ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 932
คำพูดนี้ของไป๋ยี่เฟยไม่มีสภาวะจิตที่หัวเราะเยาะจริงๆ คือถามเขาอย่างเอาจริงเอาจังว่าเป็นหรือไม่ แต่อยู่ที่พานปู้ถิงดูแล้วก็คือดูถูกเขา
“อย่าพูดจาไร้สาระ รีบไสหัวลงมา!” พานปู้ถิงใบหน้าเย็นชาลงในชั่วพริบตาเดียว
สำหรับสิ่งนี้ไป๋ยี่เฟยก็ไม่ได้โมโหแล้วเช่นกัน พยักหน้าต่อๆกันก็กระโดดลงจากรถ นั่งลงไปที่แถวข้างหลัง
เพียงแค่เขาเพิ่งนั่งลงไป พานปู้ถิงก็หมุนตัวดุด่าเสียงดัง “คุณทำอะไรล่ะ? ใครอนุญาตให้คุณนั่งอยู่ที่นี่ คุณไม่รู้จักสถานะของตนเองหรือ? ไสหัวออกไปที่กระบะรถ!”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้โมโหเหมือนเดิม ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับเขา ยักไหล่ต่อๆกัน ก็เลยลงจากรถไปที่กระบะรถข้างหลัง
เขากลับอยากจะรู้ว่าพานปู้ถิงจะขับรถยังไง
คนดั่งพานปู้ถิงแบบนี้ ขับรถทั่วไปน่าจะไม่มีปัญหา แต่รถที่พวกเขาขับแทบจะเป็นเกียร์ออโต้หมด โดยพื้นฐานเกียร์กระปุกจะไม่เป็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรถบรรทุกเลย
พานปู้ถิงนั่งอยู่ที่นั่งคนขับ สตาร์ทรถ เข้าเกียร์
แต่ว่าหลังจากเข้าเกียร์แล้วกลับมีความมึนงงเล็กน้อย “นี่เป็นเกียร์อะไรหรือ?”
เห็นเขาแม้แต่เกียร์ล้วนไม่รู้ หลิวเสี่ยวอิงอดไม่ได้ที่จะพูดไปคำหนึ่ง “ขับเป็นหรือไม่ล่ะ?”
พานปู้ถิงได้ยินแล้ว รักษาหน้าไว้ไม่ได้ กัดฟันทันที ก็เข้าเกียร์ไปมาอีก เท้าเหยียบอยู่บนครัชค่อยๆปล่อยออก ผลสุดท้ายรถล้วนไม่ขยับสักนิด
ต่อจากนี้ เขาไม่ยอมลองแล้วลองอีก คราวนี้เขาปล่อยครัชออกอย่างรุนแรง ผลสุดท้ายรถบรรทุกเพียงแค่ขยับแล้วขยับอีกชั่วพริบตาเดียวก็ดับแล้ว
หลิวเสี่ยวอิงเห็นสภาพ ก็เลยปรากฏสีหน้าที่รังเกียจออกมา
อู๋หยุนก็เห็นแล้วเช่นกัน รู้สึกรักษาไว้ไม่ไหวเล็กน้อย ก็เลยพูดกับพานปู้ถิงว่า “ในเมื่อล้วนพาคนขับรถมาแล้ว ยังคงให้คนขับรถขับเถอะ ที่ไหนจะมีหลักกฎเกณฑ์ที่คนขับรถนั่งรถไม่ขับรถล่ะ?”
คำพูดนี้ถือว่าหาที่ลงให้กับพานปู้ถิง และเขาก็ขับไม่ได้จริงๆ สุดท้ายได้เพียงแต่ไม่สมัครใจลงจากรถ
ไป๋ยี่เฟยนี่จึงนั่งเข้าไปที่นั่งคนขับอีก ขับรถไปยังโรงแรม
เพราะว่าเสียงของรถบรรทุกค่อนข้างดัง ไป๋ยี่เฟยกับหลิวเสี่ยวอิงก็เลยพูดคุยกันเสียงเบาๆ
“วันนี้ตั้งใจเชิญเชฟให้กับคุณ ให้เขาบริการพวกคุณให้ดีๆ”
“เชิญใครหรือ?”
“ก็เชฟของตระกูลเย่คนนั้น ถูกผมงัดมาแล้ว หลังจากเย่ฮวนรู้แล้วก็ยังชี้ด่าผมเป็นชุดล่ะ”
“ฮ่าฮ่า……งั้นที่คุณทำอร่อยกว่า? หรือว่าที่เขาทำอร่อยกว่าล่ะ?”
“นั่นย่อมเป็นผมอยู่แล้ว”
“ล้วนไม่ถ่อมตัวสักนิด!”
อู๋หยุนกับพานปู้ถิงที่นั่งอยู่แถวข้างหลังเห็นหลิวเสี่ยวอิงกับคนขับรถพูดคุยอย่างสนิทสนม สีหน้าล้วนไม่ดี
หลังจากถึงโรงแรมคนทั้งหลายลงจากรถ
แต่ก่อนอยู่หลันเต่ายังมีโรงแรมอยู่ แต่โรงแรมแต่ก่อนมีเพียงตระกูลที่มีทั้งเงินและอิทธิพล จึงใช้จ่ายไหว
แต่ผ่านการปรับแก้ใหม่ในวันนี้ ประชาชนทั่วไปที่อยู่หลันเต่าก็สามารถใช้จ่ายได้โดยเฉลี่ยเดือนละครั้ง
ดังนั้นคนในโรงแรมก็ยังเยอะมาก
ตอนที่พวกเขาเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ พานปู้ถิงขวางไป๋ยี่เฟยไว้ทันที เสียงเย็นชาดุด่าว่า “คุณเป็นแค่คนขับรถคนหนึ่งตามมาด้วยทำไมล่ะ?”
อู๋หยุนเห็นแล้วก็พูดตามด้วยว่า “ก็ใช่สิ คุณเป็นคนขับรถคนหนึ่งรู้จักกาลเทศะหรือไม่?”
จากนั้นก็หันหน้าพูดกับหลิวเสี่ยวอิงอีกว่า “เสี่ยวอิงเอย นี่แกหาคนขับรถมาจากไหนล่ะ? ทำไมล้วนไม่รู้จักกาลเทศะสักนิด?”
หลิวเสี่ยวอิงทนดูไม่ไหวที่ไป๋ยี่เฟยถูกพวกเขาว่าเป็นคนขับรถเสมอๆ ก็เลยเดินเข้าไปโดยตรง จับมือของไป๋ยี่เฟยไว้พูดว่า “แม่ ฉันยังคงแนะนำให้ท่านเป็นทางการสักหน่อยเถอะ”
ไป๋ยี่เฟยกลับปล่อยมือของหลิวเสี่ยวอิงออกทันที ยิ้มพูดกับอู๋หยุนว่า “ควรแนะนำโรงแรมที่ดีที่สุดในเมืองกวงหมิงให้กับน้าดีๆแล้วสักหน่อย อาหารของที่นี่ล้วนดีมาก พวกคุณสามารถลองชิมให้ดีๆสักหน่อย”
หลิวเสี่ยวอิงตื่นตะลึงอย่างมากจ้องมองไป๋ยี่เฟย
และการกระทำเล็กน้อยของพวกเขาก็ถูกอู๋หยุนมองเห็นเช่นกันแล้ว โดยจิตใต้สำนึกอู๋หยุนขมวดคิ้วขึ้นมา ในเวลาเดียวกันก็มีการคาดเดาที่ไม่ดีอย่างหนึ่งเช่นกัน
หลังจากอู๋หยุนกับพานปู้ถิงขึ้นข้างบน หลิวเสี่ยวอิงจึงซุกเข้าไปข้างกายไป๋ยี่เฟย ถามเสียงเบาๆว่า “คุณทำไมไม่บอกกับแม่ฉันล่ะ?”
ไป๋ยี่เฟยก็พูดเสียงเบาๆว่า “กินข้าวก่อนเถอะ ไม่งั้นอีกสักครู่ แม้แต่ข้าวมื้อหนึ่งล้วนกินไม่ลงแล้ว”
หลิวเสี่ยวอิงเหลือบมองไป๋ยี่เฟยหนึ่งที ในเวลาเดียวกันก็รู้ว่านี่ไม่ใช่โอกาสที่ดีที่จะพูดออกมาจริงๆ ก็เลยพูดกับไป๋ยี่เฟยอีกว่า “ได้แต่ทำให้คุณได้รับความไม่เป็นธรรมไปก่อน”
“ไม่ได้รับความไม่เป็นธรรม สิ่งที่ผมกลัวคือคุณได้รับความไม่เป็นธรรม” ไป๋ยี่เฟยอมยิ้มหนึ่งที ส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก
กลับอยู่ในเวลานี้ หลังจากเดินไปหลายก้าว อู๋หยุนเห็นหลิวเสี่ยวอิง ไม่ได้ตามมา ก็เลยหันหน้าไปร้องตะโกนคำหนึ่ง “ทำอะไรกันล่ะ? ยังไม่เข้ามาหรือ?”
……
จ้องมองพวกเขาทั้งสามคนขึ้นไปข้างบนแล้ว ไป๋ยี่เฟยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจหนึ่งที
เมื่อกี้พูดว่าเพื่อจะดูแลอารมณ์ของอู๋หยุน จึงไม่บอกกับพวกเขาถึงความสัมพันธ์ของเขากับหลิวเสี่ยวอิง แต่ตามความจริงล่ะ?
นี่เพียงแค่สาเหตุส่วนหนึ่ง ยิ่งมากกว่านี้คือเพราะว่าไป๋ยี่เฟยไม่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เขามีภรรยากับลูกแล้ว ค่อยบอกกับแม่ของหลิวเสี่ยวอิงว่าเขาจะอยู่ด้วยกันกับหลิวเสี่ยวอิง เกรงว่าจะไม่มีคนรับได้ล่ะ
และในเวลานี้ไป๋ยี่เฟยจึงได้เข้าใจถึงคำพูดหลี่เฉียงตงจริงๆเช่นกัน การแต่งงานเป็นเรื่องของทั้งสองครอบครัวจริงๆ ตอนนี้กลายเป็นทั้งสามครอบครัวแล้ว
……
หลังจากไปถึงห้องพิเศษที่โออ่าหรูหราข้างบน อู๋หยุนก็ว่าหลิวเสี่ยวอิงมาโดยตลอด “ที่นี่คืออยู่ในประเทศนะ อย่าเหมือนอยู่ต่างประเทศดึงกันไปดึงกันมาสะเปะสะปะอย่างนั้น”
“ยังมีอีก ตอนนี้แกเป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลนะ ต้องระวังภาพพจน์ของตัวเองในทุกเวลาทุกสถานที่”
“อยู่ต่อหน้าลูกน้องเหล่านั้นของแก ก็วางฟอร์มออกมาให้ฉันหน่อย อย่าเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากอย่างนั้น ไม่มีความสง่าน่าเกรงขามสักนิด”
หลิวเสี่ยวอิงก้มหัวอยู่ไม่ได้ตอบกลับ
พานปู้ถิงที่อยู่ข้างๆยิ้มพูดว่า “คุณน้า จากนี้ได้เห็นว่า นิสัยของเสี่ยวอิงดีมาก ก็ไม่วางฟอร์มใส่ลูกน้องเช่นกัน นี่จึงชนะใจคนไม่ใช่หรือ?”
อู๋หยุนโมโห ฮึ เสียงหนึ่งพูดว่า “คุณล่ะ ก็คือเห็นเสี่ยวอิงไม่มีข้อเสีย ใช้คำพูดนั้นอธิบายได้ เรียกว่าอะไรนะ ความรักทำให้โลกกลายเป็นสีชมพู”
พานปู้ถิงอมยิ้มหนึ่งที ถือว่ายอมรับโดยปริยาย
หลิวเสี่ยวอิงกลับหงุดหงิดเต็มใบหน้า
ผ่านไปสักพัก พนักงานบริการส่งอาหารดีๆที่เอร็ดอร่อยมาเต็มโต๊ะ อู๋หยุนกับพานปู้ถิงเห็นแล้วใบหน้าล้วนแฝงไว้ทั้งตื่นตกใจและดีใจ
หลิวเสี่ยวอิงกลัวอู๋หยุนจะจู้ๆจี้ๆอีก ก็เลยรีบพูดว่า “แม่ รีบกินเถอะ”
อู๋หยุนถูกอาหารเหล่านี้ดึงดูดแล้วจริงๆก็เลยหยิบตะเกียบขึ้นมาลงมือกินเลย ยังชมเชยบอกว่า “รสชาตินี้ไม่เลว ปู้ถิงคุณก็รีบมาชิมเช่นกัน”
หลิวเสี่ยวอิงเห็นแม่เธอมีความสุขขนาดนั้น ในใจมีความดีใจเล็กน้อย ทั้งในเวลาเดียวกันคิดอยู่ว่า ถ้าหากพวกเขากินอาหารที่ไป๋ยี่เฟยทำแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีสีหน้ายังไงล่ะ?
พอดีอยู่ในเวลานี้ ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดสูทเดินเข้ามาแล้ว เขามาถึงข้างหน้าหลิวเสี่ยวอิง โค้งตัวยิ้มพูดว่า “ผู้อำนวยการหลิวสวัสดีครับ ผมเป็นผู้จัดการของโรงแรม ผมแซ่หวัง”
“เมนูอาหารในวันนี้ท่านดูสิว่าท่านยังพอใจไหม?”
หลิวเสี่ยวอิงยิ้มพยักหน้าต่อๆกันพูดว่า “พอใจ”
ผู้จัดการหวังก็ยิ้มแล้วยิ้มอีกตามไปด้วย “ผู้อำนวยการหลิวพอใจก็พอ พอใจก็พอ”
“ผู้จัดการหวังลำบากแล้ว” หลิวเสี่ยวอิงพูดอีก
ผู้จัดการหวังรีบโบกมืออย่างแท้จริงพูดว่า “ที่ไหน ที่ไหนล่ะ? ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราสมควรทำ ถ้าหากไม่มีลูกพี่ไป๋อยู่ พวกเราจะทำการค้าขายดีขนาดนี้ได้ยังไงล่ะ”
ผู้จัดการหวังไม่รู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงของไป๋ยี่เฟยกับหลิวเสี่ยวอิง แต่เขาก็รู้ว่าหลิวเสี่ยวอิงเป็นคนข้างกายของไป๋ยี่เฟย ดังนั้นเขาไม่กล้าเฉยชา
อู๋หยุนได้ยินคำนี้กลับวางตะเกียบลง มีความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อยถามว่า “อะไรสมควรหรือ? ผู้จัดการหวัง อาหารของโรงแรมพวกคุณทำดีขนาดนี้ การค้าขายดีไม่ใช่เป็นปกติหรือ? เกี่ยวข้องอะไรกับลูกพี่คนนั้นหรือ?”
ผู้จัดการหวังได้ยินคำนี้ รีบพูดว่า “พี่สาวคำพูดนี้ของท่านพูดผิดแล้วนะ นอกจากโรงแรมแห่งนี้ของผม ยังรวมกับการค้าขายทั้งหมดในเมืองกวงหมิงเรา ยังมีการใช้ชีวิตอันปกติของประชาชน ล้วนโชคดีที่มีลูกพี่ไป๋ ถ้าไม่ใช่เขาพวกเราจะไม่มีชีวิตที่ดีขนาดนี้ล่ะ”
อู๋หยุนได้ยินคำพูดนี้มีความไม่เชื่อเล็กน้อย “เก่งขนาดนี้จริงๆ สิ่งที่พวกคุณพูดทำไมเหมือนดั่งผู้ช่วยโลกล่ะ?”
“นั่นก็ไม่ผิด!” ผู้จัดการหวังพยักหน้าทันที “ลูกพี่ไป๋ช่างเป็นผู้ช่วยโลกจริงๆ”
พานปู้ถิงเห็นอู๋หยุนดูเหมือนมีความสนใจเล็กน้อย ก็เลยกวักมือแล้วกวักมืออีกพูดกับผู้จัดการหวังว่า “ผู้จัดการหวัง ถ้าไม่งั้นท่านก็นั่งลงค่อยๆเล่าให้พวกเราฟังล่ะ?”
ผู้จัดการหวังจ้องมองหลิวเสี่ยวอิงก่อนหนึ่งที จากนั้นพูดอย่างลำบากใจว่า “นี่ผมไม่กล้านะ”
หลิวเสี่ยวอิงเห็นสภาพ อมยิ้มหนึ่งทีพูดว่า “นั่งเถอะ ไม่เป็นไร”
ผู้จัดการหวังพอได้ยินคำพูดนี้ ทันใดนั้นตื่นเต้นขึ้นมา ก็เหมือนดั่งเขาได้รับอนุญาตจากตัวไป๋ยี่เฟยเอง
ดังนั้นผู้จัดการหวังนั่งลงตามไปด้วย จากนั้นถามอย่างจริงจังมากว่า “พี่สาว เห็นลักษณะท่าทีของท่าน เป็นครั้งแรกที่มาหลันเต่าหรือ?”
อู๋หยุนพยักหน้าต่อๆกัน “ใช่เป็นครั้งแรก เป็นยังไงหรือ?”