ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 808
น่าจะมีมิตรภาพแปดสิบเปอร์เซ็นต์และความรักอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์
หลิวเสี่ยวอิงอยู่กับเขามานาน และยังเคยช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้ง ไป๋ยี่เฟยถือว่าหลิวเสี่ยวอิงเป็นเพื่อนสนิทเช่นเดียวกับสวีลั่ง
แต่หลิวเสี่ยวอิงเป็นผู้หญิง และเธอก็ดีกับเขามากๆ เขาก็เลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะประทับใจในตัวเธอ
แต่ไป๋ยี่เฟยไม่ได้เป็นคนที่เจอสาวสวยคนไหนก็ชอบคนนั้นเลย เขารู้ว่าตัวเองทำอะไรได้ และทำอะไรไม่ได้ และเขาสามารถควบคุมความปรารถนาของตัวเองได้
สำหรับผู้คน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการควบคุมความปรารถนาของตัวเองไม่ได้
ถ้าไป๋ยี่เฟยไม่มีความรู้สึกดีๆต่อเธอ แต่ก็ยังมีมิตรภาพอยู่ ดังนั้นถ้าเกิดอะไรไม่ดีกับหลิวเสี่ยวอิง เขาก็คงรู้สึกเสียใจมากๆแน่นอน
เพราะหลิวเสี่ยวอิงเสียชีวิตเพราะเขา
……
ไป๋ยี่เฟยเดินออกมาด้วยความงงงวย
เขาเดินไปที่พักอาศัยของลู่เหมียวเหมียวโดยไม่รู้ตัว
ไป๋ยี่เฟยเคาะประตู
คนที่มาเปิดประตูคือลู่เหมียวเหมียว เมื่อเห็นว่าเป็นไป๋ยี่เฟย เธอตกใจจนถอยหลังไปสองก้าว
“บอกฉันหน่อย พี่สาวของเธอเกิดวันไหน”ไป๋ยี่เฟยไม่ได้สนใจกับปฏิกิริยาของเธอ
เมื่อลู่เหมียวเหมียวได้ยินก็ส่ายหัวทันที
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกหงุดหงิดมากๆ ตอนนี้เขาคาดเดาได้ว่ามีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น ก่อนที่การคาดเดาของเขาจะได้รับการยืนยัน ตอนนี้อารมณ์ของเขาฉุนเฉียวมาก เขาควบคุมตัวเองไม่ได้และตะโกนออกมา:“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้!”
การตะโกนครั้งนี้ ทำให้ลู่เหมียวเหมียวหวาดกลัวยิ่งขึ้นไปอีก เธอเดินถอยหลังและส่ายหัว:“ฉันไม่รู้ ไม่รู้……”
ในขณะนี้ จู่ๆลู่หยางก็ถือมีดและวิ่งออกมา ยืนบังลู่เหมียวเหมียวเอาไว้ ใช้มีดชี้ไปที่ไป๋ยี่เฟย:“คุณจะทำอะไร?”
“คุณทำให้พ่อกับแม่ของพวกเราต้องตาย ยังส่งคนไปฆ่าพี่ใหญ่ของเราอีก ตอนนี้คุณต้องการฆ่าพี่รองและฉันด้วยใช่ไหม?”
“คุณมันเป็นปีศาจเลือดเย็น!”
“ปีศาจเลือดเย็น”ไป๋ยี่เฟยอึ้งไปชั่วครู่
ลู่หยางตะโกนเสียงดัง:“หรือว่าไม่ใช่?คุณเป็นปีศาจเลือดเย็นจริงๆ คุณฆ่าคนไปมากมายและฆ่าพี่สาวของฉันด้วย คุณน่ากลัวกว่าตระกูลหงอีก!”
“คุณจำไว้!ต้องมีสักวัน ฉันจะฆ่าคุณ เพื่อแก้แค้นให้พวกเขา!”
คำพูดเหล่านี้ของลู่หยาง ทำให้ไป๋ยี่เฟยสงบสติอารมณ์ได้ เขามองลู่หยางตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นค่อยๆเดินเข้าไป
เมื่อลู่หยางเห็นดังนั้นก็ตกใจมากๆ ถึงแม้เขาจะกลัวแต่ก็ไม่ยอมถอยหลัง เขายังใช้มีดที่ถืออยู่ในมือฟันไปที่ไป๋ยี่เฟย
แต่เขาสู้ของไป๋ยี่เฟยไม่ได้?
ไป๋ยี่เฟยแย่งมีดจากมือของเขาได้อย่างง่ายดาย
ลู่หยางมองดูมือของตัวเองที่ว่างเปล่า เขาก็อึ้งไปเลย
ไป๋ยี่เฟยโยนมีดไปที่พื้นและมีเสียง“แคร้ง”ดังขึ้น
จากนั้นไป๋ยี่เฟยใช้มือหนึ่งข้างจับไปที่ไหล่ของลู่หยาง ทำให้ร่างกายของลู่หยางสั่นไหว
ไป๋ยี่เฟยมองเขาและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง:“ฉันไม่สนใจว่าพวกคุณจะคิดยังไง และฉันก็ไม่มีเวลาไปอธิบายให้พวกคุณเข้าใจ ไม่ช้าก็เร็ว พวกคุณจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดเอง”
“ถึงแม้พวกคุณต้องการฆ่าฉันก็ตาม แต่ฉันก็จะให้พวกคุณมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี”
“แต่อย่าใช้มีดต่อหน้าฉัน จนกว่าคุณจะมีความสามารถที่จะฆ่าฉันได้”
“ตอนนี้คุณฆ่าฉันไม่ได้!”
เมื่อลู่หยางได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของเขาก็ขาวซีด กลัวจนปากสั่น
เขาเคยเห็นไป๋ยี่เฟยในสภาวะแปรสภาพ ดังนั้นเขารู้ดีว่าไป๋ยี่เฟยน่ากลัวแค่ไหน
ลู่เหมียวเหมียวคิดว่าไป๋ยี่เฟยจะทำร้ายลู่หยาง รีบวิ่งขึ้นมาและพูด:“อย่าทำร้ายเขา!พวกเราไม่รู้จริงๆ!”
“ไม่ใช่แค่ไม่รู้วันเกิดของพี่สาว แม้แต่วันเกิดของตัวเองพวกเราก็ไม่รู้ พ่อแม่บอกเพียงว่าพวกเราอายุเท่าไหร่ พวกเราไม่เคยจัดงานฉลองวันเกิดเลย”
เมื่อเธอพูดจบ สีหน้าของไป๋ยี่เฟยก็เปลี่ยนไปทันที ใบหน้าของเขาขาวซีดไม่มีสีเลือด
ในสมองของเขามีแต่ความยุ่งเหยิง เขาไม่รู้ว่าตัวด้วยซ้ำว่าออกจากห้องนั้นได้ยังไง แล้วกลับมาที่ห้องนอนตัวเองได้ยังไง
ไป๋ยี่เฟยล็อกตัวเองไว้ในห้องนอน ไม่ว่าใครจะมาเคาะประตู เขาก็ไม่ยอมเปิด
เขานั่งอยู่ที่โซฟา ในสมองของเขามีภาพในอดีตปรากฏขึ้น เป็นภาพที่เขารู้จักหลิวเสี่ยวอิงตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ โทรศัพท์ของไป๋ยี่เฟยก็ดังขึ้น
เมื่อไป๋ยี่เฟยได้สติ เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พบว่าหลี่เสว่เป็นคนโทรมา
ไป๋ยี่เฟยลังเลอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ไม่รับสาย จากนั้นก็ปิดเครื่อง
เขารู้ว่าตอนนี้เขามีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ ถ้าเขาเอ่ยปากพูดหลี่เสว่ต้องรู้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมรับสาย เขาคิดที่จะส่งข้อความไปให้หลี่เสว่
แต่นิ้วมือของเขากลับหยุดอยู่ที่แป้นพิมพ์ เขาไม่รู้ว่าจะพิมพ์อะไรไปบอกเธอ ในที่สุดเขาก็ส่งสติกเกอร์หน้ายิ้มไปให้เธอ
……
ในเวลาเดียวกัน
เย่ฮวนกับหลินขวางมาหาไป๋ยี่เฟยอย่างรีบร้อน
แต่พวกเขาโดนฉางเชี่ยวขวางไว้
“มีเรื่องด่วนเกิดขึ้น!”เย่ฮวนพูดอย่างเร่งรีบ
ฉางเชี่ยวพูดอย่างจำใจ:“ใครเคาะประตูก็ไม่ยอมเปิด ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ฉันก็จนปัญญาจริงๆ!”
“มันเกิดเรื่องด่วนอะไรขึ้นกันแน่?”ฉางเชี่ยวถาม
หลินขวางถอนหายใจ พูดอย่างเคร่งขรึมว่า:“คนงานเหมืองทั้งหมดหยุดทำงาน”
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง?”ฉางเชี่ยวประหลาดใจ
หลินขวางตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม:“คนงานเหมืองโดนคนดักทำร้ายระหว่างทาง คนๆนั้นพูดว่า ถ้าใครกล้าไปทำงานที่เหมือง เจอกี่ครั้งก็จะทำร้ายกี่ครั้ง”
เย่ฮวนพูดอีกว่า:“ไป๋ยี่เฟยเคยพูดว่าห้ามใช้กำลังในการแก้ปัญหา พวกเราก็ไม่รู้จะทำยังไง?”
เมื่อฉางเชี่ยวได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็ขมวดคิ้วและถาม:“คนที่ดักทำร้ายเป็นประชาชนทั่วไปหรือเปล่า?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน”เย่ฮวนฝืนยิ้ม นี่ก็เป็นเหตุผลที่พวกเขาทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
ฉางเชี่ยวครุ่นคิดขึ้นมาทันที
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเย่หรือตระกูลหลินหลังจากที่ไป๋ยี่เฟยล้มล้างตระกูลหงและเข้ามาดูแลเขตที่สี่ ก็แบ่งเหมืองทำให้พวกเขา เห็นได้ชัดว่าไป๋ยี่เฟยมีน้ำใจกับพวกเขามากแค่ไหน
และผลประโยชน์ที่ได้จากเหมืองทองคำในเขตที่สี่นั้นมหาศาล ถ้าล่าช้าไปหนึ่งวัน มันก็เสียหายเยอะมากๆ
นั้นเป็นเหตุผลที่เย่ฮวนกับหลินขวางกังวลมากๆ
ในขณะนี้ ประตูได้ถูกเปิดออก
ไป๋ยี่เฟยเดินออกมาจากด้านใน เขามีสีหน้าปกติและพูด:“แจ้งคนงานเหมืองทุกคนไปทำงานตามปกติ เรื่องนี้ฉันจะไปจัดการเอง”
การก่อตั้งเมืองเจาหยางทำให้คนส่วนใหญ่ได้รับผลประโยชน์และความสะดวกสบาย ทำให้พวกเขามีชีวิตที่สุขสบายและมีชีวิตที่ดีขึ้น
แต่ทุกเรื่องมีทั้งเรื่องดีและเรื่องเลวร้าย
ถึงแม้พวกเขาจะได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ แต่มันก็ไปขัดผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม
แนวคิดที่ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน มันไปขัดผลประโยชน์ของคุณมีอำนาจ ทำให้พวกเขาไม่พอใจ?
……
ในห้องโถงของตระกูลฉวี่ มีบุคคลสำคัญจำนวนมากจากตระกูลที่มีอำนาจมารวมตัวกัน
“ท่านฉวี่ ฉันขอร้องให้คุณเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ดีของสองตระกูล ได้โปรดช่วยฉันสักครั้ง!”หงจุนก้มศีรษะและยืนอยู่ด้านหน้าท่านฉวี่ และเขาก็พูดต่อหน้าทุกคน
ท่านฉวี่ยังคงนั่งอยู่บนรถเข็น เมื่อได้ยินคำพูดนี้เขาก็ยิ้มเยาะเย้ยและพูด:“ความสัมพันธ์ที่ดี?เมื่อก่อนฉันเคยช่วยพ่อของคุณไว้ และหลายปีที่ผ่านมาพวกคุณก็อำนวยความสะดวกให้ฉันมามากมาย ความสัมพันธ์ที่ดีมันได้หมดไปแล้ว”
“ช่วยคุณ?ให้ฉันช่วยคุณ?”น้ำเสียงของท่านฉวี่เย็นชา“ฉันไม่อยากช่วยคนที่ไม่ฟังคำสั่งของฉัน!”
ในขณะที่ตระกูลหงยิ่งใหญ่ ไม่มีใครกล้าล่วงเกินหรือผิดใจกับหงจุน?
ไม่มีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้?
แม้แต่ท่านฉวี่ก็ยังต้องพูดจากับเขาด้วยความสุภาพ
แต่นั้นมันเป็นตอนที่ตระกูลหงยังไม่ถูกล้มล้าง ตอนนี้หงจุนขอร้องเขาด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม:“ฉันเชื่อฟัง ฉันเชื่อฟังทุกอย่าง”
ท่านฉวี่ยิ้มอย่างเย็นชา:“ถ้าคุณเชื่อฟังที่ฉันพูด ก็คงไม่เป็นแบบนี้”
“สิ่งที่ฉันต้องการในตอนแรกคือ ใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบของพวกเราในเขตที่สี่ ทำให้ประชาชนที่โง่เขลาเหล่านั้นไปบีบบังคับคนพวกนั้น แล้วทำร้ายพวกเขาด้วยวิธีอื่นๆ เพื่อให้พวกเขารับรู้ว่าเขตที่สี่ยังคงเป็นถิ่นของพวกเรา