ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 836
สวีลั่งถอนหายใจอีกหนึ่งทีพูดว่า “ตอนนั้นที่เธอออกไป เหลียงยู่ยังเคยถามเธอว่าจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือไม่?”
“เธอบอกว่าไม่น้อยเนื้อต่ำใจแม้แต่น้อย เพราะว่าเธอรู้สึกรักคนคนหนึ่งรักมากเกินไป ก็เป็นเรื่องที่ทรมานคนอย่างหนึ่ง”
ไป๋ยี่เฟยกลับมีความสงสัยงงงวยเล็กน้อย “เหลียงยู่ก็อยู่บนเกาะด้วยเช่นกันหรือ?”
สวีลั่งพยักหน้าต่อๆกัน ตอบกลับว่า “เธอบอกว่าอาจารย์ของพวกคุณส่งเธอไป”
หลังจากไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดนี้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย อยู่ดีๆนึกถึงอะไรได้ ก็เลยหมุนตัวไปหาจื่ออี ถามเธอว่า “เหลียงยู่เป็นท่านส่งมาหรือ?”
“เสี่ยวยู่หรือ?” จื่ออีมีความงุนงงเล็กน้อย ส่ายหัวต่อๆกัน “ไม่มี หลังจากครั้งก่อนกลับไปก็ไม่เคยเจอเธอมาก่อนเลย ฉันล้วนไม่รู้ว่าในตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดสีหน้าเปลี่ยนอย่างรุนแรง “แย่แล้ว!”
ชั่วพริบตาเดียว ไป๋ยี่เฟยก็เลยออกจากคลังเก็บทอง ทั้งเดินทั้งทำให้ตนเองเข้าสู่สภาวะแบบนั้น เส้นผมค่อยๆกลายเป็นสีขาว ตาทั้งคู่ก็ส่งแสงสีแดงระยิบระยับออกมาเช่นกัน
จากนั้นเขาใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดวิ่งห้อไปยังเมืองเจาหยาง
รอตอนที่คนอื่นๆไล่ตามออกมา มองไม่เห็นเงากายของไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยอยู่ตอนที่ฟ้ายังไม่สว่าง รีบเร่งไปถึงอาคารใหญ่ของเมืองเจาหยาง จากนั้นมาถึงหน้าห้องประตูของจางหัวปิน เคาะประตูอย่างรุนแรง
“ปัง ปัง ปัง!”
จางหัวปินตกใจตื่นด้วยเสียงเคาะประตูนี้ ลงจากเตียงไปเปิดประตูทันที รอตอนที่พบเห็น คนที่ยืนอยู่หน้าประตูถึงขนาดเป็นไป๋ยี่เฟยที่ตาทั้งคู่แดงฉาน ชงักงันถามว่า “นี่……นี่เป็นยังไงแล้วหรือ?”
ไป๋ยี่เฟยทั้งหอบอยู่ทั้งพูดว่า “รีบพาผมไปหาหลิวเสี่ยวอิง!”
โดยจิตใต้สำนึกจางหัวปินขมวดคิ้วขึ้นมา “เกิดเรื่องอะไรกันแน่?”
ไป๋ยี่เฟยไม่ทันที่จะอธิบาย จับข้อมือของจางหัวปินไว้ทันที ลากเขาไปข้างนอก “รีบพาผมไป!”
เห็นไป๋ยี่เฟยร้อนใจขนาดนี้ จางหัวปินไม่ถามมากกว่านี้อีก พาไป๋ยี่เฟยมาถึงฝั่งตรงข้ามของอาคารใหญ่ที่พวกเขาอยู่นี่
จากนั้น ตอนที่พวกเขาหาห้องของหลิวเสี่ยวอิงเจอ จึงพบเห็นว่าที่นี่ไม่มีคนอยู่นานแล้ว
จางหัวปินเปิดไฟในห้องออก การตกแต่งของห้องนอนง่ายมาก ดูแล้วก็สะอาดเรียบร้อยมากเช่นกัน
อยู่ที่ตู้บนหัวเตียง ยังมีขวดยาเล็กๆตั้งอยู่ มีกระดาษโน้ตใบหนึ่งทับอยู่ใต้ขวดยาเล็กๆ
บนกระดาษโน้ตมีประโยคหนึ่ง
“ศิษย์น้อง ช่วงเวลาที่เคยผ่านมานั้นเป็นเวลาที่ฉันมีความสุขที่สุด ปัจจุบันนี้ก็เป็นเวลาที่ทำให้ฉันคิดถึงที่สุด ในเวลาหนึ่งเดือน ถ้าหากว่าคุณยังมาไม่ถึง เธอต้องตาย!”
ไป๋ยี่เฟยมองเห็นลายมือที่อยู่บนกระดาษโน้ตไม่ได้เป็นของหลิวเสี่ยวอิงเลย งั้นก็เป็นได้แต่เพียงของเหลียงยู่แล้ว
เหลียงยู่จะทำอะไรหรือ?
ทำไมต้องจับหลิวเสี่ยวอิงไปล่ะ?
……
วันรุ่งขึ้น คนของเมืองเจาหยางกับเขตที่สามทั้งสองฝั่งล้วนออกเดินทางไปยังโรงเลื่อยไม้ที่อยู่ระหว่างเขตแดน
ในเวลาเดียวกัน มีคนมากมายรวมตัวกันเข้ามาในโรงเลื่อยไม้แล้ว
เต้าจ่างประธานสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงกับไป๋ยี่เฟยหนึ่งในผู้ก่อตั้งเมืองเจาหยาง ข่าวที่จะมีการต่อสู้กันตัวต่อตัว ส่งกระจายไปทั่วหลันเต่ามานานแล้ว
ด้วยเหตุนี้คนที่มาที่นี่ไม่เพียงแค่คนของเขตที่สามกับเมืองเจาหยางเท่านั้น ยังมีบุคคลยิ่งใหญ่ของเขตอื่นบ้าง
บางคนรู้สถานะของเต้าจ่าง ล้วนแสดงให้เห็นว่าประหลาดใจมาก
“ความกล้าหาญของเขามาจากไหนกล้าต่อสู้กันตัวต่อตัวกับเต้าจ่างหรือ?”
“จะไม่ใช่นี่คือหาความตายอยู่จริงๆ!”
“คนนี้ล่ะ ยังเยาว์วัยเกินไป วู่วามแล้ว!”
ข้างโรงเลื่อยไม้มีจุดชมวิวที่ปลูกสร้างขึ้นมาเป็นการชั่วคราวแห่งหนึ่ง เห็นลักษณะน่าจะเพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน คิดว่าน่าจะให้ความสะดวกในการมาดูการต่อสู้กันตัวต่อตัวฉากนี้
บุคคลยิ่งใหญ่เหล่านี้ในตอนนี้ล้วนนั่งอยู่บนจุดชมวิว และพวกเขาต่างคนต่างล้วนรู้ว่าเต้าจ่างเป็นคนแบบไหน
พลังความสามารถของเต้าจ่างไม่ต้องสงสัย เกือบจะถึงยอดฝีมือระดับที่หนึ่งแล้ว แต่ไป๋ยี่เฟยมีเพียงพลังความสามารถระดับที่สามชั้นกลางเท่านั้น ทั้งสองต่างกันมากเกินไป สำหรับพวกเขามากล่าวแล้ว นี่เป็นการต่อสู้กันตัวต่อตัวที่ไม่มีความร้อนใจใดๆฉากหนึ่ง
และคนที่นั่งเฝ้าพิทักษ์รักษาจุดชมวิวอยู่ที่จุดชมวิว เป็นจ้าวเห้อของตระกูลจ้าว ในเวลานี้เขากำลังทักทายตามธรรมเนียมกับบุคคลยิ่งใหญ่หลายคนของเขตอื่นอยู่
บนใบหน้าของเขาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มที่เห็นได้ชัด นัยน์ตาก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน
เพราะว่าเขารู้ การต่อสู้กันตัวต่อตัวในวันนี้ไป๋ยี่เฟยคือตัวแทนเมืองเจาหยาง งั้นเต้าจ่างก็คือตัวแทนเขตที่สาม
ให้เต้าจ่างมาเป็นตัวแทนพวกเขาเขตที่สาม พอที่จะเห็นได้ว่าตระกูลจ้าวอยู่ต่อหน้าเต้าจ่าง อยู่ต่อหน้าสหพันธ์ธุรกิจ จะได้รับการโปรดปรานมากขนาดไหน
รอถึงการต่อสู้กันตัวต่อตัวจบ ฆ่าไป๋ยี่เฟยทิ้ง อย่างงั้นเขตที่สามก็จะกลายเป็นมือซ้ายมือขวาของเต้าจ่างโดยปริยาย ถึงเวลานั้น วัสดุที่พวกเขาได้รับจากในนั้นคิดว่าจะยิ่งมากกว่า
ในเวลานี้ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งรูปร่างที่ทั้งเตี้ยทั้งอ้วนเดินเข้ามาแล้ว จับมือแล้วจับมืออีกกับจ้าวเห้อ ยิ้มอยู่พูดว่า “พี่จ้าว สบายดี!”
“พี่หลี่คิดว่ายังไงล่ะ?” จ้าวเห้อหัวเราะ ฮ่าฮ่า
ชายอ้วนเตี้ยยิ้มอยู่พูดอีกว่า “นี่เป็นความจริงนะ วันหลังรอคุณเจริญรุ่งเรืองแล้ว อย่าลืมเขตที่หนึ่งของพวกเราล่ะ!”
“นี่ย่อมเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว” จ้าวเห้อยิ้มตาหยีตอบกลับ
เพิ่งพูดไปไม่กี่คำ จ้าวเห้อมองเห็นมีคนเดินเข้ามาอีก รีบหมุนตัวไปต้อนรับ
ชายอ้วนเตี้ยเห็นฉากนี้ อยู่ดีๆก็หัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง พูดว่า“ถุ่ย คางคกขึ้นวอ!”
และจ้าวเห้อฝั่งนี้เข้าไปต้อนรับ เดินเข้าไปแล้วจึงพบเห็น หลายคนนี้เขาล้วนไม่รู้จัก จากนั้นสงสัยงงงวยถามว่า “ทุกท่านคือ……”
วัยรุ่นคนนั้นที่อยู่ข้างหน้าสุดตอบกลับอย่างเบาๆว่า “ฉางเชี่ยว”
หลังจากจ้าวเห้อได้ยินสีหน้าเปลี่ยนทันที “ผู้ควบคุมคนใหม่ของเขตที่สี่หรือ?”
ฉางเชี่ยวส่ายหัวนิดๆพูดว่า “คือเมืองเจาหยาง”
จ้าวเห้อได้ยินคำพูด ฮึ เย็นชาพูดว่า “ผมไม่ได้เรียนเชิญคุณนะ!”
“ผมก็ไม่ได้เรียนเชิญคุณ!” ฉางเชี่ยวพูดด้วยใบหน้าที่ไร้สีหน้า
จ้าวเห้อเพิ่งอยากจะพูดอะไร ฉางเชี่ยวก็ยื่นมือผลักเขาออกทันที เดินขึ้นไปข้างบนด้วยตนเอง พูดเสียงเย็นชาว่า “ออกไป อย่าขวางทาง!”
“คุณ!” จ้าวเห้อโมโหจนกัดฟัน จากนั้นพูดกับลูกน้องที่อยู่ข้างกายเขาว่า “รีบไล่เขาลงมา!”
ลูกน้องของจ้าวเห้อพุ่งเข้าไปทันที และบอดี้การ์ดติดตัวหลายคนของฉางเชี่ยวล้วนมีพลังความสามารถของยอดฝีมือระดับที่สาม มองเห็นพวกเขาพุ่งเข้ามา ชั่วพริบตาเดียวล้อมรอบคนไว้ จากนั้นเท้าสะเอวยกมือขึ้น ชี้ไปยังพวกเขาร้องตะโกนเสียงหนึ่ง “ผมจะดูว่าพวกคุณใครกล้าล่ะ?”
ร้องตะโกนคำนี้ ทำให้ลูกน้องเหล่านั้นของจ้าวเห้อตกใจเลย ต่างคนต่างไม่กล้าเข้าไปอีก
จ้าวเห้อเห็นแบบนี้เกือบจะโมโหจนกระอักเลือด “นี่เป็นเวทีที่พวกเราตระกูลจ้าวสร้างขึ้นมานะ ผมไม่ได้เรียนเชิญพวกคุณล่ะ แม่มึงเอ่ย พวกคุณมีสิทธิอะไรขึ้นมาหรือ?”
ฉางเชี่ยวได้ยินคำพูดนี้ย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้าหยุดชะงัก จากนั้นหันหน้าไปจ้องมองจ้าวเห้อ ยิ้มเย็นชาพูดว่า “หน้าไม่อาย!”
“คุณ!” จ้าวเห้อชี้ไปยังฉางเชี่ยว เบิกตาโพลง จ้องมองเขาอย่างแน่น “แม่มึงเอ่ย คุณพูดอะไรหรือ?”
ในเวลานี้พวกบุคคลยิ่งใหญ่ของเขตอื่นๆที่อยู่ข้างๆเหล่านั้น ก็ลุกขึ้นมาแล้วเช่นกัน ต่างคนต่างตำหนิฉางเชี่ยว
“ใครให้ความกล้าหาญแก่คุณโอหังขนาดนี้ล่ะ?”
“เพียงแค่เขตที่สี่แห่งหนึ่งเท่านั้น ยังกล้ามาเป็นศัตรูกับพวกเราเขตทั้งหมดเชียวหรือ”
“อย่าคิดว่าพวกคุณฆ่าล้างตระกูลหงแล้ว พวกเราก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรพวกคุณล่ะ? ตระกูลหงอยู่ในสายตาของพวกเรา แม้แต่ลมก็ไม่ใช่!”
“ก็ใช่สิ เวทีที่คนอื่นสร้างขึ้น ยังโอหังขนาดนี้!”
สำหรับการตำหนิของคนเหล่านี้ ฉางเชี่ยวไม่ใส่ใจเลย แต่ค่อยๆเดินไปยังที่นั่งที่อยู่ตรงกลาง จากนั้นนั่งลง จึงเอ่ยปากเบาๆพูดว่า “คำพูดเมื่อกี้ที่ผมพูดไม่เพียงแค่พุ่งเป้าไปยังตระกูลจ้าวเท่านั้น แต่เป็นคนทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่!”
“พวกคุณ ล้วนหน้าไม่อาย!”
คำพูดนี้ยั่วให้คนทั้งหลายโกรธแล้ว ทั้งหมดล้วนโมโหจ้องเขม็งฉางเชี่ยวอยู่ ดูเหมือนจะเริ่มตำหนิรอบใหม่อีก
แต่ฉางเชี่ยวกลับยิ้มเย็นชาพูดว่า “ใครให้พวกคุณปลูกสร้างเวทีอยู่ในเขตอิทธิพลของเมืองเจาหยางล่ะ?”
พูดจบ คนทั้งหลายล้วนนิ่งอึ้งไปเลย
จ้าวเห้อยิ่งโมโหพูดว่า “โรงเลื่อยไม้นี้มีครึ่งหนึ่งเป็นของเขตที่สามนะ!”
หลังจากฉางเชี่ยวได้ยินคำพูดนี้ ฮึ เย็นชาพูดว่า “งั้นพวกคุณก็ไปสร้างเวทีอยู่ในครึ่งหนึ่งนั้นของเขตที่สามไง วิ่งมาสร้างเวทีอยู่ที่ครึ่งหนึ่งนี้ของพวกเราเมืองเจาหยางทำไมล่ะ?”
จ้าวเห้ออึ้งชะงักเลย
โรงเลื่อยไม้อยู่ระหว่างเขตที่สามกับเมืองเจาหยางคนละครึ่ง แต่ว่าลักษณะภูมิประเทศของเมืองเจาหยางฝั่งนี้ดีหน่อย ดังนั้นตอนที่เขาส่งคนมาสร้างเวที ย่อมจะเลือกที่ตั้งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว
ฉางเชี่ยวจ้องมองเขา พูดเสียงเย็นชาว่า “สร้างเวทีอยู่ในเขตอิทธิพลของผม ผมไม่ได้ให้คนมารื้อก็ถือว่าดีแล้ว คุณยังมีหน้าให้ผมลงไปหรือ?”
“ยังมีพวกคุณคนเหล่านี้ นั่งอยู่ที่นี่คงยังถือว่าที่นี่กลายเป็นเขตอิทธิพลของตนเองแล้วจริงๆ? ทำไมล้วนหน้าไม่อายขนาดนี้ล่ะ?”
คำพูดนี้พูดจนทำให้สีหน้าของพวกบุคคลยิ่งใหญ่เหล่านั้นดูแย่เหมือนดั่งท้องผูก
สีหน้าของจ้าวเห้อยิ่งดูแย่กว่าอีก ในเวลานี้ ยามนี้ เขาล้วนอยากจะทำให้คนที่สร้างเวทีเหล่านั้นตายเลย
จากนั้นฉางเชี่ยวพูดอีกว่า “อยากจะดูอยู่ที่นี่ก็ได้ แม่มึงเอ่ย ล้วนไปที่ข้างหลังให้หมด แถวแรกเหลือไว้ให้กับเมืองเจาหยาง!”
จากนั้นคนเหล่านั้นที่ฉางเชี่ยวพามาล้วนเดินไปข้างหน้าที่นั่งแถวที่หนึ่ง นั่งลงไปโดยตรง ก็แม้แต่ลู่เหมียวเหมียวกับลู่หยางก็นั่งอยู่แถวที่หนึ่งเช่นกัน