ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 707
หลังไป๋ยี่เฟยเงียบไปสักพักก็ตอบว่า “ขอบคุณคุณลุงมากที่มาเยี่ยม แต่อาการของหลานไม่หนักหนา”
ไป๋เฟยหลงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ขรึมลง กล่าวอย่างเดือดดาลว่า “แก!”
แต่พูดได้เพียงคำเดียว คล้ายกับจะระงับความโกรธของตัวเองลง พูดยิ้มๆ ว่า “สมกับเป็นคนของตระกูลไป๋เราจริงๆ มิน่าลูกพี่ลูกน้องเธอถึงได้เล่นสู้เธอไม่ได้”
“เล่น?” ไป๋ยี่เฟยคิดว่าตัวเองฟังผิดไป
พอไป๋เฟยหลงได้ยินก็พูดว่า “ไป๋ยี่เฟย เธอควรจะรู้ว่า ตระกูลไป๋เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง พวกเราไม่เหมือนกับตระกูลมหาเศรษฐีอื่นๆ ดังนั้นการล้อเล่นหรือเล่นสนุกระหว่างพี่น้องด้วยกัน ย่อมรุนแรงกว่าครอบครัวธรรมดานิดหน่อย”
“เธอถูกส่งไปอยู่ชนบทตั้งแต่เด็ก อาจจะยังไม่รู้สถานการณ์ของตระกูลใหญ่อย่างพวกเรา ดังนั้นลุงก็แค่อยากบอกว่า เธออย่าถือสาเลยนะ”
“ได้ยินว่าเธอจับตัวญาติผู้พี่ไว้ เห็นแก่หน้าลุง ปล่อยญาติผู้พี่เธอไปเถอะ ญาติผู้พี่เธอเล่นเกมสู้เธอไม่ได้จริงๆ”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินเช่นนี้ก็ต้องการจะลุกขึ้น คนชุดดำที่อยู่ด้านข้างรีบช่วยประคองทันที
จากนั้นไป๋ยี่เฟยก็กล่าวเสียงราบเรียบว่า “คุณลุง ร่างกายผมบาดเจ็บ คงลุกขึ้นมาทักทายคุณไม่ได้แล้ว”
ไป๋เฟยหลงโบกมือกล่าวว่า “ไม่ต้องสนใจมารยาทพวกนี้หรอก”
ไป๋ยี่เฟยแปลกใจเป็นอย่างมาก “ไหนเมื่อกี้คุณลุงพูดว่า สี่ตระกูลใหญ่ไม่เหมือนกับตระกูลทั่วไป หลานไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก คุณลุงก็อย่าถือสาเลยนะ”
สิ้นคำพูด สีหน้าไป๋เฟยหลงก็แข็งค้างเล็กน้อย
เมื่อกี้คำพูดนั้นของเขาอันที่จริงเป็นการส่งผ่านคำดูถูกและเหยียดหยาม เพราะเขาไม่ชายตาแลไป๋ยี่เฟยที่มาจากบ้านนอกโดยสิ้นเชิง แต่เพราะคำพูดนี้ตอนนี้ไป๋ยี่เฟยจึงได้ตอกกลับเขาเป็นนัยๆ ว่า เขายังรู้มารยาทสู้คนบ้านนอกคนหนึ่งไม่ได้
ดังนั้นไป๋เฟยหลงจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อว่า “สมกับเป็นลูกชายของหยุนเผิง พวกเธอเหมือนกันมาก
“นี่แหละนะ นิสัยนี้ทำให้คนกังวลอยู่บ้าง เธอดูเรื่องเมื่อเย็นวานสิ เห็นๆ อยู่ว่าวิธีแก้ไขทางอื่นก็มี ผลล่ะ จะต้องวิ่งไปด้วยตัวเองให้ได้”
“ไม่ใช่เพียงแค่นี้ พ่อเธอกระทั่งผู้อาวุโสในบ้านก็ยังด่า ช่างเลอะเลือนจริงๆ เลย!”
“เธอว่าหากเธออยู่ร่วมโลกกับสหพันธ์ธุรกิจไม่ได้จริง ถึงเวลาท่าทีของตระกูล ยังคงต้องให้พวกผู้อาวุโสของตระกูลเป็นคนตัดสินใจไม่ใช่เหรอ?”
“เธอว่าสิ่งที่พ่อเธอทำหนนี้มันไม่ฉลาดเอาเสียเลย บุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ตัวเขาไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? แถมยังล่วงเกินผู้อาวุโสของตระกูลอีก”
“ดังนั้นนะ พบหน้ากันครั้งแรกก็อย่าเล่นเกมปริศนาอักษรไขว้กับลุงเลย เธอคิดว่าลุงไม่เข้าใจเหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยฟังไป๋เฟยหลงพูดจนจบอย่างเงียบๆ จากนั้นถึงค่อยยิ้มตอบไปว่า “เมื่อกี้คุณลุงกำลังสอนผมอยู่เหรอครับ?”
“นี่ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เพราะอย่างไรเธอก็โตจนป่านนี้แล้ว สอนแค่ไหนก็คงจะสอนไม่เข้าแล้วล่ะ” ไป๋ยี่เฟยหงายมือเล็กน้อย แล้วยิ้มอย่างจองหอง
ไป๋ยี่เฟยกล่าวเสียงเรียบว่า “อย่างนั้นคุณลุงอยากจะลองฟังแนวคิดของผมดูไหม?”
ไป๋เฟยหลงนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นจึงพูดว่า “ไหนลองพูดมาซิ”
ไป๋ยี่เฟยยกมือลูบผ้าพันแผลบนศีรษะของตนเอง จากนั้นก็กล่าวกับไป๋เฟยหลงว่า “คุณลุง เมื่อคืนผมได้รับบาดเจ็บตรงนี้ อีกทั้งยังหนักมาก”
“ได้ยินคำพูดเมื่อกี้ของคุณลุงก็เข้าใจเหตุผลขึ้นมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นคุณลุงก็ควรจะเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของหลานสักหน่อยก่อนไม่ใช่เหรอ ต่อให้แสร้งทำก็ยังดี!”
“ต่อให้แสร้งทำ ในใจผมก็ยังสบายใจบ้าง แต่นี่ล่ะ พอมาถึงก็ชี้นิ้ววาดเท้า แล้วคุณมีสิทธิอะไรมาสั่งสอนผม แล้วยังไปวิจารณ์์พ่อผมอีก”
“หากพ่อผมไม่ฉลาด เขาจะนั่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าตระกูลได้ยังไง แต่คุณเป็นถึงลูกชายคนโตกลับทำไม่ได้ หรือว่าพวกผู้อาวุโสเหล่านั้นจะมองไม่ออกว่าใครโง่ใครฉลาดจริงๆ เหรอ?”
“คุณยังบอกอีกว่าครั้งนั้นที่ไป๋เจียวทะเลาะกับผมคือการเล่นเกมกัน นี่มันช่างน่าขันจริงๆ ให้คนถือมีดปังตอกับไม่กระบองตะโกนว่าจะฆ่าผม นี่เรียกว่าเล่นเกมกันเหรอ?”
“แต่ในเมื่อคุณพูดว่าเป็นการเล่นเกม อย่างนั้นก็ถือเสียว่าเป็นการเล่นเกมแล้วกัน เกมนี้ยังไม่สิ้นสุด ตอนนี้คุณก็มาทวงคนเสียแล้ว ไม่ใช่เป็นการทำลายกติกาของเกมหรอกเหรอ?”
พอไป๋ยี่เฟยพูดออกมาเรื่อยๆ สีหน้าท่าทางของไป๋เฟยหยางก็ยิ่งยากจะน่าดูขึ้นเรื่อยๆ อยากจะตอบโต้กลับหาถ้อยคำจะตอบโต้ไม่เจอ
ไป๋ยี่เฟยไม่สนใจสีหน้าของเขาแม้แต่น้อย เมื่อกี้ยังไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาทางสีหน้า น้ำเสียงราบเรียบ ตอนนี้แค่นเสียงเย็น น้ำเสียงต่ำลึก เย็นชาขึ้นเรื่อยๆ “อย่าบอกนะว่า คุณไม่รู้ว่าผมมาเมืองหลวงเพราะอะไร?”
“ใครกันที่มอบอำนาจให้คุณมาฆ่าแกงพี่น้องของผม?”
ไป๋เฟยหลงคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าไป๋ยี่เฟยจะเย็นชาขึ้นมากะทันหัน ทำให้ไป๋เฟยหลงตอบโต้ไม่ได้ไปชั่วขณะ
ผ่านไปนาน ไป๋เฟยหลงเพิ่งจะได้สติขึ้นมา จากนั้นก็ถลึงตาใส่ไป๋ยี่เฟย ชี้เขาพลางพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาลว่า “แกถึงกับกล้าตะโกนใส่ฉัน ช่างไม่รู้มารยาทเอาเสียเลย!”
ไป๋ยี่เฟยเยาะหยัน “ไม่ลงมือกับคุณโดยตรง ก็นับว่ารู้มารยาทมากแล้ว”
“แก!” มือที่ไป๋เฟยหลงชี้ไป๋ยี่เฟย สั่นระริกไปมา ตะคอกเสียงดังว่า “ไอ้ของโสมม อยากทำตัวกบฎใช่ไหม? วันนี้ฉันจะบอกแกให้นะ แกจะต้องปล่อยตัวญาติผู้พี่ของแก หากญาติผู้พี่ของแกเป็นอะไรแม้แต่นิดเดียว วันนี้ฉันจะ……”
คำพูดของไป๋เฟยหลงยังพูดไม่ทันจบ ไป๋ยี่เฟยก็หยิบมือถือออกมาต่อสายโทรศัพท์ พูดเสียงเย็นว่า “ตัดนิ้วของไป๋เจียวมาให้ฉันนิ้วหนึ่ง”
ไป๋เฟยหลงได้ยินเช่นนี้ก็ชะงักไปทันที
จากนั้นบอดี้การ์ดคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายไป๋เฟยหลงก็รีบเดินขึ้นหน้าเอ่ยกับไป๋เฟยหลงว่า “บอสครับ ไอ้เด็กเมื่อวานซืนที่มาจากบ้านนอกเช่นนี้ ต้องตีสักทีจะได้รู้จักความร้ายกาจเสียบ้าง
ไป๋เฟยหลงโกรธจนทนไม่ไหว แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าแตะต้องไป๋ยี่เฟยโดยสิ้นเชิง
เหตุที่ไม่กล้าแตะต้อง ไม่ใช่เพราะไป๋ยี่เฟยเอาชนะเต้าจ่างได้ ในมุมมองของเขา แต่เป็นเพราะมีคนเหล่านั้นของไป๋หยุนเผิงคุ้มครองเขาอยู่ ดังนั้นถึงโชคดีเก็บชีวิตกลับมาจากทางเต้าจ่างได้
ดังนั้นที่ไม่กล้าแตะต้องเขา เป็นเพราะไป๋เจียวอยู่ในมือไป๋ยี่เฟย
ตอนนี้ไป๋เฟยหลงยังนับว่ามีสติชัดเจน ไม่ให้ความโกรธทำลายเหตุผลไป เขาโบกมือบอกให้พวกลูกน้องอย่ามาวุ่นวาย
“ไป๋ยี่เฟย ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน มีเรื่องอะไรพูดออกมาเลยก็ดี เมื่อกี้เล่นงานลูกน้องเธอลุงทำไม่ถูกเอง ลุงต้องขอโทษพวกเขาด้วย ส่วนลูกน้องของลุง พวกเขาแค่จัดการเรื่องราวตามคำสั่งของลุง อย่าไปโทษพวกเขาเลยนะ”
“เมื่อขอโทษแล้ว เรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไป ได้ไหม?”
“บอส!”
ลูกน้องของไป๋เฟยหลงรู้สึกแปลกใจขึ้นมา และยังมีความรู้สึกไม่อาจรับได้อีกด้วย ไป๋เฟยหลงเป็นบอสของพวกเขา อีกทั้งฐานะตำแหน่งก็สูงกว่าไป๋ยี่เฟยมาก ถือดีอะไรมาขอโทษไป๋ยี่เฟย?
ดังนั้นชายที่ลงมือตีลูกน้องไป๋ยี่เฟยคนนั้นก็เดินออกมาพูดว่า “ผมเป็นคนลงมือ บอสไม่จำเป็นต้องขอโทษเขา ไป๋ยี่เฟย นายมีเรื่องอะไรก็ตรงมาที่ฉัน ทำไมต้องเอาเรื่องเล็กแค่นี้มาข่มขู่บอสกับคุณหนูใหญ่ด้วย?”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินเช่นนี้ก็หันหน้าไปมอง ถามด้วยเสียงราบเรียบว่า “คุณรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล็ก?”
“เดิมทีก็ใช่” คนคนนั้นแค่นหัวเราะ
ไป๋ยี่เฟยเองก็ยิ้มเช่นกัน
จุดประสงค์ที่เขามาทะเลาะกับสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงเสียใหญ่โต ก็คือเรื่องเล็กที่เขาว่านี่แหละ
เขาอดหวนคิดถึงตอนที่ฉินหัวกลายเป็นผักไม่ได้ เขาต้องการแก้แค้นให้ฉินหัว ทุกคนต่างเกลี้ยกล่อมเขาว่าอย่าบุ่มบ่าม แถมยังบอกว่าแค่ตำรวจตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น
ในคำพูดของพวกเขาแสดงถึงการเหยียดหยาม ดูแคลน เหมือนกับคำพูดของคนคนนี้ในตอนนี้ไม่ผิดเพี้ยน
พวกเขาคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล็ก แต่ไป๋ยี่เฟยไม่คิดเช่นนี้
ไป๋ยี่เฟยกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นพวกเราก็จัดการเรื่องเล็กให้เสร็จก่อน ค่อยว่าเรื่องเกมแล้วกัน”
“เธอคิดจะทำอะไร?” ไป๋เฟยหลงถาม
ไป๋ยี่เฟยชี้ไปที่คนเมื่อสักครู่แล้วพูดว่า “เมื่อเย็นวานผมเคยสาบานไว้ว่า หากใครก็ตามกล้าแตะต้องพี่น้องของผม ผมก็จะไม่มีทางปล่อยมันไปเด็ดขาด!”
“พอมาวันนี้พวกคุณได้แตะต้องพี่น้องของผม อย่างนั้นผมจะทำให้พวกคุณรู้ว่า คำพูดของผมที่สุดแล้วจะใช้การได้หรือไม่?”
“วันนี้หากคุณทำลายสองมือของตนเอง ผมยังสามารถปล่อยให้พวกคุณไปจากที่นี่ได้ ไม่อย่างนั้น……”
ไป๋ยี่เฟยรู้แล้วว่าคนที่พูดเมื่อกี้ ก็คือคนที่ทำร้ายพี่น้องของเขา และคนคนนี้แค่อาศัยอำนาจของไป๋เฟยหลง ก็เลยไม่เห็นไป๋ยี่เฟยกับคนของเขาอยู่ในสายตาเท่านั้นเอง
ไป๋ยี่เฟยพอจะคาดเดาได้คร่าวๆ ว่า ตอนไป๋เฟยหลงอยู่หน้าประตูคิดจะเข้ามา ได้ถูกคนชุดดำขวางไว้ คนหนึ่งต้องการเข้าคนหนึ่งไม่ให้เข้า เป็นธรรมดาที่เกิดการปะทะกัน ต่อมาคนคนนี้เพื่อเอาใจไป๋เฟยหลง ดังนั้นถึงได้ลงมือ
เรื่องของไป๋เฟยหลงสามารถปล่อยไปก่อนได้ชั่วคราว แต่คนคนนี้เขาจำเป็นต้องจัดการ
พอได้ยินเช่นนี้ ไป๋เฟยหลงก็สีหน้ามืดครึ้ม “แกกล้าขู่ฉัน? หากลูกน้องของแกคือพี่น้อง แล้วลุงแกไม่ใช่หรือไง?”
“นั่นก็ต้องดูว่าพี่น้องของคุณกับลูกสาวคุณ คุณให้ความสำคัญกับคนไหนมากกว่ากัน?” ไป๋ยี่เฟยพูดพลางหัวเราะเยาะ
“อีกทั้งผมกล้าขู่คุณอยู่แล้ว และเมื่อกี้ก็คือการขู่คุณ ไม่ต้องสงสัยเลย!”
“แก!”
ไป๋เฟยหลงได้ยินเช่นนี้ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความโกรธจัด แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดีไปชั่วขณะ
อีกทั้งไป๋เจียวยังอยู่ในมือของไป๋ยี่เฟย เขาต้องตอบคำถามนี้ออกไปยังไง?
และคนที่ลงมือคนนั้นกลับไม่ถือสา รู้ว่าบอสตนเองลำบากใจอย่างมาก จึงเป็นฝ่ายพูดเองว่า “ไป๋ยี่เฟย แกมีสิทธิ์อะไรมาขู่บอส?”
“พวกเราอยู่ที่นี่ไม่ใช่แค่คนเดียว อีกทั้งพวกเรายังเป็นยอดฝีมือระดับที่สามชั้นสูงด้วย แกจะทำอะไรฉันได้?”
“บอสอย่าไปฟังเขา พวกเราจับตัวไป๋ยี่เฟยไปเลยเถอะ ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่ปล่อยคุณหนูใหญ่”
ไป๋เฟยหลงได้ยินเช่นนี้ก็ถึงบางอ้อ จู่ๆ ก็ได้สติขึ้นมาโดยพลัน ที่พูดมาก็คือ หากพวกเขาจับตัวไป๋ยี่เฟยไว้ คนของไป๋ยี่เฟยจะไม่กล้าปล่อยตัวไป๋เจียวเชียวหรือ?