ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 626
บทที่ 626
“คนคนหนึ่ง ไม่ว่าโดนขังนานขนาดไหน อาจจะเป็นไปได้ที่เขาจะลืมทั้งหมด แต่จะไม่ลืมว่าทำไมเขาต้องถูกขัง ก็จะไม่ลืมคนที่ขังเขาไว้คนนั้นอย่างเด็ดขาด!”
“และหลายปีนี้เขานอกจากตนเอง ใครๆล้วนไม่ได้เจอมาก่อน ดังนั้นสมองใหญ่ของเขาคือว่างเปล่า หลังจากตอนที่เขาได้เห็นคนอีกครั้ง เขาสามารถเก็บใบหน้าของคนทั้งหลายไว้ในสมองใหญ่ที่ว่างเปล่าของเขาไว้อย่างง่ายดาย”
“ผลการสืบของเราแสดงให้เห็นว่า ซาเฟยหยางเป็นคนดีคนหนึ่ง ในเมื่อเป็นคนดีคนหนึ่ง งั้นทำไมเขาจะไปหลันเต่าล่ะ? เพื่อทองคำหรือ? นี่น่าจะเป็นไปไม่ได้”
“ดังนั้นเขาไม่ได้ทำเพื่อทองคำก็แล้วไป งั้นเพื่ออะไรอีกล่ะ?”
“เขาบอกว่าเขาจำได้แค่คนที่ขังเขาเป็นเหลียงหมิงเยว่ คนอื่นๆอะไรเขาล้วนจำไม่ได้แล้ว แต่ว่าฝีมือของเหลียงหมิงเยว่สู้เขาไม่ได้อย่างเด็ดขาด!”
“ยังมีจุดหนึ่ง เหลียงหมิงเยว่ทำไมต้องซ่อนทองคำอยู่ในสถานที่แบบนี้ กลับหันไปก่อตั้งอีกฝั่งหนึ่งของหลันเต่าล่ะ?”
“หลายปีนี้ คนที่ทำการพัฒนาหลันเต่า ถ้าหากว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคือหาทองคำเหล่านี้ให้เจอ นี่ล้วนไม่สมเหตุสมผล ดั้งเดิมของพวกเขาก็เป็นคนของสหพันธ์ธุรกิจ คนที่ทำการพัฒนาหลันเต่าก็เป็นสหพันธ์ธุรกิจเช่นกัน”
“พูดได้อีกว่า ความมั่งคั่งที่ได้มาจากทองคำชุดนี้เพียงพอที่จะสร้างประเทศประเทศหนึ่งแล้ว แต่ว่าเหลียงหมิงเยว่ไม่เพียงไม่ได้เตะต้อง ทองคำชุดนี้ กลับหาสถานที่ซ่อนพวกมันไว้ ”
หลังจากจางหัวปินได้ฟังการวิเคราะห์ของไป๋ยี่เฟยจบ โดยจิตใต้สำนึกขมวดคิ้วขึ้นมา ดูเหมือนเขาไม่เคยคิดลึกเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้มาก่อนจริงๆ
ดังนั้นเขาไม่แน่ใจถามว่า “ดังนั้นคุณสงสัยซาเฟยหยางมีปัญหาหรือ?”
ไป๋ยี่เฟยกลับพูดว่า “ไม่เพียงแค่เขา แต่เป็นคนทั้งหลายเรื่องทั้งหมดล้วนมีปัญหา”
“เริ่มตั้งแต่ผมรับต่อโหวจวี๋กรุ๊ป หลิ่วจาวเฟิงเป็นศัตรูกับผมมาโดยตลอด ที่คล้อยตามกันหลิ่วซื่อกรุ๊ปก็เป็นศัตรูกับผมเช่นกัน หลังจากหลิ่วซื่อกรุ๊ปล้มแล้ว หลิ่วจาวเฟิงกลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากนั้นจึงรู้ว่า เขามีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่กว่า”
“ตอนนั้นหวังโหลวแน่ใจว่าตระกูลเย่อยู่เบื้องหลังของเขา แต่ตอนที่อยู่การคัดเลือก เห็นได้ชัดมากว่า เบื้องหลังของเขาไม่ใช่ตระกูลเย่เลย จากนั้นอยู่ในงานเลี้ยงฉลองของภรรยาผม หลิ่วจาวเฟิงพูดกับผมด้วยปากตนเอง เบื้องหลังของเขาคือสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวง แต่ต่อจากนั้นเขาถูกคนช่วยไป”
“มีคนบอกกับผม คนที่ช่วยเขาเป็นตระกูลหลิน แต่วันนั้นหลักๆที่เขาไปคืออยากจะลงมือกับสวี่ชางน้องชายของประธานสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวง ดังนั้น หลิ่วจาวเฟิงก็ไม่ใช่คนของสหพันธ์ธุรกิจเช่นกัน”
“แต่จะพูดว่าเขาเป็นคนของตระกูลหลิน ท่านสามตระกูลหลินเข้าร่วมลอบสังหารเหลียงหมิงเยว่ คือถูกสหพันธ์ธุรกิจช่วยไว้”
“ตอนนั้นท่านรองตระกูลหลินก็อยู่บนเรือ หลิ่วจาวเฟิงก็ไม่ได้ไปพบเจอ นี่ก็ยิ่งไม่สมเหตุสมผลแล้ว”
“ด้วยเหตุนี้ คนที่ช่วยเขาเป็นตระกูลหลิน แต่คนที่ปกป้องตระกูลหลินคือสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวง ลอบสังหารสวี่ชางคือหลิ่วจาวเฟิง นี่จะอธิบายยังไงหรือ?”
“เอ่อ……” จางหัวปินดูเหมือนถูกไป๋ยี่เฟยอ้อมจนเวียนหัวเล็กน้อย ได้เพียงแต่ส่ายหัว
ไป๋ยี่เฟยพูดอีกว่า “ซูต้าหลิวอยู่ในห้องดับจิตมาโดยตลอด ไม่มีใครจะรู้จัก ก็จะไม่ได้รับการเห็นความสำคัญเช่นกัน แต่ว่า อยู่ระหว่างทางที่เรากลับไป ประสบพบกับการจู่โจม ตอนเวลานั้นคือโทรหาซูต้าหลิวให้มารับพวกเรา”
“แต่ว่า ตอนนั้นเต้าจ่างไม่รู้เส้นทางกลับกับเวลาของพวกเรา ทำไมโผล่อยู่สถานที่ที่เราจะขึ้นฝั่งพอดี?”
ได้ยินถึงตรงนี้ จางหัวปินนึกถึงอะไร สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “บนเรือมีหนอนบ่อนไส้” ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าต่อๆกัน
จางหัวปินคิดแล้วคิดอีก คาดเดาพูดว่า “จะเป็นลูกเรือกลุ่มนั้นหรือไม่?”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหัว “ไม่ ในเมื่อล้วนไม่มีคนรู้จักซูต้าหลิว งั้นเขาจ้างเรือลำนั้น ใครจะรู้ล่วงหน้าได้ อีกทั้งวางแผนหนอนบ่อนไส้อยู่บนเรือลำนั้นล่ะ?”
หลังจากสงสัยงงงวยจริงๆแล้ว
แต่เรื่องทั้งหมดบนโลกนี้ล้วนจะมีต้นสายปลายเหตุ ตอนนี้พวกเขาได้เพียงแต่เห็นผลลัพธ์ กลับไม่รู้ อีกทั้งไม่เคยไปคิดต้นเหตุมาก่อน
นี่ ร้ายแรงมาก
อยู่ดีๆไป๋ยี่เฟยพูดอย่างหนักอึ้งว่า “พวกเราถูกเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวมาโดยตลอด ถูกวางแผนทำร้ายมาโดยตลอด จูงจมูกเดินอยู่!”
“อาจารย์ผม ฉีฉี เต้าจ่าง พวกเขาทุกคนล้วนรู้การคงอยู่ของผม นี่เป็นเพราะอะไรหรือ?”
“ยังมี ภรรยาของผมทำไมถูกย้ายไปเมืองหลวงล่ะ?”
“อีกทั้ง ในเมื่อเต้าจ่างคาดเดาได้แล้วว่าพวกเราจะไปหาทองคำ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่เข้าใจนิสัยของอาอู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาไม่ได้ว่าอาอู่จะเกิดใจที่เห็นแก่ตัวขึ้นมา”
“อย่างนั้น ทำไมเขาไม่ตามมาด้วยตนเองล่ะ? แต่กลับส่งอาอู่เข้ามาล่ะ?”
ปัญหาทั้งหมดของไป๋ยี่เฟย ทำให้จางหัวปินพูดอะไรไม่ออก
แต่สายตาของไป๋ยี่เฟยยิ่งมายิ่งชัดเจน
ไม่ใช่เนื่องเพราะเขาคาดเดาอะไรได้ แต่คือเขาคาดเดาไม่ได้ เขาเริ่มสงสัยอยู่ สงสัยทั้งหมดนี้แล้ว
มีบางเรื่องที่ไม่รู้ไม่เป็นไร แต่คุณต้องไปคิด เพียงแค่คุณไปคิด ก็จะไม่มีเรื่องที่คุณจะไม่เข้าใจ
อยู่ดีๆไป๋ยี่เฟยทอดถอนใจ “ไอ่ เดิมทีผมคิดว่าศัตรูของผมมีเพียงไม่กี่คน เต้าจ่าง เย่ฮวน ยังมีไป๋เซี่ยว”
“แต่ตอนนี้ทันทีที่คิด เรื่องเกินความคาดคิดของผมแล้ว”
จางหัวปินได้ยินคำพูดก็ทอดถอนใจหนึ่งทีเช่นกัน “วางใจ เพียงแค่ผมยังอยู่ ก็จะช่วยคุณโดยตลอด”
ไป๋ยี่เฟยยิ้มแล้วยิ้มอีก ชนกำปั้นกับจางหัวปินชนแล้วชนอีก
มีคำพูดหนึ่งพูดได้ถูก มีได้ย่อมมีเสีย มีเสียย่อมมีได้
เขาอาจจะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป แต่ว่า เขาก็ได้บางสิ่งบางอย่างมาเช่นกัน อย่างเช่น ความรัก มิตรภาพ
พวกเขาคนเหล่านี้นับถือไป๋ยี่เฟยเป็นพี่น้อง เป็นเพื่อน ไป๋ยี่เฟยรู้สึกโชคดีมาก แต่ก็อยู่ในคนเหล่านี้เกิดปัญหาขึ้นมา นี่ทำให้เขาทรมานใจมาก
ในเวลานี้ อยู่ดีๆจางหัวปินถามว่า “งั้นให้ซาเฟยหยางกับลูกเรือเหล่านั้นอยู่บนเรือเร็วลำเดียวกัน จะเสี่ยงเกินไปแล้วหรือไม่?”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหัว “เนื่องเพราะว่าเขาไม่มีความแน่ใจมากเกินไป ดังนั้นผมจึงให้พวกเขาจ้างเรือเร็วอีกลำหนึ่ง ถ้าหากว่ามีตรงไหนผิดปกติจริงๆ ก็จะไม่ทำร้ายพี่น้องของพวกเราเองเช่นกัน”
จางหัวปินลังเลพูดว่า “งั้นทองคำเหล่านั้น…….”
“เขาจะไม่ใส่ใจเงินทองเหล่านั้นอยู่แล้ว” ไป๋ยี่เฟยพูดเบาๆ
จางหัวปินหยุดชะงัก พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ก็ใช่ ขังด้วยกันกับทองคำหลายปีขนาดนั้น ถ้าเป็นผมชาตินี้ผมจะไม่อยากเจอกับทองคำอีกเลย”
หลังจากสองวันหนึ่งคืน ในที่สุดพวกเขาไป๋ยี่เฟยก็กลับมาถึงเมืองเทียนเป่ย
หลังจากใส่ทองคำไว้บนรถแล้ว ไป๋ยี่เฟยเข้าไปในรถ รถของสวีลั่ง
ทันทีที่เข้าไป สวีลั่งก็เลยเอากระดาษใบหนึ่งให้กับไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยมองเห็นกระดาษใบนั้น อารมณ์สับสนมาก
สวีลั่งดีใจมากพูดว่า “ผมกับหยางเฉียวไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด”
เห็นได้ชัดมาก กระดาษใบนี้ก็คือผลลัพธ์การตรวจดีเอ็นเอของสวีลั่งกับหยางเฉียว
และที่จริงแล้วไป๋ยี่เฟยไม่ได้ประหลาดใจมากเลย ที่จริงแล้วเขารู้ว่ายังมีคนคนหนึ่งที่มีเปอร์เซ็นต์มากกว่านี้ แต่ได้เห็นรอยยิ้มของสวีลั่ง ไป๋ยี่เฟยกลับประหลาดใจมาก
แน่นอน อารมณ์ของเขาไม่ได้ดีขนาดนั้น ยิ้มไม่ออก
หยางเฉียวไม่ใช่น้องสาวของสวีลั่ง งั้นได้เพียงอธิบายว่า ฉีฉีอาจจะเป็นไปได้อย่างมากที่จะเป็นน้องสาวของสวีลั่ง ดังนั้น ตอนนี้ทั้งสมองของเขาล้วนเป็นว่าเขาควรที่จะบอกเรื่องนี้กับสวีลั่งหรือไม่
แต่ว่า ถ้าบอกกับสวีลั่งแล้ว เรื่องควรที่จะจัดการยังไงหรือ?
สวีลั่งเห็นแล้ว ก็เลยถามว่า “คุณเป็นยังไงแล้วหรือ? ไม่ดีใจหรือ?”
ไป๋ยี่เฟยคืนสติทันที หัวเราะแห้งๆสองเสียง พูดว่า “คุณดูเหมือนดีใจมากล่ะ?”
สวีลั่งได้ยินคำพูดสีหน้าแดงเล็กน้อย สิ่งที่นำมาปิดบังกลับมาเปิดโปงสิ่งนั้นแล้วพูดว่า “ผมไม่ใช่อย่างที่พวกคุณคิดอย่างนั้นจึงดีใจ!”
ไป๋ยี่เฟยกลับยิ้มแล้วยิ้มอีก “ผมคิดอะไรคุณรู้หรือ?”
“ไสหัวออกไป!” สวีลั่งโมโหแล้ว อารมณ์ไม่ดีพูดไปคำหนึ่งก็จะสตาร์ทรถ
ในเวลานี้ อยู่ดีๆไป๋ยี่เฟยผลักประตูรถออก ลงจากรถ อิอิ กับสวีลั่งสองเสียง “คุณดูคุณสิ คุณเป็นนักฆ่าจริงๆหรือ? มีนักฆ่าที่ขี้อายขนาดนี้หรือ?”
ในทันทีสวีลั่งยิ่งโมโหแล้ว “ไสหัวออกไป!”
หลังจากไป๋ยี่เฟยลงจากรถเปิดประตูท้ายรถออก กวักมือเรียกฉีฉีที่ทะลวงเข้าไปในท้ายรถอย่างเข้าใจในตัวเองแล้ว “ออกมาเถอะ”
ฉีฉีเห็นสภาพลงมาอย่างเชื่อฟัง
ไป๋ยี่เฟยให้ฉีฉีไปอยู่ข้างหลังคนขับ ยังพูดว่า “ข้างในอบอุ่น”
ฉีฉีได้ยินคำพูด ฮึ เย็นชาเสียงหนึ่ง ไม่สนใจไป๋ยี่เฟย
สวีลั่งอยากรู้อยากเห็นจ้องมองฉีฉีหนึ่งที ก็ไม่ได้พูดมากกว่านี้อีก หลังจากรอไป๋ยี่เฟยขึ้นรถ สตาร์ทรถโดยตรง
ไป๋ยี่เฟยกำลังคิดอยู่ ในเมื่อเป็นญาติกันล่ะก็ น่าจะมีสัมผัสได้บางอย่างนะ ถ้าหากว่าทั้งสองคนนี้จำกันได้แล้ว งั้นเขาก็ไม่ต้องพัวพันกันอุตลุดขนาดนี้แล้ว
ส่วนผลลัพธ์ในท้ายสุด ในเวลานั้นค่อยว่ากันเถอะ
แต่ว่า พวกเขาเห็นได้ชัดว่าจำกันไม่ได้
ระหว่างทาง ไป๋ยี่เฟยก็เลยบอกกับสวีลั่งว่า “ในคนกลุ่มนี้ของพวกเรามีหนอนบ่อนไส้ของเต้าจ่าง”
สวีลั่งตื่นตะลึงทันที “สืบได้ว่าเป็นใครหรือยัง?”
ไป๋ยี่เฟยเอาเรื่องแบบนี้บอกกับเขา พูดได้ชัดว่าเขาไว้วางใจเขาอย่างมาก
“ไม่ได้” ไป๋ยี่เฟยส่ายหัว