ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 607
บทที่ 607
สวีลั่งเตะเปิดประตูบ้านของตัวเอง หยางเฉียวในห้องรับแขกก็ลุกขึ้นทันที “พี่ลั่งพี่กลับมาแล้วเหรอคะ?ทานมื้อ…”
หยางเฉียวยังพูดไม่ทันขาดคำ ก็เห็นว่าบนหลังของสวีลั่งแบกเด็กผู้ชายไว้คนหนึ่งหล่อนจึงตะลึงไปในชั่วขณะหนึ่ง
สวีลั่งก็เปลี่ยนเป็นท่าทีประนีประนอมทันที และถามว่า “หลินอยู่ที่ไหน?”
หยางเฉียวตอบว่า “หลับไปแล้วค่ะ”
สวีลั่งพูดว่า “ไปปลุกเขา และอาบน้ำให้เด็กคนนี้ เขาอายุ 10 กว่าปีแล้ว อายเป็นแล้ว”
หยางเฉียวส่งเสียงตอบรับอย่างรวดเร็ว และขึ้นไปชั้นบนเพื่อปลุกหยางหลิน
หลังจากกลับจากเมืองหลัน สวีลั่งบอกว่าเขาอยากให้หยางเฉียวเป็นน้องสาวตัวเอง ดังนั้นน้องหยางเฉียวจึงอาศัยอยู่กับสวีลั่งมาโดยตลอด
สวีลั่งสอนให้ หยางเฉียวใช้คอมพิวเตอร์ และยังซื้อมือถือให้พวกเขา เพื่อว่าสิ่งไหนที่พวกเขาไม่รู้ก็สามารถค้นหาได้จากเว็บไซต์ไป่ตู้
น้องหยางเฉียวพอใจเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายแล้วหล่อนก็มาถึงยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยซึ่งมันแตกต่างจาก เมืองหลันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นหล่อนจึงไม่กล้าออกไปข้างนอกเลยเอาแต่เรียนหนังสือที่บ้านและคอยช่วยสวีลั่งทำความสะอาดบ้าน
สวีลั่งอยู่ที่ชั้น 1 ส่วนน้องหยางเฉียวอยู่ที่ชั้น 2
แม้ว่าสวีลั่งจะพูดน้อย แต่พวกเขาทั้ง 3 คนก็รู้สึกเหมือนกับว่าอยู่ด้วยกัน และแน่นอนต้องมีความรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันด้วยเช่นกัน
สวีลั่งคนนั้นก็เกือบตายมาแล้วเพราะไป๋ยี่เฟยเคยบอกกับสวีลั่งว่าตอนนั้นหยางเฉียวเสียใจมากมายแค่ไหน
เมื่อสวีลั่งพวกเขาทั้งสองเผชิญหน้ากัน กลับไม่มีใครริเริ่มที่จะพูดถึงเรื่องในวันนั้น และไม่มีใครกล้าบอกความลับออกไป
เมื่อหยางเฉียวเห็นสวีลั่งแบกเด็กผู้ชายกลับมา เขาก็อยากรู้อยากเห็น และที่มากกว่านั้นคือกังวลใจ
แต่หยางเฉียวกลับไม่แสดงออกมาจึงได้แต่ยื่นมือออกมาอุ้มหลี่โย่วเซิง เบาๆ จากนั้นก็วางเขาลงบนโซฟา
หลังจากที่หยางหลินตื่น คนทั้งคนก็อยู่ในสภาพงุนงงจากนั้นเขาก็ไปอาบน้ำให้หลี่โย่วเซิง
และในตอนนี้ก็มีเพียงสวีลั่งกับหยางเฉียวเท่านั้น หยางเฉียวจึงไปที่ห้องครัวเพื่ออุ่นอาหาร และยกออกมาให้สวีลั่งทาน
เมื่อครู่ที่อยู่ในร้านบะหมี่นั้น สวีลั่งไม่ได้ทานบะหมี่ เพราะเขารู้ว่า เขามีกับข้าวอยู่ที่บ้าน ดังนั้นถึงเขาจะหิวก็เลือกที่จะไม่ทาน
สวีลั่งพูดไปด้วยทานข้าวไปด้วย “เดี๋ยวต้องซื้อของใช้ประจำวันให้เขาก่อน พี่ค่อยขอให้ไป๋ยี่เฟยติดต่อโรงเรียนให้ แล้วน้องค่อยส่งเขาไปโรงเรียนนะ”
“ได้ค่ะ” หยางเฉียวพยักหน้า
หลังจากทานข้าวเสร็จ สวีลั่งก็หยิบจานและคิดว่าจะไปล้างด้วยตัวเองแต่หยางเฉียวก็รีบแย่งมาทันที “เดี๋ยวน้องล้างเองค่ะ”
แต่มันก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีและเผลอชนจานที่อยู่บนโต๊ะจนแตก
“โครม!”
จานร่วงลงกับพื้นและแตก
ทั้งสองตะลึง จากนั้นหยางเฉียวจึงย่อตัวลงเพื่อหยิบชิ้นส่วนของจาน และพูดขอโทษว่า “น้องขอโทษด้วยนะคะ น้องไม่ได้ตั้งใจ น้อง…โอ๊ย!”
เพราะเขารีบร้อนและหยิบจานที่แตกนั้นอย่างไม่ระวัง เลยโดนจานที่แตกนั้นบาดมือจนเป็นแผล และเลือดก็ไหลออกมาทันที
เมื่อสวีลั่งเห็นดังนั้นจึงรีบวางจานลงทันที พร้อมกับย่อตัวลง และจับนิ้วของหยางเฉียวไว้ จากนั้นจึงนำนิ้วมือที่มีรอยบาดนั้นเข้าปากโดยไม่รู้ตัวและดูดเลือดนั้นจนสะอาด
หยางเฉียวเบิกตากว้างขึ้นทันที พร้อมกับหยุดหายใจไปในชั่ววินาที จากนั้นแก้มของหล่อนก็แดงอย่างรวดเร็ว และร้อนขึ้นๆ เรื่อยๆ
ที่จริงแล้วบาดแผลเล็กน้อยนี้สำหรับสวีลั่งแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อสวีลั่งเห็นหยางเฉียวได้รับบาดเจ็บแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็ตื่นเต้นจนแทบจะทนไม่ไหว
หยางเฉียวเขินอายจนต้องก้มหน้าลง และพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ในบ้าน…มียาอยู่…”
แม้ว่าเสียงจะแผ่วเบา แต่สวีลั่งก็ได้ยิน และรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
ในตอนนั้นเอง สวีลั่งถึงรู้สึกตัวว่า มันเป็นเพียงแค่แผลเล็กน้อย เพียงแค่ฆ่าเชื้อ และทำการปิดแผลก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่ทำไมเขากลับทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่สะงั้น…
ที่จริงแล้วสวีลั่งในฐานะนักฆ่า เมื่อทำภารกิจก็มักจะได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว แน่นอนว่าเมื่อได้รับบาดเจ็บต้องจัดการกับบาดแผลของตัวเอง และนี่ก็เป็นสัญชาตญาณในการช่วยเหลือตัวเองของนักฆ่า แต่วิธีการก็ค่อนข้างง่ายและหยาบคาย
หลังจากที่สวีลั่งได้สติกลับมา สีหน้าก็แดงขึ้นเล็กน้อย เขาจึงก็ลุกขึ้นไปหยิบยา “ถ้าอย่างนั้น…เดี๋ยวพี่ไปหยิบยามาให้นะ…”
แต่ในขณะที่เขาลุกขึ้น หยางเฉียวก็คว้ามือ สวีลั่งไว้
สวีลั่งตะลึงเหมือนกับว่าเขาโดนกดปุ่มหยุดชั่วคราวเลย
ในขณะนั้นเอง บรรยากาศในนั้นก็เริ่มคลุมเครือขึ้นมา
ทั้ง 2 มองหน้ากันอย่างนิ่ง และเห็นร่องรอยของอารมณ์ที่แตกต่างกันในดวงตาของพวกเขา เช่นหลงใหล และความสับสนวุ่นวาย
ทันใดนั้น เสียงของไป๋ยี่เฟยก็ดังขึ้นข้างหูสวีลั่ง “นายอายุ 30 แล้วนะ ควรมีแฟนสักคนได้แล้ว”
สวีลั่งหัวใจเต้นรัว ในสมองก็โผล่ความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้“การมีแฟนสักคน มันรู้สึกยังไงกันนะ?”
ในขณะที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองก็ค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ จนหัวชนหัว จึงทำให้สวีลั่งสามารถได้กลิ่นตัวของหยางเฉียวได้อย่างชัดเจน
“แล้วการมีครอบครัวล่ะมันจะรู้สึกยังไงกัน?”
“ไม่สิต้องรู้สึกไม่ดีแน่ๆ ”
“แต่ทำไมหัวใจมันกลับเต้นเร็วขึ้น”
“ไม่ได้ ผมเป็นนักฆ่า ผมทำแบบนี้ไม่ได้ ผมต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา”
“ไม่!”
ในขณะที่สวีลั่งกำลังพยายามต่อสู้อยู่นั้น ริมฝีปากทั้งสองก็สัมผัสกันอย่างแผ่วเบา
ในขณะเดียวกันนั้น
“พี่ลั่ง น้อง!”
เสียงของหยางหลินดังมาจากชั้นบน
เสียงตะโกนนี้ ทำให้สวีลั่งและ หยางเฉียวทั้งคู่ต่างพากันตกใจ จากนั้นทั้งสองจึงออกจากกันทิ้งระยะห่างสวีลั่งก็ลุกขึ้นยืนทันที หน้าแดงจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร และเริ่มกลับไปอยู่ในที่ของตัวเองอย่างไม่สามารถอธิบายได้ จากนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้าง “เอ๊ะ…นั่น…สวัสดี เอ่อไม่สิ…”
ใบหน้าของหยางเฉียวก็แดงมากเช่นกัน และเขินอายจนต้องก้มหน้าลง ไม่กล้ามองสวีลั่ง แต่หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่สวีลั่งพูด ก็ตะลึง
สวีลั่งตบหน้าผากตัวเอง สุดท้ายก็เข้าใจว่าเขาวู่วามเกินไป และในขณะที่เขากำลังจะพูด เสียงของหยางหลินก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่ลั่ง รีบขึ้นมาสิ!”
สวีลั่งตอบกลับ และรีบหันตัวเดินขึ้นไปยังชั้นบน แต่ในขณะที่เขาขึ้นไปชั้นบนนั้น บางทีอาจเป็นเพราะยังไม่ได้สงบอารมณ์ จึงตื่นตระหนกตกใจ และเกือบจะล้มลง
เมื่อ หยางเฉียวเห็นดังนั้นก็ตกใจตามไปด้วยเช่นกัน โชคดีที่ทักษะเขาดี จึงสามารถควบคุมตัวเองได้
เมื่อเห็นว่าสวีลั่งกำลังขึ้นไปที่ชั้นสอง หยางเฉียวก็ยื่นมือเล็กๆ ของตัวเองออกไป และคอยพัดลม พยายามลดอุณหภูมิบนใบหน้าให้ลง แต่มุมปากของหล่อนก็ยกขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับความรู้สึกที่หวานเจี๊ยบ
บนชั้น 2 เมื่อสวีลั่งไปถึงก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นหยางหลินและ หลี่โย่วเซิง
หลี่โย่วเซิงโดน หยางหลินถอดเสื้อผ้าจนหมด และซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องน้ำด้วยความหวาดกลัว สายตาของเขาเต็มไปด้วยการป้องกันความกลัว และกำลังมองไปที่ หยางหลินอย่างสั่นเทา
แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ หยางหลินเรียกสวีลั่งขึ้นมา
สาเหตุที่แท้จริงคือบนร่างกายของ หลี่โย่วเซิง เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น
ไม่เพียงแค่นั้น ที่แขนมีรอยแผลเป็นมากมาย ซึ่งคาดว่าน่าจะมากกว่า 20 แผล แต่แผลเหล่านี้ก็ตกสะเก็ดและหลุดลอกออกไปจนหมดแล้วและเหลือไว้เพียงร่องรอยเท่านั้น
ทั้งสวีลั่งและ หยางหลินต่างก็ตกใจ
เด็กที่อายุเพียง 10 ขวบเท่านั้นต่อให้ไม่ใช่คนในครอบครัวตัวเอง ก็ไม่สามารถอดใจไปตีเขาแบบนี้ได้!
ความโกรธของสวีลั่งก็เพิ่มขึ้นมาทันที และกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
หยางหลินไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี“พี่ลั่ง…”
สวีลั่งหายใจเข้าลึกๆ ไปทีหนึ่ง แล้วโบกมือเรียกหลี่โย่วเซิง “มานี่”
หลี่โย่วเซิงมองไปที่หยางหลิน อย่างเต็มไปด้วยความกลัว และมองไปที่สวีลั่งอีกครั้ง ในที่สุดก็เดินมาต่อหน้าสวีลั่งอย่างระมัดระวัง จากนั้นเมื่อเข้ามาใกล้ ก็กอดแขนของสวีลั่งไว้ และซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเขา
สวีลั่งย่อตัวลง พร้อมกับกดไหล่ของเขา และถามว่า “พวกนี้ใครเป็นคนตี?”
“พ่อพี่ชาย และปีศาจจิ้งจอกนั่นครับ”
เส้นเลือดบนหน้าผากสวีลั่งก็ปรากฏขึ้นมาทันที
เขาคิดไม่ออกเลย
นอกจากนางปีศาจจิ้งจอกนั่นแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เป็นทั้งครอบครัวที่ใกล้ชิดที่สุด ทำไมกลับต้องตีลูกแบบนี้ด้วย ตกลงมันมีความเกลียดมากขนาดไหนกันแน่?
เดิมทีสวีลั่งต้องการแค่เลี้ยงดูเขาไปสักระยะก่อนที่จะไปสอบสวนนางปีศาจจิ้งจอกที่หลี่โย่วเซิงพูดนั้นถ้านางปีศาจจิ้งจอกมันทำมากเกินไปขนาดจริงๆ เช่นนั้นเขาก็จะฆ่านางปีศาจจิ้งจอกนั่นทิ้งไป แล้วค่อยส่งตัวหลี่โย่วเซิงคืนให้พ่อเขา
แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่า มันไม่จำเป็นอีกต่อไป
สวีลั่งลูบหัวของ หลี่โย่วเซิง และพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า “โย่วเซิง ลูกจำไว้ว่า ต่อจากนี้ไป ลูกเป็นคนตระกูลสวี และเป็นลูกชายของสวีลั่ง ”
“ต่อจากนี้ลูกจะต้องติดตามพ่อตลอดไปตราบใดที่ยังมีพ่อ จะไม่มีใครกล้ารังแกลูกอีก”
หลี่โย่วเซิงก้มหน้าลงและไม่กล้าพูดอะไรเลย
หยางหลินมองทั้งสองอย่างไม่เข้าใจจึงถามขึ้นว่า “พี่ลั่ง นี่……มันเรื่องอะไรคะ?”