ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 834
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าต่อๆกันพูดว่า “ผมปะทะกับเต้าจ่างมาก่อน แม้ว่าพวกเราไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน แต่ว่าผมสามารถเห็นได้ชัดว่าเขาเรียกใช้ยังไง”
“ช่างเยี่ยมมากจริงๆนะ” จื่ออีตื่นเต้นอย่างมาก
ตื่นเต้นดีอกดีใจอยู่นาน จื่ออีตบไหล่ของไป๋ยี่เฟยตบแล้วตบอีกพูดว่า “ได้ ฉันรับปากคุณ อีกทั้งฉันสามารถสอนกังฟูที่ควบคุมเขาได้โดยเฉพาะอย่างหนึ่ง”
……
ในเวลาเดียวกัน เขตที่สามแห่งหลันเต่าบ้านใหญ่ตระกูลจ้าว
ในห้องโถงเต้าจ่างกำลังนั่งอยู่บนโซฟา และจ้าวเห้อขณะนี้เป็นเจ้าบ้านของตระกูลจ้าวกำลังยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างเคารพนบนอบ
เดิมทีเจ้าบ้านของตระกูลจ้าวเป็นจ้าวคั่ว หลังจากรับรู้ว่าลูกชายของตนเองถูกฟันตาย ผ่านไปไม่นานก็เสียชีวิตไปด้วย และจ้าวเห้อเป็นน้องชายของเขา
จ้าวเห้อกลายเป็นเจ้าบ้านตระกูลจ้าวยังไม่นานเท่าไหร่ ดังนั้นเคารพนบนอบต่อสหพันธ์ธุรกิจกับเต้าจ่างอย่างมาก โดยพื้นฐานคือทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
เต้าจ่างพูดเบาๆว่า “หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนผมจะท้าสู้กับไป๋ยี่เฟย ตามนิสัยของเขา เอ่ยเงื่อนไขที่ไม่มีประโยชน์กับเขาสักนิดออกมาแบบนี้ คิดว่าน่าจะมีจุดประสงค์อื่น”
จ้าวเห้อได้ยินคำพูดรีบพูดคล้อยตามว่า “ประธานผู้ยิ่งใหญ่โปรดวางใจ ไป๋ยี่เฟยฆ่าหลานชายของผม เป็นคู่อริของตระกูลจ้าวผม ไม่ว่าจะทำอะไร ท่านเพียงแต่ออกคำสั่งก็พอ”
เต้าจ่างจ้องมองจ้าวเห้อที่ผอมแห้งอ่อนแอหนึ่งที นัยน์ตากวาดผ่านอย่างเหยียดหยาม อยู่ที่เขาดูแล้ว จ้าวเห้อไม่มีสมองเหมือนดั่งหงฟ่าน
แต่ว่าเต้าจ่างปิดบังความเหยียดหยามของตนเองอย่างดี เขาพูดเบาๆว่า “ผมคาดเดาได้ว่า เป้าหมายต่อไปของเขาน่าจะเป็นเขตที่สาม”
แต่ว่าเต้าจ่างไม่ค่อยแน่ใจมากเลย เพราะว่าเต้าจ่างเคยได้ยินเรื่องเมื่อก่อนของเขามาก่อน อย่างเช่นตอนที่ไป๋ยี่เฟยฆ่าฉุงโยวเวย อย่างเช่นเขาได้สัมผัสด้วยตนเองอีกว่าไป๋ยี่เฟยฆ่าล้างตระกูลหงยังไง
เขาล้วนใช้เล่ห์กลเดียวกัน ทำให้คนอื่นคิดว่าเขาจะทำอะไร ผลลัพธ์กลับเป็นการโจมตีอย่างคิดไม่ถึงจากด้านข้าง ทำเรื่องตรงข้ามกัน
ดังนั้น ตอนนี้เต้าจ่างไม่กล้าแน่ใจเท่าไหร่ ไป๋ยี่เฟยตกลงว่าจะทำอย่างนี้หรือไม่
เต้าจ่างพูดเสียงเข้มว่า “ไม่ว่าเขาจะทำอะไร สรุปได้ว่า เขาย่อมลงมือกับเขตอื่นๆอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเราต้องลงมือก่อนจะเป็นต่อ”
“การต่อสู้กันตัวต่อตัวหลังจากหนึ่งเดือน ดักซุ่มล่วงหน้าอยู่ในโรงเลื่อยไม้ให้ดีๆก่อน พกอาวุธปืนกระสุนระเบิด ย่อมรับรองได้ว่าร้อยทั้งร้อยไม่พลาดย่างเด็ดขาด จะให้เขามีชีวิตเดินออกไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด!”
“ยังมี ลูกน้องเหล่านั้นของเขาก็ต้องระวังมากเช่นกัน”
จ้าวเห้อพยักหน้าทันทีพูดว่า “ประธานผู้ยิ่งใหญ่โปรดวางใจ จะวางแผนอย่างดีแน่นอน ถึงเวลานั้นไม่ว่าเขามีคนมามากเท่าไหร่ ล้วนจะหนีไม่พ้น!”
เต้าจ่างพยักหน้าต่อๆกัน
ผ่านไปสักพัก จ้าวเห้อกลับมีความสงสัยงงงวยไม่เข้าใจถามว่า “เพียงแค่ไป๋ยี่เฟยคนเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น จะทำให้ประธานผู้ยิ่งใหญ่เห็นความสำคัญขนาดนี้ได้ยังไงล่ะ?”
ได้ยินคำพูดนี้ เต้าจ่างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง เหมือนดั่งหงฟ่านอย่างที่คิดจริงๆ
โง่เขลา!
“คนก่อนที่ดูถูกไป๋ยี่เฟยนั้นคือหงฟ่าน” เต้าจ่างพูดเบาๆ ถือว่าเตือนสติเขา ให้เขาอย่าดูถูกศัตรู มิฉะนั้นจะตกอยู่ในสภาพเหมือนดั่งหงฟ่าน
แต่ว่าจ้าวเห้อกลับรู้สึกว่าตนเองเก่งกว่าหงฟ่าน ยิ้มอยู่ตอบกลับว่า “ประธานผู้ยิ่งใหญ่โปรดวางใจ พวกเราตระกูลจ้าวไม่ใช่ตระกูลหง ยิ่งกว่านั้นอีกนั่นคือหงฟ่าน ตนเองไม่มีสมอง ผมไม่ใช่เขา”
เต้าจ่างได้ยินคำพูดนี้พูดไม่ออกเล็กน้อยแล้ว ไอ้โง่เหล่านี้เหมือนอย่างที่คิดจริงๆ ไม่ว่าพูดอะไรล้วนคิดว่าตัวเองถูกตลอดจริงๆ
กำลังอยู่ในเวลานี้ มีคนใช้ของตระกูลจ้าวเข้ามารายงานว่า “เจ้าบ้าน มีคนต่างถิ่นสองคนจะมาพบเจอกับท่าน”
“ใครหรือ?” จ้าวเห้อถาม
ลูกน้องคนนั้นตอบกลับทันที “พวกเขาว่าจะมาช่วยท่าน”
จ้าวเห้อมีความแปลกประหลาดเล็กน้อย จากนั้นจ้องมองเต้าจ่างทันที เต้าจ่างพยักหน้าต่อๆกันกับเขา ก็เลยลุกขึ้นเดินไปยังห้องเล็กข้างๆ
จากนั้นจ้าวเห้อก็ ฮึ พูดว่า “ใครที่มีลักษณะการพูดยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ให้พวกเขาเข้ามา ผมกลับอยากจะดูว่าพวกเขามีความสามารถอะไรล่ะ?”
จากนั้นชายหนึ่งหญิงหนึ่งเดินเข้ามา ชายหล่อ หญิงสวยงาม
ผู้ชายสวมใส่ชุดลำลองที่เหมาะสมทั้งตัว ผู้หญิงสวมใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนแบบเรียบง่าย
หลังจากจ้าวเห้อมองเห็นพวกเขาทั้งสองแล้ว อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาพูดอย่างเหยียดหยามว่า “รุ่นเด็กเยาว์วัยสองคน ก็กล้าพูดคุยโวโอ้อวดอย่างนี้ด้วย!”
ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองจ้าวเห้ออย่างเย็นชาหนึ่งทีพูดว่า “ตระกูลจ้าวดีเลวก็เป็นผู้กุมอำนาจของเขตที่สาม มีการต้อนรับแขกอย่างนี้เลยหรือ?”
พ่อบ้านของตระกูลจ้าวยืนอยู่ข้างหลังจ้าวเห้อ ได้ยินคำพูดนี้อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ใครให้ความกล้าแก่คุณพูดคำพูดนี้ล่ะ?”
จ้าวเห้อกลับไม่ใส่ใจ กลับยิ้มพูดว่า “ไปเตรียมน้ำชา ให้รุ่นเด็กทั้งสองนั่งลงก่อน”
แม้ว่าเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นสายตาหรือว่าน้ำเสียงของเขา ล้วนเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
ชายหนึ่งหญิงหนึ่งนั้นเห็นสภาพก็ไม่ได้พูดอะไรมาก นั่งอยู่บนโซฟา จากนั้นผู้หญิงพูดเบาๆว่า “ฉันชื่อฉุงลี่หย่า”
จ้าวเห้อพยักหน้าต่อๆกันไม่มีปฏิกิริยาอะไร
เพราะว่าอยู่ที่เขาดูแล้ว ทั้งสองคนนี้ไม่คุ้มค่าที่จะเอ่ยถึง
กลับเป็นเต้าจ่างที่ซ่อนอยู่ในห้องเล็กๆในใจตื่นตกใจอย่างมาก ฉุงลี่หย่าเป็นตัวแทนตระกูลฉุงนะ บัดนี้ตระกูลฉุงก็เข้ามาร่วมด้วยเช่นกัน อย่างงั้น…..
ในห้องโถง ฉุงลี่หย่าพูดเบาๆว่า “พวกเราจะมาช่วยนะ”
“ตระกูลฉุงสามารถสนับสนุนกำลังไฟให้ ในเวลาเดียวกันจะส่งยอดฝีมือคนหนึ่งลอบฆ่าไป๋ยี่เฟย อีกทั้ง ก่อนการต่อสู้กันตัวต่อตัววันหนึ่ง พวกเราจะมีแผนการอย่างหนึ่ง จะทำให้จิตใจของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก”
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของจ้าวเห้อดูแย่เล็กน้อย จ้องมองฉุงลี่หย่าถามว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเราจะจัดการไป๋ยี่เฟยล่ะ?”
“คุณคิดว่าเขาจะปรับแก้เขตที่สี่ให้กลายเป็นเมืองเจาหยางเท่านั้นหรือ?” ฉุงลี่หย่าถามกลับอย่างเบาๆ
จ้าวเห้อไม่พูดแล้ว
ฉุงลี่หย่าพูดต่อว่า “ถ้าหากว่าฉันคาดเดาไม่ผิด วันที่เขาทำการต่อสู้กันตัวต่อตัวกับเต้าจ่างนั้น ก็จะเป็นเวลาที่เขตที่สามถูกล้มล้าง”
จ้าวเห้อถามว่า “คุณรู้ว่าเต้าจ่างจะต่อสู้กันตัวต่อตัวกับไป๋ยี่เฟยจากที่ไหนล่ะ?”
ฉุงลี่หย่าได้ยินคำพูดนี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง “ฉันเคยบอกแล้ว ชื่อของฉัน ฉันแซ่ฉุง เป็นตัวแทนตระกูลฉุงอยู่ เพียงแค่เรื่องที่อยากจะรู้ก็ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้”
“ตระกูลฉุงหรือ?” หลังจากจ้าวเห้อได้ยินก็ยิ้มเย็นชาอย่างเหยียดหยาม “ลักษณะการพูดกลับไม่เล็ก ตระกูลฉุงมาจากไหนล่ะ?”
ฉุงลี่หย่าจ้องมองเขาพูดเบาๆว่า “ตระกูลฉุงในตระกูลใหญ่ทั้งสี่ของเมืองหลวง”
ทันทีที่จ้าวเห้อได้ยินคำพูดนี้ ชั่วพริบตาเดียวเบิกตาโพลงทั้งคู่ กลืนน้ำลายแล้วกลืนน้ำลายอีกด้วยจิตใต้สำนึก ในเวลานี้ ในที่สุดเขาก็รู้สึกถึงสถานะของฝั่งตรงข้ามแล้ว
จากนั้นจ้าวเห้อลุกขึ้นมาทันที โค้งตัวพูดว่า “คุณหนูใหญ่ขออภัยโทษ ผมไม่รู้ว่าเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉุง ผม……”
แม้ว่าหลันเต่าเป็นของสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวง แต่ว่าพูดถึงที่สุดยังคงเป็นตระกูลใหญ่ทั้งสี่ที่ช่วงชิงสิทธิการควบคุมของหลันเต่า ก็เนื่องเพราะเป็นเช่นนี้ จึงทำให้ตระกูลใหญ่ทั้งสี่พะว้าพะวังสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวง
ก็พูดได้อีกว่า ตระกูลใหญ่ทั้งสี่อยู่ที่นี่ก็มีอำนาจชื่อเสียงความน่าเชื่อถือพอสมควร
สีหน้าฉุงลี่หย่าไม่เปลี่ยนแปลงพูดว่า “นั่งเถอะ ฉันไม่ถือสา”
จ้าวเห้อนี่เพิ่งลุกขึ้นมา ก็นั่งลงไปอีก เช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากเช็ดแล้วเช็ดอีก จากนั้นร้องพูดกับพ่อบ้านว่า “ยังไม่รีบเข้าไปเทน้ำชา?”
ฉุงลี่หย่ายกมือขึ้นพูดว่า “ไม่ต้องแล้ว ฉันเพียงแค่อยากจะมาบอกกับคุณ ตระกูลฉุงจะช่วยคุณ ดังนั้นคุณต้องจับฉวยโอกาสไว้ด้วยตนเอง”
“เพื่อที่จะพิสูจน์คำพูดของฉัน พวกคุณสามารถลองดูก่อน พวกเราจะทำให้จิตใจของไป๋ยี่เฟยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนักได้ยังไง”
……
ในคลังเก็บทอง ไป๋ยี่เฟยกำลังรับการฝึกฝนเป็นพิเศษจากจื่ออีกับฉินหัวอยู่
ตั้งแต่หลังจากจื่ออีรู้ว่าไป๋ยี่เฟยสามารถเข้าสู่สภาวะนั้นอย่างอิสระ ก็เลยตื่นเต้นดีอกดีใจเหลือเกิน เพราะว่าอยู่ภายใต้สภาวะแบบนั้น พรสวรรค์ของไป๋ยี่เฟยสูงมาก สติปัญญาดีมาก ดังนั้นเธอแทบอยากจะมอบวิชาที่เลิศล้ำทั้งหมดให้กับเขาใจจะขาด
จื่ออีพูดว่า “ฉันสอนคุณสิบวันต่อหนึ่งวิชาที่เลิศล้ำ หนึ่งเดือนก็สามารถฝึกได้สามอย่าง”
แต่ว่า ความสามารถแห่งการตระหนักรู้ของไป๋ยี่เฟยยังคงเหนือความคาดคิดของเธอ
หนึ่งวิชาที่เลิศล้ำ ไป๋ยี่เฟยเพียงแค่ใช้เวลาห้าวันเท่านั้น
และในหนึ่งเดือนนี้ ไป๋ยี่เฟยเรียนรู้วิชาเลิศล้ำที่ต่างกันได้หกอย่างพอดี
สำหรับฉินหัว สอนวิชามวยที่พิเศษอย่างหนึ่งให้กับไป๋ยี่เฟย
วิชามวยแบบนี้กับวิชามวยของเขามีความคล้ายกันเล็กน้อย แต่ก็มีความต่างเช่นกัน
เพราะว่ากังฟูของฉินหัวเอามาทำการสู้รบจริง อย่างนั้นก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว มันเป็นกังฟูที่สะสมกันวันแล้ววันเล่าอย่างหนึ่ง
ก็เหมือนดั่งฉินหัวเขาเริ่มฝึกฝนตั้งแต่อายุสิบขวบแล้ว
ในตอนต้นไป๋ยี่เฟยยังไม่เชื่อ ก็ซ้อมมวยตามวิธีของฉินหัว แต่ตอนที่ออกมวยก็พบเห็นพลังของเขาดูเหมือนถูกอะไรกีดกั้นไว้แล้ว จะเปล่งก็ล้วนเปล่งออกมาไม่ได้
คราวนี้เขาจึงเชื่อแล้วจริงๆ จากนั้นก็ได้เพียงแต่ค่อยๆฝึกฝนแล้ว
……
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว มาถึงวันที่ยี่สิบเก้าแล้ว ยังเหลือแค่วันเดียวก็ถึงเวลานัดหมายแล้ว
ฝึกฝนไปนานขนาดนี้ จื่ออีกับฉินหัวคิดว่าจะให้ไป๋ยี่เฟยพักผ่อนสักหน่อย
ไป๋ยี่เฟยก็ไม่มีความเห็นเช่นกัน อยู่ในหนึ่งเดือนนี้เขาเรียนรู้สิ่งมากมายแล้ว สำหรับการรบชนะสวี่เต้าจ่างยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น
เพียงแค่ตอนที่ไป๋ยี่เฟยเตรียมตัวจะไปพักผ่อน อยู่ดีๆจื่ออีเดินไปยังข้างกายของเขา กอดเขาหนึ่งที จากนั้นใช้แขนคล้องคอเขาไว้