก็ยังมีเจ้านายที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอีกด้วย การที่พวกเขาอยากยักยอกอะไร ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
เชฟอ้วนโลภมากโดยในตอนที่เขาเพิ่งเริ่มขโมยของกลับบ้านใหม่ๆนั้นเขายังรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้าง แต่ในเมื่อไม่เคยโดนจับได้เลย พอนานเข้า เขาก็เริ่มชิน
เมื่อได้รับการพัฒนามาจนถึงตอนนี้แล้ว แม้แต่ในตอนที่โดนเจ้านายจับได้ ก็ยังแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกระทั่งกล้าขัดแย้งกับเจ้านายโดยไม่ให้ความสำคัญเจ้านายเลย
และใช้ประโยชน์จากการที่เจ้านายไม่กล้าไล่พวกเขาออกมาทำตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวใคร
ไป๋ยี่เฟยส่งเสียงเย็นชา และเหลือบมองไปที่สวีลั่งแวบหนึ่ง สวีลั่งจึงหยิบมีดกลับมา และพูดกับทุกคนว่า “พวกคุณไม่จำเป็นต้องมากังวลเรื่องนี้แล้ว”
พอพูดจบแล้ว ไป๋ยี่เฟยก็เดินไปอยู่ตรงหน้าเชฟอ้วนอีกครั้งและพูดกระซิบว่า ที่นี่ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับคุณอีกแล้ว”
“ออกไปสะ!”
เชฟอ้วนเห็นดังนั้นจึงจ้องไปที่ไป๋ยี่เฟยและกัดฟันพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ไปกันเถอะ!”
เชฟอ้วนเดินไปที่ประตู อาจเป็นเพราะว่าระยะทางค่อนข้างไกล ดังนั้นเขาจึงมีความกล้าขึ้นเล็กน้อย และหันหัวไปชี้ จงยู่ถิงกับไป๋ยี่เฟย “นี่คือสิ่งที่พวกคุณพูดเองนะ ลูกค้ากำลังจะมาแล้ว และฉันจะคอยดูว่าพวกคุณจะทำอย่างไร? ”
สีหน้าจงยู่ถิงซีดมาก แต่ในเมื่อหล่อนอดทนมานานขนาดนี้แล้ว และวันนี้หล่อนก็ไม่สามารถทนได้อีกแล้ว บวกกับท่าทีที่ชวนให้คนโมโหนั้น เขาจึงกัดฟันพูดว่า “พวกคุณไม่ต้องกังวลหรอก พวกคุณไปเถอะ”
เชฟอ้วนส่งเสียงเย็นชาและพากลุ่มเชฟนั้นออกไปจากร้านอาหาร
แม้ว่าพวกเขาจะออกไปแล้ว แต่กลับไม่ใช่การออกไปจริงๆ เพราะพวกเขาถูกไล่ออก และรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ ดังนั้นพวกเขาจึงอยากเห็นเรื่องตลกของเจ้านาย
ดังนั้นกลุ่มคนนั้นจึงออกไปด้านนอกร้านอาหาร และดูสถานการณ์จากทางหน้าต่างที่อยู่ด้านนอก
จงยู่ถิง ถอนหายใจแล้วในใจก็นึกไปถึงสิ่งที่จะต้องเผชิญในไม่ช้า
ไป๋ยี่เฟยมองไปที่หล่อนและถามขึ้นอีกครั้ง “คุณคงชื่อจงยู่ถิงจริงๆใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ” จงยู่ถิงพยักหน้า แล้วกล่าวขอโทษว่า “ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ แม้ว่าคุณจะช่วยฉันได้แต่ตอนนี้ไม่มีเชฟเลยสักคน เกรงว่าคงให้พวกคุณทานข้าวไม่ได้แล้ว”
“เราไม่ได้มาเพื่อทานข้าว” ไป๋ยี่เฟยยิ้มและตอบว่า “เรามาเพื่อ…”
ในขณะนั้นเอง พนักงานบริการคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา และพูดอย่างรีบร้อนว่า “เจ้านายคะลูกค้ามาแล้วค่ะ!”
เมื่อพูดจบ สีหน้าของจงยู่ถิงก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
พนักงานบริการเห็นดังนั้นก็มองไปที่ไป๋ยี่เฟยพวกเขาอย่างกลัวจนตัวสั่น แต่เขาก็ยังถามอย่างระมัดระวังว่า “เจ้านายคะ เราจะทำยังไงดีคะ? ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหนูจะไปบอกกับลูกค้าเหล่านั้นว่า วันนี้ปิดบริการดีไหมคะ?”
จงยู่ถิงถามกลับว่า “มากันกี่คนล่ะ?”
10 กว่าคนค่ะ ไม่ใช่แค่โต๊ะเดียว ตั้ง 3 โต๊ะเลยนะคะ” พนักงานบริการตอบกลับ
จงยู่ถิงนิ่งไปครู่หนึ่ง “มาด้วยกันงั้นเหรอ เป็นไปได้อย่างไร?”
พนักงานบริการเห็นดังนั้นก็ส่ายหัว “หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ไม่อย่างงั้นเราควรจะปิดบริการชั่วคราวดีไหมคะ?”
“ไม่ได้” จงยู่ถิงส่ายหัว “เราบอกไปแล้วว่าใน 365 วัน เราจะเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน หากปิดให้บริการ ก็จะส่งผลไม่ดีแน่”
“แล้วควรทำยังไงดีคะ?” พนักงานบริการกังวลเป็นอย่างมาก
เมื่อจงยู่ถิงเห็นดังนั้นจึงกัดฟันพูดว่า “ไปสั่งอาหารให้ลูกค้า”
เมื่อได้ยินดังนั้นพนักงานบริการจึงพยักหน้า “ค่ะ เจ้านาย”
จากนั้นพนักงานบริการจึงวิ่งออกไปโดยตรง
จงยู่ถิงหยิบผ้ากันเปื้อนอันหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับพันรอบตัว จากนั้นจึงพับแขนเสื้อขึ้น และมองไปที่เตา พร้อมกับให้กำลังใจตัวเองว่า “จงยู่ถิงสู้ๆ เธอต้องทำได้!”
“เสี่ยวจาง มา ให้ฉันลงมือเอง”