ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 706
พวกเขาทั้งหมดต่างลงจากรถ ยอดฝีมือระดับที่สามคนนั้นมองแวบหนึ่ง พบว่ามีเพียงแค่ฉีฉีคนเดียว ดังนั้นจึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ข้างในรู้ผลแล้ว?”
เขาคิดว่าฉีฉีเป็นคนทางฝั่งไป๋เจียว
ฉีฉีได้ยินเช่นนี้ก็นิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบว่า “สู้เสร็จแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ พริบตายอดฝีมือระดับที่สามก็ได้สติขึ้นมา รีบวิ่งไปที่หน้ารถ ปลุกไป๋เจียว “คุณหนูใหญ่ ข้างในสู้กันจบแล้ว จะต้องเป็นทั้งสองฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บแน่ เวลานี้พวกเราเข้าไป จะต้องจัดการพวกเขาได้ในคราวเดียวแน่ครับ”
ไป๋เจียวที่ตอนแรกง่วงมาก แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็ตาสว่างขึ้นมาเช่นกัน พลันนั่งตัวตรงทันที ยื่นมือไปเปิดประตูรถพร้อมกับพูดว่า “ดีเหลือเกิน ไป หนนี้จะต้องฆ่าไป๋ยี่เฟยให้ได้ ให้เขาได้ดูผลลัพธ์ของการเล่นลูกไม้กับฉัน!”
“ครับ!” ยอดฝีมือระดับที่สามตอบรับอย่างฮึกเหิม จากนั้นก็เรียกบอดี้การ์ดคนอื่นๆ “พี่น้องทั้งหลาย ลุกขึ้น!”
ฉีฉียืนมองคนกลุ่มนี้อยู่ที่เดิมอย่างงุนงง หยิบไม้กระบองกับมีดปังตอออกมาจากในรถ อดงุนงงอยู่บ้างไม่ได้ “พวกแกจะทำอะไร?”
พอเธอถามเช่นนี้ ทำให้พี่น้องกลุ่มนี้ต่างชะงักไป
ยอดฝีมือระดับที่สามคนนั้นมองเธออย่างแปลกใจ “เธอไม่ใช่คนของคุณหนูใหญ่เหรอ?”
เวลานี้ไป๋เจียวที่เพิ่งเดินลงมาจากในรถ ก็มองเห็นฉีฉีแล้วเช่นกันจึงอดถามอย่างสงสัยไม่ได้ว่า “เธอเป็นใคร? รู้สึกคุ้นหน้านิดๆ นะ”
หลังฉีฉีฟังคำพูดนี้จบเพียงชั่วอึดใจเดียว ต่อมาเธอก็รู้สึกว่าเธอไม่ได้แค้นไป๋เจียวมากขนาดนั้นแล้ว
ผู้หญิงอย่างไป๋เจียวนี้ ไม่คุ้มค่าให้เธอเกลียดด้วยซ้ำ
ฉีฉีไม่ได้ตอบคำถามพวกเขา แต่ถามพวกเขาแทนว่า “พวกนายจะไปหาไป๋ยี่เฟยใช่ไหม?”
“เขาก็อยู่ข้างในนั่นแหละ ตอนนี้หมอกำลังช่วยยื้อชีวิตอยู่!”
พอไป๋เจียวได้ยินคำว่ายื้อชีวิต พลันแสดงสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที ไป๋ยี่เฟยกำลังถูกยื้อชีวิต อย่างนั้นก็แสดงว่าทางด้านพวกเขาพ่ายแพ้แล้ว
นี่เท่ากับอยู่ในหลักเหตุผล เพราะอย่างไรเต้าจ่างก็เป็นประธานสหพันธ์ธุรกิจของเมืองหลวง ทั้งยังเป็นยอดฝีมือระดับที่สอง หรือว่ายังจะถูกคนที่มาจากเมืองเล็กๆ เอาชนะได้?
ฉีฉีเห็นเช่นนี้ก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “ทำไมตอนที่สู้กันเมื่อกี้พวกนายไม่บุกเข้าไปช่วยเต้าจ่างล่ะ? ทุกคนต่างพุ่งเป้าไปที่ไป๋ยี่เฟย พวกนายช่วยเต้าจ่างครั้งหนึ่ง ก็สามารถได้รับน้ำใจจากเต้าจ่างไม่ใช่เหรอ?”
ยอดฝีมือระดับที่สามกลับทำท่าทางเหมือนกับว่าเป็นแค่คนผ่านทาง “สาวน้อย มองดูแล้วเธอคงไม่เข้าใจการปิดช่องในระหว่างนั้นสินะ เธอว่าจะปักดอกไม้เพิ่มบนผ้าไหมดี หรือจะยื่นถ่านกลางหิมะดีล่ะ?
ฉีฉีไร้คำจะพูด
ไม่ว่าพวกเขาคิดยังไง อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก!
พวกเขาเองก็ไม่สนว่าฉีฉีจะทำอะไรเช่นกัน โบกมือพลางกล่าวว่า “หลีกไปเร็ว อย่ามาขวางทาง!”
ยอดฝีมือระดับที่สามตะโกนอย่างห้าวหาญเหลือแสน “พี่น้องทั้งหลาย ลุย!”
จากนั้นเขาก็พาบอดี้การ์ดสิบกว่าคน พร้อมกับถือมีดปังตอกับไม้กระบองไว้ในมือบุกเข้าไปในลานบ้าน
ไป๋เจียวตามอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าเบิกบาน แต่พอกำลังจะผ่านข้างกายฉีฉีไปก็หยุดชะงัก พลางมองสำรวจฉีฉีอย่างละเอียดแล้วพูดว่า “พวกเราเคยพบกันที่ไหนจริงๆ ด้วย!”
พูดประโยคนี้จบก็เดินตามเข้าไป
จู่ๆ ฉีฉีก็รู้สึกขบขันขึ้นมา อยากจะเห็นจุดจบของพวกเขาเหลือเกิน ดังนั้นจึงเดินกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง
หลินขวางกำลังจัดเตรียมรถอยู่ในลานบ้าน ให้คนพาไป๋ยี่เฟยไปส่งโรงพยาบาล
คนชุดดำยี่สิบคนที่ตามไป๋ยี่เฟยมา ตายไปสิบคน
พวกไป๋หู่เองก็ได้รับบาดเจ็บ แต่อย่างไรพวกเขาก็เป็นยอดฝีมือ มิหนำซ้ำยังมีฉินซานกับซาเฟยหยางอยู่
คนกลุ่มนี้กำลังเตรียมขึ้นรถ ตอนที่ออกจากโรงจอดรถจู่ๆ ก็มีคนชุดดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา ในมือพวกเขาถือมีดปังตอกับไม้กระบองพลางตะโกนเสียงดังว่า “ฆ่ามัน! ฆ่าไป๋ยี่เฟย!”
คนสามสิบกว่าคนที่เหลือมองพวกเขาด้วยสีหน้างุนงง
ในหมู่พวกเขามียอดฝีมือระดับสามแค่คนเดียว นอกนั้นล้วนเป็นคนธรรมดา
กลุ่มคนอ่อนแอที่ไม่อาจอ่อนแอได้อีกเช่นนี้ ถึงกับบอกว่าจะฆ่าไป๋ยี่เฟยต่อหน้าพวกเขา
ไป๋เจียวรู้ว่า เต้าจ่างเรียกรวมพลตระกูลมหาเศรษฐีเก่าแก่มากกว่าครึ่งในเมืองหลวงมาล้อมปราบไป๋ยี่เฟย ดังนั้นไป๋ยี่เฟยจึงไม่มีทางหนีไปได้ เขาต้องสู้แพ้เต้าจ่างอย่างแน่นอน
เช่นนั้นหลังสู้แพ้เต้าจ่างแล้ว ที่ทิ้งไว้จะต้องเป็นลูกน้องของเต้าจ่างอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นนี่ไม่ใช่ว่ายังมีคนตระกูลหลินอยู่อีกเหรอ?
ดังนั้นพวกเขาจึงพุ่งออกมาด้วยท่าทางดุดัน
คนที่นำหน้าคือยอดฝีมือระดับที่สามคนนั้น เขาถามว่า “ไป๋ยี่เฟยอยู่ที่ไหน? รีบออกมารับความตายซะ!”
หลังคนทางฝั่งไป๋ยี่เฟยได้ยินเช่นนี้ ต่างคนก็ต่างมองหน้ากัน สุดท้ายยังคงเป็นเฉินห้าวส่งเสียงถามว่า “แกมาหาเขา? แกแน่ใจนะ?”
ยอดฝีมือระดับที่สามรีบพูดเสียงดังทันที “แน่ใจ ไป๋ยี่เฟยกับคุณหนูใหญ่ของพวกเราเป็นคู่แค้นกัน คุณหนูใหญ่ตั้งใจให้พวกเรามาช่วยทุกคนฆ่าไป๋ยี่เฟย”
ทุกคน “……”
เวลานี้ จางหัวปินก็ผลักให้ทุกคนหลบ แล้วเดินมาหยุดข้างกายเฉินห้าวพร้อมถามเขาว่า “นายยังมัวอยู่ตรงนี้ทำไมอีก? ไม่ใช่ว่าพาพวกพี่น้องขึ้นรถหรอกเหรอ?”
จากนั้นจางหัวปินเพิ่งจะสังเกตเห็นสถานการณ์ตรงหน้า จึงชะงักไปเล็กน้อยแล้วถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เฉินห้าวส่ายหน้าพลางกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่มีอะไร ก็แค่พวกเขาบอกว่าจะพี่ใหญ่น่ะ”
พี่ใหญ่?
ยอดฝีมือระดับที่สามกับพวกบอดี้การ์ดของไป๋เจียวชะงักไป
“พวกนายเรียกไป๋ยี่เฟยว่าพี่ใหญ่?”
จางหัวปินเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็หมุนตัวกล่าวกับซาเฟยหยางว่า “พี่ซา ทุกคนมากน้อยอย่างไรต่างก็ได้รับบาดเจ็บ คุณว่าถ้าอย่างไรยังคงต้องรบกวนคุณ……”
ซาเฟยหยางพยักหน้า เดินไปทางบอดี้การ์ดสิบกว่าคน
……
ผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งนาที คนสิบกว่าคนนั่นต่างนอนคว่ำตัวสั่นแหง็กๆ อยู่บนพื้นกันหมด
ส่วนไป๋เจียวถูกทำให้ตกใจจนนั่งแปะอยู่ที่พื้นไปแล้ว สีหน้าซีดขาว ดวงตาเลื่อนลอย
ฉีฉีมุงดูละครตลกฉากนี้อยู่ข้างประตูโรงจอดรถมาตลอด รู้สึกตลกมาก จากนั้นก็รู้สึกว่าหลังกลับไปสามารถเล่านิทานให้สวีลั่งฟังได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
เวลานี้จู่ๆ ไป๋เจียวก็นึกออกว่าฉีฉีเป็นใคร
“เธอคือ…..คนที่อยู่ข้างกายไป๋ยี่เฟย……”
ฉีฉีกลอกตามองบนไม่เอ่ยคำใด ไม่มีความสนุกให้ชมแล้ว เธอก็คิดจะจากไป
แต่ตอนที่กำลังจะไปอยู่นั้น จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงทักเบาๆ เสียงหนึ่ง
ฉีฉีชะงักไปทันที
ยืนอยู่ตรงนี้ตั้งนาน ถึงกับไม่พบว่ายังมีคนอื่นอยู่ในโรงจอดรถอีก ภายในใจจึงอดคาดเดาอย่างหวาดกลัวไม่ได้ หรือว่าจะเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง?
จากนั้นเธอก็มองหาเสียงอย่างระมัดระวัง ตรงมุมกำแพงโรงจอดรถมีลังกระดาษเก่าๆ วางอยู่ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
จู่ๆ ฉีฉีก็ยื่นมือออกไปเขี่ยลังกระดาษออก จากนั้นก็นิ่งไป
ในลังมีฟางหยันที่กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่
……
คนคนหนึ่งถามจางหัวปินที่กำลังจะขึ้นรถว่า “คนพวกนี้จะจัดการยังไงดีครับ?”
ตอนที่ไป๋ยี่เฟยไม่อยู่ ล้วนเป็นจางหัวปินที่รับผิดชอบจัดการธุระต่างๆ
จางหัวปินใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “พาตัวไป๋เจียวกับบอดี้การ์ดระดับที่สามคนนั้นไป คนอื่นๆ ก็ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถอะ
“ครับ”
เวลานี้ฉีฉีถอยกลับมา ในมือหิ้วฟางหยันที่ตัวสั่นระริกมาด้วย
ฉีฉีโยนฟางหยันลงกับพื้น พูดกับจางหัวปินว่า “ยังมีคนนี้อีกคนพาไปด้วยกันเลยสิ เมื่อกี้ฉันเจออยู่ที่โรงจอดรถ ซ่อนอยู่ในลังของโรงจอดรถมาตลอด”
จางหัวปินพยักหน้า “งั้นก็พาไปด้วย!”
……
ฟ้าเพิ่งจะสว่างเล็กน้อย คนทั้งหมดของแผนกแปดสหพันธ์ธุรกิจในโรงพยาบาลสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงต่างรออยู่นอกห้องผู้ป่วยอันหรูหราโอ่อ่าของโรงพยาบาล
ในห้องทำงานของแพทย์ ผู้อำนวยการกล่าวกับเต้าจ่างอย่างระมัดระวัง “บาดแผลของศิษย์น้องประธานไม่มีปัญหาใหญ่โต ก็คือบาดแผลของผู้อำนวยการสือร้ายแรงนิดหน่อย ศีรษะเขาได้รับการกระแทก คิดว่าคุณเองก็รู้ว่า ศีรษะเป็นส่วนที่เปราะบางมาก ทางโรงพยาบาลไม่อาจรับประกันอะไรออกมาได้ ผลดีหน่อยคือสมองแค่กระทบกระเทือน หากผลร้ายก็คือ……นอนเป็นผัก”
เต้าจ่างพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกพลางพูดว่า “ได้แต่โทษที่เขาประมาทศัตรูเกินไป และคิดไม่ถึงว่าไป๋ยี่เฟยจะถึงกับเป็น……”
เต้าจ่างคิดถึงประกายสีแดงอันแปลกประหลาดที่ปรากฏในดวงตาของไป๋ยี่เฟย สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นสงสัยขึ้นมา
ขณะเดียวกันที่โรงพยาบาลเฟิร์สของเมืองหลวง ไป๋ยี่เฟยฟื้นแล้ว
บาดแผลที่หน้าผากหนักหนาเกินไป กระดูกร้าว ดังนั้นจึงได้แต่พันผ้าไว้รอบศีรษะ ท่าทางราวกับถ้วย เห็นเขาไม่ชัดเจนโดยสิ้นเชิง
หลังจากไป๋ยี่เฟยฟื้น จางหัวปินก็นำเรื่องราวของเมื่อเย็นวานมารายงานให้เขาฟังทีละเรื่อง
บาดแผลของฉางเชี่ยวก็ไม่เบาเหมือนกัน แต่ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว”
“โชคเขายังนับว่าดี เขารถชนพลิกคว่ำ ผลคือชนคุณชายตระกูลจูตาย”