ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 701
ดังนั้นจึงเป็นแค่การจีบสาวจริงๆ?
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางด้านไป๋ยี่เฟย ฉินซานและซาเฟยหยางจึงไม่อาจสอดมือเข้ายุ่ง ทางด้านเต้าจ่าง เต้าจ่างก็ไม่อาจสอดมือเข้ายุ่งเช่นกัน
แต่ทางด้านเต้าจ่างยังมียอดฝีมือระดับที่สองชั้นต่ำอยู่อีกสองคน รวมถึงศิษย์น้องของเขายอดฝีมือระดับที่สองชั้นกลาง
ทางด้านไป๋ยี่เฟยกลับไม่ได้นำคนมามากขนาดนั้น จึงลำบากใจเป็นอย่างมาก
เฉินอ้าวเจียวยืนขึ้นมาก่อน “ฉันเอง”
ไป๋ยี่เฟยเห็นเช่นนี้ก็ไม่ขวาง แต่เอ่ยเตือนคำหนึ่งว่า “ระวังด้วย”
ศิษย์น้องของฉีฉีกับเต้าจ่างไม่ต่างกันนัก เป็นศิษย์ร่วมสำนักกัน อาจารย์ยังอยู่ตรงนั้น แน่นอนว่าไม่อาจลงไม้ลงมือกันต่อหน้าอาจารย์ได้ ดังนั้นจึงได้แต่ให้เฉินอ้าวเจียวบุก
แต่เฉินอ้าวเจียวมีแขนข้างหนึ่งได้รับบาดเจ็บ บาดแผลยังไม่ได้รับการรักษา ซ้ำยังมีเลือดไหลอยู่ เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนอย่างช้าๆ สายตาของทุกคนต่างมองมาที่เขา
คนทางฝั่งไป๋ยี่เฟยอดเป็นห่วงเขาไม่ได้
ส่วนศิษย์น้องของเต้าจ่างเห็นว่าเฉินอ้าวเจียวที่ได้รับบาดเจ็บออกมา ก็แสยะปากยิ้ม จากนั้นก็เดินออกมาจากในฝูงชนเช่นกัน
หลังศิษย์น้องเต้าจ่างออกมา ก็เอ่ยทักทายกับเฉินอ้าวเจียวก่อน “ศิษย์พี่ ไม่พบกันนาน”
เช่นนี้ดูท่า พวกเขาสองคนจะรู้จักกัน
ไป๋ยี่เฟยกลับประหลาดใจมาก หากศิษย์น้องเต้าจ่างเรียกเฉินอ้าวเจียวว่าศิษย์พี่ล่ะก็ อย่างนั้นอ้าวเจียวก็เป็นลูกศิษย์ของซินชิวเช่นกัน? แต่เมื่อกี้เฉินอ้าวเจียวไม่ได้คุกเข่านี่!
จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็คิดอะไรบางอย่างออก จึงเรียกเฉินอ้าวเจียวอย่างกะทันหัน “พี่เฉิน”
เฉินอ้าวเจียวหันหน้ามามองเขา ส่งสายตาสื่อออกมาเป็นคำพูด
ไป๋ยี่เฟยถาม “ผมควรเรียกคุณว่าศิษย์พี่หรือเปล่า?”
เฉินอ้าวเจียวนิ่งไปทันที จากนั้นก็กล่าวกับไป๋ยี่เฟยยิ้มๆ ว่า “นี่ไม่ได้ปิดบังอะไรหรอกนะ แต่เพราะอาจารย์บอกให้ฉันคอยช่วยนายอย่างลับๆ ถึงไม่ได้บอกกับนาย”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินอารมณ์ก็ซับซ้อนขึ้นมาอีกครั้ง
เขาเคยนึกว่าเขากับเฉินอ้าวเจียวคือเพื่อนแท้ที่พบกันยามลำบากจริงๆ ทว่าตอนนี้เห็นทีทุกอย่างจะถูกจัดวางมาอย่างดีแล้ว
หรือจะพูดอีกอย่างคือ ทั้งหมดเป็นแค่กระดานหมากของจื่ออีและซินชิวเท่านั้นเอง
ท้ายที่สุดแล้ว เขายังคงเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง
ไป๋หู่และจงเหลียนคือคนที่ไป๋หยุนเผิงมอบหมายให้มาคุ้มครองไป๋ยี่เฟย
เฉินอ้าวเจียวเป็นคนที่จื่ออีบอกว่าให้มาคุ้มครองไป๋ยี่เฟย
ส่วนฉินซานก็เพราะเห็นแก่หน้าโจวฉวี่เอ๋อถึงได้ยื่นมือเข้าช่วย
ฉีฉียื่นมือเข้าช่วยเพราะสวีลั่ง
ซาเฟยหยางกลับยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นซาเฟยหยางหรือไม่
มองไปที่ไป๋หยุนเผิง คิดถึงเหตุผลมากมายแล้วที่มาเป็นเพราะสิทธิ์ในการเป็นผู้สืบทอดของตระกูลไป๋
ส่วนหนิววั่งที่เขาเชื่อใจที่สุด กลับทรยศเขา
เวลานี้จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็ทุกข์ใจอย่างมาก
เขารู้สึกว่าตนเองเป็นคนล้มเหลวสิ้นดี แถมยังรู้สึกว่าตนเองไร้ค่าอีกด้วย
จู่ๆ ราวกับไป๋หยุนเผิงมองทะลุความคิดของเขา จึงกล่าวปลอบเสียงค่อยว่า “ไม่ว่าพวกเขาออกมาเพื่อจุดประสงค์อะไร ขอเพียงนายรู้ว่าพวกเขากำลังช่วยนาย อีกทั้งยังทุ่มเทใจแลกชีวิตเพื่อช่วยนาย เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
ไป๋หยุนเผิงมองทะลุความคิดของไป๋ยี่เฟยจริงๆ และใช้คำพูดประโยคเดียวแก้ปมในใจเขาได้
จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็พลันเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
เป็นเช่นนี้จริงๆ ไม่ว่าพวกเขาออกมาช่วยตัวเองด้วยเหตุผลอะไร แต่พวกเขาต่างกำลังทุ่มเทชีวิตเพื่อช่วยตนเองอยู่ แล้วเขายังมีอะไรไม่พอใจอีก?
ไป๋หู่เคยบอกว่า เขาสามารถสละชีวิตเพื่อตนได้
เวลานี้ เฉินอ้าวเจียวก็พูดกับไป๋ยี่เฟยเช่นกันว่า “ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่ใหญ่จะปกป้องนายตลอดไป ต่อให้อาจารย์ไม่ต้องการนายแล้ว ฉันก็จะยอมรับศิษย์น้องเล็กอย่างนายคนนี้เสมอ”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เหมือนกับคำพูดของไป๋หู่ในตอนนั้น
ซาเฟยหยางก็เอ่ยปากพูดเช่นกันว่า “ฉันเคยบอกว่า นิสัยของนายไม่ทะเยอทะยาน แต่นายถูกลิขิตไว้ให้เป็นราชา เพราะคนเหล่านี้ต่างยินดีติดตามนายด้วยความสมัครใจ”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินประโยคนี้ก็ซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง ดวงตาแดงเรื่อ เขากะพริบตาถี่ๆ จากนั้นก็พูดกับเฉินอ้าวเจียวว่า “ศิษย์พี่ ระวังตัวด้วย”
เฉินอ้าวเจียวพยักหน้า จากนั้นก็หมุนกายเดินไปหาศิษย์น้องของเต้าจ่าง
ศิษย์น้องของเต้าจ่างก็เดินเข้ามาหาเช่นกัน พูดพร้อมกับรอยิ้มเต็มใบหน้า “คิดมานานแล้วว่าอยากจะประมือกับลูกศิษย์คนโตของอาจารย์อาจื่ออี ศิษย์พี่อย่าออมมือเชียว! ผมองก็จะไม่ออมมือเช่นกัน”
เฉินอ้าวเจียวกล่าวเสียงราบเรียบ “เข้ามาเลย”
ศิษย์น้องเต้าจ่างกำลังจะพุ่งออกไปข้างนอก จู่ๆ เต้าจ่างกลับตะโกนออกมาว่า “ศิษย์น้องระวังด้วย ลูกศิษย์ที่อาจารย์อาจื่ออีสั่งสอนออกมาแต่ละคนต่างมีจุดเด่นกันคนละอย่าง”
ได้ยินเช่นนี้ ศิษย์น้องเต้าจ่างนิ่งไปทันที
ไป๋ยี่เฟยชะงักไปเล็กน้อย
ตอนนี้ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ไป๋ยี่เฟยรู้จักมีเพียงเฉินอ้าวเจียวและเหลียงยู่ พวกเขาสองคนมีจุดเด่นอะไรเขาไม่รู้เลย แต่เขารู้จุดเด่นของตัวเอง นั่นก็คือการต่อสู้ประชิดตัว
แต่สำหรับจุดเด่นของเฉินอ้าวเจียวนั้น เขาไม่รู้โดยสิ้นเชิง เพราะเขาเริ่มปิดบังความสามารถตัวเองแล้ว
แต่ตอนนี้หากถามโจ่งแจ้งคงไม่เหมาะสม หากเขาถาม แล้วเฉินอ้าวเจียวพูดออกมา นั่นไม่เท่ากับถูกศิษย์น้องเต้าจ่างรู้เอาหรอกหรือ? ตอนสู้กันคงเสียเปรียบแย่!
แต่เต้าจ่างพูดว่า “ลูกศิษย์ของฉันโจ่เถิงถูกคนถีบตายด้วยเท้าเดียว ความสามารถของพวกเขาก็อยู่ในระดับที่สองเช่นกัน กลับถูกคนถีบตายด้วยเท้าเดียว แสดงว่ากำลังเท้าของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ศิษย์น้อง ระวังเท้าของเขาด้วย”
ศิษย์น้องเต้าจ่างได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา จากนั้นก็พุ่งไปหาเฉินอ้าวเจียวอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
เขารวดเร็วมาก พริบตาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินอ้าวเจียว หมัดหนึ่งพุ่งเข้าหาศีรษะของเฉินอ้าวเจียว
เฉินอ้าวเจียวเอนไปด้านหลังเล็กน้อย พร้อมกับยกขาขึ้นมาจะถีบไปที่ศิษย์น้องเต้าจ่าง
เวลานี้เอง มือขวาของศิษย์น้องเต้าจ่างก็หยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมา พุ่งตรงเข้าไปที่ช่องท้องของเฉินอ้าวเจียว
เฉินอ้างเจียงตกตะลึงไปชั่วขณะ คราวนี้ถึงค่อยพบว่าท่าที่ศิษย์น้องเต้าจ่างใช้ออกมาเมื่อสักครู่นั้นเป็นท่าหลอก มีดเล่มนี้ต่างหากที่เป็นของจริง
เฉินอ้าวเจียวเบี่ยงขาหลบอย่างไม่มีทางเลือก ทว่าศิษย์น้องเต้าจ่างที่เดิมทีควรจะแทงมีดไปที่ช่องท้องของเฉินอ้าวเจียว จู่ๆ กลับหันมีดลงมา จากนั้นก็แทงเข้าที่ต้นขาของเฉินอ้าวเจียวทันที
“อ๊าก!”
เฉินอ้าวเจียวทนเจ็บ ถอยหลังไปหลายก้าวติดๆ กัน จากนั้นก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ส่วนขาอีกข้างยังมีมีดสั้นเล่มนั้นของศิษย์น้องเต้าจ่างปักคาอยู่
ศิษย์น้องเต้าจ่างไม่ได้ลงมืออีก แต่ยืนหัวเราะเยาะอยู่ที่เดิม “ดูท่าลูกศิษย์ของอาจารย์อาจื่ออีก็แค่เท่านี้ ศิษย์พี่เต้าจ่างวางใจ เขาถนัดในการใช้ขาไม่ใช่เหรอ? ผมทำลายขาเขาไปก่อนแล้ว ดูซิว่าเขายังจะใช้ยังไงอีก?”
ไป๋ยี่เฟยเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ ก็อดจะพุ่งเข้าไปไม่ได้
เฉินอ้าวเจียวกลับยกมือข้างหนึ่งห้ามไป๋ยี่เฟยไว้ “อย่าขยับ”
เฉินอ้าวเจียวเอามือข้างหนึ่งกุมที่ด้ามมีด พลางกัดฟันดึงออกมา จากนั้นเลือดสดๆ ก็ไหลออกมาเป็นสาย
เขาโยนมีดลงไปบนพื้นพลางสูดหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง โอนเอนยืนขึ้นมา กล่าวเสียงเย็นกับศิษย์น้องเต้าจ่างว่า “อีกรอบ!”
ตอนนี้ศิษย์น้องเต้าจ่างกลับบุกเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน แถมยังพูดด้วยท่าทางยียวนว่า “ศิษย์พี่เฉิน หากไม่ไหวก็พอเถอะ คุณสู้ผมไม่ได้หรอก ทำไมจะต้องมารนหาที่ตายด้วย?”
“ศิษย์พี่เฉิน ยอมแพ้เสียเถอะ”
เฉินอ้าวเจียวยิ้มหยัน “ตัวร้ายมักตายเพราะพูดมาก”
ศิษย์น้องเต้าจ่าวคิดเอาเองว่าตนทำไปเพราะความหวังดี ผลคือถูกคนพูดเช่นนี้ จึงรับไม่ได้ไปชั่วขณะ ทำหน้าขรึมพูดอย่างเดือดดาลว่า “มึงมันรนหาที่ตาย!”
หลังพูดจบประโยคนี้ ก็พุ่งเข้าไปหาเฉินอ้าวเจียว พร้อมแกว่งหมัดพุ่งเข้าใส่
เฉินอ้าวเจียวยกเท้าขึ้นมาเตะทีหนึ่ง แต่เตะโดนอากาศ ศิษย์น้องเต้าจ่างเห็นเช่นนี้ก็คว้าโอกาสไว้ ใช้หมัดต่อยไปที่ขาตรงที่เขาได้รับบาดเจ็บเมื่อสักครู่
ศิษย์น้องเต้าจ่างยังฉวยโอกาสพูดยิ้มๆ ว่า “ศิษย์พี่ เจ็บไหม?”
ประโยคนี้เจือแววเยาะหยันอย่างเห็นได้ชัด ใครให้แกไม่ฟังคำแนะนำของฉัน คราวนี้เจ็บไหมล่ะ?”
แต่ตอนที่เขาเงยหน้าเห็นท่าทางของเฉินอ้าวเจียว กลับอดหวาดหวั่นขึ้นมาบางเบาไม่ได้
เฉินอ้าวเจียวไม่ได้เผยท่าทางเจ็บปวดออกมา กลับยิ้มออกมาแทน รอยยิ้มแฝงนัยเช่นนี้ทำให้ศิษย์น้องเต้าจ่างสีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที รีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว
แต่สายไปเสียแล้ว
ไม่ว่าทำเรื่องอะไรล้วนต้องมีได้มีเสีย
เสียไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้มากเท่านั้น
อย่างที่เฉินอ้าวเจียวใช้ขาข้างหนึ่งมาดึงความสนใจของศิษย์น้องเต้าจ่าง จากนั้นเขาก็ยกมือขวาข้างที่ได้รับบาดเจ็บขึ้นมาเป็นหมัด อัดเข้าไปที่ศิษย์น้องเต้าจ่าง
ศิษย์น้องเต้าจ่างรู้ว่าตนเองตกหลุมพรางเสียแล้ว ภายในใจพลันตกตะลึงจึงไม่ทันได้หลบเลี่ยง ได้แต่ยกมือขึ้นมากันไว้ จากนั้นก็ใช้วิชาอ้านจิ้งเพื่อเสริมพลังไปที่แขนของตน ปกป้องศีรษะไว้
แต่เขากลับคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่า พลังที่ปะทะเข้ามาที่แขนจะมหาศาลเช่นนี้ ราวกับน้ำหลากและสัตว์ป่าดุร้ายพุ่งเข้ามาหาเขา