ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 702
ลูกศิษย์ผู้นี้ที่ถูกซินชิวคุยโวว่าเชี่ยวชาญวิชาอ้านจิ้งที่สุด เมื่อถูกความแข็งแกร่งอันมหาศาลนี้เข้า จึงทำให้วิชาอ้านจิ้งที่เขาไม่กล้าจินตนาการถึงพุ่งกระเด็นออกไป
“กร๊อบ!”
เขาได้ยินเสียงแขนตัวเองแตกละเอียด จากนั้นสมองก็มีเสียงดังวิ้ง ขาวโพลนไปหมด
เขาล้มลงไปที่พื้นทันที แม้แต่เสียงร้องก็ยังไม่มี จากนั้นก็ลุกไม่ขึ้นอีก
“อั๊ก!”
กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
ศิษย์น้องเต้าจ่างพูดด้วยริมฝีปากที่สั่นระริกว่า “เป็นไปไม่ได้……นี่เป็นไปไม่ได้……”
เขาไม่อยากจะเชื่อว่าวิชาอ้านจิ้งของเฉินอ้าวเจียว จะร้ายกาจกว่าเขา อีกทั้งยังร้ายกาจกว่าหลายเท่าด้วย
เฉินอ้าวเจียวกึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นมองศิษย์น้องเต้าจ่างแล้วพูดว่า “ที่ศิษย์น้องเต้าจ่างพูดมาไม่ผิด ศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างพวกเราแต่ละคนต่างมีจุดเด่นกันคนละอย่างจริงๆ สิ่งที่อาจารย์สอนแม้ไม่มาก แต่ก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง จุดเด่นในส่วนนี้พวกเราล้วนเชี่ยวชาญอย่างมาก เชี่ยวชาญกว่าที่นายคิดเสียอีก”
“ที่ฉันเชี่ยวชาญที่สุดไม่ใช่กำลังขา แต่เป็นวิชาอ้านจิ้ง!”
“ดังนั้น นายแพ้แล้ว”
หลังพูดจบ เฉินอ้าวเจียวก็ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก
หมอเหล่านั้นที่หลินขวางหามารีบปรี่เข้ามาช่วยพันแผลให้เฉินอ้าวเจียวทันที
อีกทางหนึ่งก็มีคนหามศิษย์น้องเต้าจ่างออกไปเช่นกัน
จากนั้นทางด้านเต้าจ่างก็มีชายอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งเดินออกมา ชายคนนี้รูปร่างบึกบึน ร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามหลังจากถอดเสื้อออก วิชาการต่อสู้นอกสำนักจะยอดเยี่ยมอย่างมาก
ไป๋หยุนเผิงรีบอธิบายทันที “คนผู้นี้ชื่อสือหรั่น เป็นหัวหน้าของแผนกแปดสหพันธ์ธุรกิจไม่เป็นวิชาอ้านจิ้ง แต่เขาอาศัยวิชาหมัดมวยของร่างกาย ไต่เต้าขึ้นมาถึงยอดฝีมือระดับที่สอง ดังนั้นจึงไม่อาจดูเบาได้”
ไป๋ยี่เฟยไม่รู้จักวิชาอ้านจิ้ง แต่กับคนที่เป็นวิชาหมัดมวยเช่นนี้ เขากลับคุ้นเคยดีทีเดียว
คนที่เป็นวิชาอ้านจิ้งจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับคนคนนั้น เช่นนั้นการจะทำให้เราเลื่อนขึ้นสู่ระดับที่สองจึงง่ายดายขึ้นกว่าเดิม
แต่คนที่ไม่เป็นวิชาอ้านจิ้ง กลับสามารถบรรลุขึ้นมาถึงขั้นยอดฝีมือระดับที่สองได้ แสดงให้เห็นว่าวิชาหมัดมวยของเขา จะต้องถึงขั้นสูงแล้วอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับฉินซาน
ดังนั้นคนประเภทนี้ รับมือไม่ง่ายเลย
สือหรั่นทำหน้าขรึมพลางตะโกนออกมาว่า “ใครจะมา?”
ฉีฉีเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว แสดงชัดว่าต้องการรับคำท้า
ไป๋ยี่เฟยเองก็รู้สึกว่าให้ฉีฉีไปเหมาะสมที่สุด แต่เขาพบว่าตอนที่ฉีฉีเดินออกมา ท่าทางการเดินสองขาดูประหลาดเล็กน้อย ราวกับลากตัวไปข้างหน้า
ไป๋ยี่เฟยอดถามไม่ได้ว่า “เธอ……ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ฉีฉีพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวเสียงเรียบว่า “ก่อนที่จะมาสู้ไปแล้วยกหนึ่ง กำลังกายเลยถดถอยลงไปนิดหน่อย”
แต่ไป๋ยี่เฟยกลับเห็นรอยเขียวช้ำที่คอของเธอ จึงยื่นมือออกมาขวางฉีฉีไว้ “ฉันไปเอง”
ฉีฉีเหยียดหยามไป๋ยี่เฟยอย่างไม่ปิดบัง “นายแน่ใจ?
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าอย่างจริงจัง “แน่ใจ”
ฉีฉีรู้สึกแปลกใจขึ้นมา “เขาเป็นยอดฝีมือระดับที่สองเชียวนะ!”
“ฉันรู้”
“อย่างฝืนนายก็เป็นแค่ระดับที่สามชั้นกลางคนหนึ่ง” ฉีฉีกล่าวอีกครั้ง
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า แต่รู้สึกจิตตกอยู่บ้าง “แค่ระดับที่สามชั้นกลางเองเหรอ?”
ฉีฉีหัวเราเยาะอย่างดูถูก “ที่ฉันบอกคืออย่างฝืน”
ไป๋ยี่เฟย “……”
ฉีฉีแค่นหัวเราะออกมา “ระดับที่สามชั้นกลางอย่างนายจะไปสู้ยอดฝีมือระดับที่สองได้ยังไง พวกนายห่างชั้นกันคนละโยชน์!”
ไป๋ยี่เฟยนิ่งเงียบ
แน่นอนเขาย่อมรู้ว่าสู้ไม่ได้ แต่วันนี้ฉีฉีสามารถมาช่วยเขาได้ เขาก็พอใจมากแล้ว ยิ่งกว่านั้นเขาไม่อยากให้ฉีฉีเกิดเรื่อง หากในกรณีที่สวีลั่งฟื้นขึ้นมา พบว่าฉีฉีเกิดเรื่อง เขาควรจะอธิบายยังไง?”
มิหนำซ้ำตอนนี้เธอดูสภาพร่างกายอ่อนแรง เหมือนกับม้าตีนปลาย ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้เธอไปเสี่ยงอันตรายอีก
ฉีฉีแค่นเสียงออกมา ไม่พูดพร่ำอีก เดินเข้าไปหาสือหรั่น
ไป๋ยี่เฟยรีบเรียกเธอไว้ “ฉีฉี ฉันเอง!”
ฉีฉีได้ยินคำนี้แผ่นหลังก็หยุดนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นก็หมุนตัวหันมามองไป๋ยี่เฟย กล่าวอย่างเต็มไปด้วยความโมโหว่า “นายกำลังดูถูกฉัน?”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้า “เปล่า นี่เป็นเรื่องของฉัน ทางฝั่งเราคำพูดฉันคือที่สุด ฉันบอกว่าฉันจะไปเอง นั่นก็คือฉันไปเองส่วนเธอกลับไป”
ฉีฉีตกตะลึง “นาย……”
ไป๋ยี่เฟยกล่าวยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ชนะสองในสาม หากฉันแพ้ ก็ยังมีเธออยู่ไม่ใช่เหรอ?”
ฉีฉีถลึงตาใส่ไป๋ยี่เฟยแล้วไม่พูดอะไรอีก
จากนั้นจู่ๆ ไป๋หู่ก็คิดว่าไล่ไป๋ยี่เฟยไว้ แล้วพูดว่า “ให้ฉันไปเองเถอะ”
ไป๋ยี่เฟยมองไป๋หู่ ซาบซึ้งใจต่อการกระทำของเขามาก แต่เขายิ้มบางๆ พลางส่ายหน้าพูดว่า “พี่ไป๋ คุณบาดเจ็บถึงขนาดนี้แล้ว ไปนั่งดูอยู่ตรงนั้นเฉยๆ เถอะ”
ไป๋หยุนเผิงเดินออกมากล่าวเสียงค่อยว่า “ฉันเอง”
ไป๋ยี่เฟยนิ่งไปเล็กน้อย มองไป๋หยุนเผิง จู่ๆ ก็มีความรู้สึกไร้ที่มาขุมหนึ่งผุดขึ้นมา แต่เขาส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “มีลูกที่ไหนปล่อยให้พ่อลงมือบ้าง?”
ไป๋ยี่เฟยไม่สนใจไป๋หยุนเผิงอีก หลังเดินออกไปยืนอย่างมั่นคงแล้ว ก็ตะโกนเรียกสือหรั่นว่า “เข้ามาเลยเถอะ!”
ไป๋หยุนเผิงที่อยู่ด้านหลิงชะงักไป
คำพูดเมื่อกี้ของไป๋ยี่เฟยสั่นสะเทือนเขาเป็นอย่างมาก เพราะว่าก่อนหน้านี้ ไป๋ยี่เฟยไม่เคยยอมรับไป๋หยุนเผิงว่าเป็นพ่อของเขา กระทั่งจะเรียกพ่อสักคำก็ยังไม่เคย
แต่คำพูดประโยคนั้นที่เขาเพิ่งพูดไปแสดงให้เห็นว่ายอมรับว่าพวกเขาเป็นสายเลือดเดียวกันแล้ว ดังนั้นจึงทำให้ไป๋หยุนเผิงประทับใจจนออกมาทางสีหน้า แล้วยังตื่นเต้นมากอีกด้วย
บอกตามตรง ไป๋ยี่เฟยสู้กับสือหรั่น ไม่มีความมั่นใจเลย เพราะอย่างไรฝีมือก็ต่างกันมากเกินไป
แต่เวลานี้เขายังคงตื่นเต้นอยู่บ้าง หากสามารถผ่านยอดฝีมือเช่นนี้ไปได้ ก็จะได้ดูว่าขีดจำกัดของตัวเขาอยู่ที่ไหน
เพราะอย่างไรตานี้ก็แพ้อยู่แล้ว ยังมีตาต่อไปอีกหนึ่งตา
แน่นอนว่าเขาเองก็เชื่อในโชคลางเช่นกัน หากในกรณีที่เขาชนะล่ะ เช่นนั้นก็จะไม่มีตาที่สามแล้ว
นาทีนี้ แม้ไป๋ยี่เฟยจะรู้ว่ามีสิทธิ์พ่ายแพ้มากกว่า แต่กลับไม่ได้โอบอุ้มความคิดที่จะต้องแพ้ไว้
……
เวลานี้ที่ด้านนอกโรงจอดรถของคอนโดตระกูลซุน มีหลายคนกำลังยืนชมความครึกครื้นอยู่ตรงนั้น
ชายคนหนึ่งในจำนวนนั้นถามหญิงสาวคนหนึ่งว่า “คุณหนูใหญ่ พวกเราไม่ลงมือจริงๆ เหรอครับ?”
หญิงสาวส่ายหน้าพูดว่า “อย่าเพิ่งทำอะไรก่อนชั่วคราว นายไม่เห็นไป๋หยุนเผิงเหรอ? ดูผลก่อน หากเต้าจ่างชนะ ก็ไม่จำเป็นต้องให้เราลงมือ”
“แล้วถ้าแพ้ล่ะ?”
หญิงสาวยิ้มเย็น “นายรู้สึกว่าเป็นไปได้เหรอ?”
หลังผู้ชายได้ยินคำนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้ากล่าวว่า “นี่กลับเป็นไปได้ เต้าจ่างไม่มีทางแพ้ให้คนต่ำต้อยของเมืองเล็กๆ แบบนี้แน่”
หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของผู้ชายแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ต่อให้แพก็ไม่เป็นไร ทางด้านไป๋ยี่เฟยพลังชีวิตสาหัสกันนานแล้ว ถึงเวลาคงสามารถใช้ได้แค่ไม่กี่คน ยอดฝีมือระดับที่สามชั้นสูงอย่างนายคนเดียว จะฆ่าเขาก็ง่ายดายแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่”
พวกเขาคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่า บทสนทนาเมื่อสักครู่จะถูกฟางหยันที่หลบอยู่ในลังกระดาษในโรงจอดรถมาตลอดได้ยินเข้า
ตั้งแต่ต่อสู้กันในลานบ้าน ฟางหยันก็ตกใจจนรับไม่ไหว เธอเคยคิดจะหนีไป แต่ยังไม่ทันได้ออกจากในลังก็มีคนมาเสียก่อน อีกทั้งยังจอดรถอยู่ตรงหน้าประตูโรงจอดรถด้วย
เธอไม่กล้ารบกวนคนเหล่านี้ ดังนั้นจึงได้แต่ซ่อนอยู่ในนี้ต่อไป
……
ในใจฟางหยันตกใจเป็นอย่างมาก เธอคิดไม่ถึงเลยว่าไป๋ยี่เฟยจะถึงกับต่อสู้กับคนของสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวง
ข้อมูลบางส่วนที่เธอสืบมาได้ในตอนนั้นก็มากพอจะทำให้เธอตกใจแล้ว ซึ่งในเวลานั้น เธอนึกว่าไป๋ยี่เฟยคือนักธุรกิจที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง
แต่ในวันนี้โลกทัศน์ของเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว
ในสายตาของทุกคน อำนาจและอิทธิพลของสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงไม่เป็นที่กังขาของผู้คน แม้แต่สี่ตระกูลใหญ่ยังไม่กล้าทำเช่นนี้ด้วยซ้ำ
ฟางหยันลอบถอนหายใจอยู่ในใจ เอ่ยด้วยความเสียดายเป็นอย่างมากว่า “ช่างน่าเสียดายจริงๆ อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ ต้องมาตายทั้งอย่างนี้”
……
ในลานบ้าน ตอนที่สือหรั่นเห็นคนที่ออกมาคือไป๋ยี่เฟย หางคิ้วก็กระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวอย่างเดือดดาลว่า “หมายความว่ายังไงวะ? ดูถูกกันเหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยกลับพูดอย่างไม่ถือสา “ทำไม? ไม่กล้าสู้เหรอ?”