ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - บทที่ 1060 คืนวันนั้น
และคนทำลายค่ายกลกระบี่ที่ทำให้อาหยางตกใจ ไม่ใช่ใครอื่น ก็คือซาเฟยหยาง
หลังจากที่เห็นซาเฟยหยาง ยอดฝีมือระดับหนึ่งคนหนึ่งก็พุ่งมาทางเขาภายในชั่วพริบตา
แต่ทว่าเขายังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็ถูกอะไรสักอย่างทำให้สะดุดเล็กน้อย กระโจนตกลงสู่พื้นในทันที
ในขณะเดียวกัน หลังจากที่คนหนึ่งมุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็วจากที่ไกลๆ คนหนึ่งกระโดดทะยานขึ้นไปนั้น เข่าหนึ่งข้างชนไปบนหน้าอกของยอดฝีมือคนหนึ่งในนั้น ยอดฝีมือระดับหนึ่งคนนั้นก็กระเด็นออกไปภายในชั่วพริบตา
และคนๆนี้ก็คือฉินหัว
หวังสือชิ่งเห็นฉากนี้ สีหน้าหนักอึ้ง “ที่เป่ยไห่คิดไม่ถึงว่ายังจะมียอดฝีมือเช่นนี้? พวกเขาเป็นใคร?”
เพิ่งจะพูดประโยคนี้จบ ก็มีอีกคนกระโดดออกมา คนๆนั้นมาถึงด้านหน้าของยอดฝีมือระดับหนึ่งคนหนึ่งภายในชั่วพริบตา ออกเท้าติดต่อกัน ยอดฝีมือระดับหนึ่งถูกถีบกระเด็นออกไป
หลังจากที่หวังเจียจุ้นเห็นก็ช็อกจนดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลง “นี่ใครกันอีก?”
นี่คือเฉินอ้าวเจียว
“อ๊าก!”
เสียงร้องอย่างทุกข์ทรมานเสียงหนึ่งดึงความสนใจจากหวังเจียจุ้นและอีกสองสามคนที่กำลังตกใจ
พวกเขาเห็นศีรษะของยอดฝีมือระดับหนึ่งคนหนึ่งถูกคนอีกคนคว้าเอาไว้พอดี หลังจากเสียงร้องอย่างทุกข์ทรมาน ศีรษะของคนๆนั้นก็เหมือนป๊อปคอร์นก็ไม่ปานระเบิดแยกออกจากกัน
คนที่ลงมือคือหลี่เฉียงตง
หวังเจียจุ้นทั้งคนต่างก็งุนงงไปหมด “ทำไมพวกมันถึงได้มียอดฝีมือมากมายขนาดนี้?”
“อ๊าก!”
เสียงร้องอย่างทุกข์ทรมานดังสะท้อนมาอย่างไม่ขาดสาย
คือบอดี้การ์ดทั้งหลายที่ระดับสองลงมาเหล่านั้นของตระกูลหวัง พวกเขาก็ถูกคนโจมตีแล้วเช่นเดียวกัน
และคนที่โจมตีพวกเขาก็คือคนชุดดำที่สวมเครื่องแบบสีดำกลุ่มหนึ่ง พวกเขาพุ่งเข้าสู่กลุ่มคนด้วยความรวดเร็ว เริ่มสังหารขึ้นมาภายใต้การนำของสวีลั่งและไป๋หู่
สถานการณ์ในตอนนั้นหมุนเปลี่ยนกลับมาภายในชั่วพริบตา
ในเวลานี้ ชายวัยกลางคนๆหนึ่งที่อยู่ข้างกายของหวังสือชิ่งก็เอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน “คน…คนเหล่านี้เป็นคนของไป๋ยี่เฟยทั้งหมด!”
“คนของไป๋ยี่เฟย?” หวังสือชิ่งหยุดชะงักไปชั่วขณะ
ชายวัยกลางคนพยักหน้าพร้อมกับเอ่ย “ใช่ครับ คนที่ทำลายค่ายคนนั้น ท่านก็คงจะเคยได้ยินอย่างแน่นอน เขาคือซาเฟยหยาง”
“นายซาเมื่อยี่สิบปีก่อน?”
“คือเขา”
“ยังมีคนที่สวมชุดขาวคนนั้น เขาชื่อว่าหลี่เฉียง เป็นพ่อตาของไป๋ยี่เฟย ระดับที่หนึ่งชั้นกลาง”
“คนชุดดำคนนั้น ชื่อเฉินอ้าวเจียว เพิ่งจะเข้าสู่ระดับหนึ่ง แต่พลกำลังของเขาแข็งแกร่ง ภายในระดับเดียวกันไม่มีใครเป็นผู้ต่อกร!”
“ผู้ชายคนนั้นที่กระแทกเข่าเมื่อสักครู่นี้ชื่อว่าฉินหัว ก็เป็นระดับหนึ่งชั้นต่ำ แต่พลังที่แท้จริงของเขาไม่อาจคาดเดาได้ เขาไม่ได้ใช้วิชาเสริมพลังอ้านจิ้ง ก็ยังคงมีพลกำลังที่แข็งแกร่ง”
“ยังมีอีกสองคน คนหนึ่งคือสวีลั่ง เป็นมือสังหารอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ตอนนี้คือระดับสองชั้นกลาง อีกคนคือไป๋หู่ ระดับสองชั้นกลาง”
“สำหรับคนชุดดำเหล่านั้น เป็นองค์กรหนึ่งของไป๋ยี่เฟย ชื่อเรียกว่าขวางซา พวกเขาดูเหมือนล้วนเป็นยอดฝีมือระดับสามระดับสี่ แม้ว่าพลังไม่สูง พวกเขาให้ความร่วมมือกันอย่างรู้ใจกัน ก็มากพอที่จะต่อต้านยอดฝีมือระดับสามได้”
หวังเจียจุ้นก็ได้ยินเช่นเดียวกัน แต่เขายังคงประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ไป๋ยี่เฟยไม่ใช่…ตายแล้วหรอ? มันตายแล้วทำไมคนเหล่านี้ยังรวมตัวด้วยกันอีก? ไม่ใช่ว่าควรแยกย้ายกันไปหรอ?”
หวังสือชิ่งเพียงแต่พยักหน้าพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “ไป๋ยี่เฟยคนๆนี้ดูถูกไม่ได้จริงๆ!”
และหลงหลิงหลิงที่ยืนดูอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด หลังจากที่เห็นคนที่คุ้นเคยรอบดวงตาก็แดงระเรื่อขึ้นมาในทันที
ทุกคนที่ปรากฏตัวออกมาเธอต่างก็คุ้นเคยเป็นอย่างมาก ทุกๆคนล้วนทำให้เธอคิดถึงไป๋ยี่เฟยขึ้นมา
ความรู้สึกที่คนเหล่านี้มอบให้กับเธอเหมือนกับเธอถูกรังแกอยู่ด้านนอก พวกเขาเหมือนกับครอบครัวออกมาสนับสนุนเธอ
…
คนทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้
แม้ว่าค่ายกลกระบี่จะถูกทำลายแล้ว ทว่าพวกไป๋หยุนเผิงก็ไม่ได้ออกไปจากตรงนั้น ไม่เพียงแต่เป็นเพราะว่าพลกำลังของพวกเขาในตอนนี้สามารถเทียบได้กับตระกูลหวัง ยิ่งเป็นเพราะว่ายอดฝีมือจากสี่ตระกูลใหญ่ก็กำลังตามมาอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งไปกว่านั้น หุ้นของเฟิงหั่วกรุ๊ปที่อยู่ในมือพวกเขาก็มากกว่าตระกูลหวัง ไม่ว่ายังไง ตอนนี้พวกเขาก็กดอยู่ด้านบนตระกูลหวัง
และตอนนี้ ยอดฝีมือระดับหนึ่งสิบกว่าคนของตระกูลหวังได้ตายไปหกคนแล้ว ที่เหลือทำได้เพียงคุ้มกันตัวเอง ในขณะเดียวกันยอดฝีมือระดับสองระดับสามลงไปก็บาดเจ็บล้มตายกันนับไม่ถ้วน
ไป๋หยุนเผิงมองดูหวังสือชิ่งเอ่ยหัวเราะออกมาอย่างประชดประชัน “ไอ้คนระยำต่ำช้า!”
“ข่มขู่พ่อแม่ของหลงหลิงหลิง บีบบังคับให้หลงหลิงหลิงโอนหุ้นให้กับแก ทั้งยังจัดวางยอดฝีมือมากมายขนาดนี้ ทำการเตรียมพร้อมสองมือ มิน่าไม่ร้อนรนเลยแม้แต่น้อย”
“แต่ตอนนี้ ต่างก็ไม่มีประโยชน์แล้ว พวกแกยังมีไม้สุดท้ายที่ยังไม่ได้ใช้อะไร ใช้ออกมาให้หมดเลยสิ!”
คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในงานต่างก็เป็นนักธุรกิจธรรมดาทั่วไป ไม่เคยเห็นฉากที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลยแม้แต่น้อย ถูกทำให้ตกใจจนหดอยู่ในมุมไปตั้งนานแล้ว เสียงในลำคอก็ยังไม่กล้าส่งออกมาแม้แต่นิดเดียว
และพ่อแม่ของหลงหลิงหลิงก็ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัว พ่อของหลงหลิงหลิงคิดไม่ถึงว่ายังจะประชิดเข้าไปที่ข้างกายของหวังสือชิ่งพร้อมกับเอ่ยถาม “ชิงแก นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หวังสือชิ่งยังไม่ทันเอ่ยปาก หวังโหลวก็ขึ้นมาก้าวหนึ่ง ชี้ไปที่พ่อของหลงหลิงหลิงพร้อมกับเอ่ย “ชิงแกบ้าอะไร!มาถึงตอนนี้แล้ว แกยังไม่เข้าใจว่าสถานการณ์เป็นยังไงอีกหรอ?”
“ลูกสาวของแกไม่ได้เต็มใจที่จะแต่งงานกับหวังเจียจุ้นเลยแม้แต่น้อย!”
“เธอทำทั้งหมดก็เพื่อพวกแก ตระกูลหวังใช้ชีวิตพวกแกบีบบังคับเธอ ไม่เช่นนั้นเธอจะแต่งงานกับคนที่เธอเองไม่ได้ชอบเลยแม้แต่น้อยได้ยังไงกัน?”
แต่ทว่าพ่อของหลงหลิงหลิงกลับใบหน้ามืดหม่นลงทันที จากนั้นตะคอกเสียงดังว่า “แกสิที่พูดอะไรบ้าๆ!ชิงแกไม่เคยควบคุมพวกเรามาก่อน!”
“เขาเพียงแต่เห็นพวกเราสถานะไม่ดี เอาพวกเราไปอยู่ในบ้านที่ใหญ่กว่าก็เท่านั้น ยังมีคนดูแลพวกเราตลอดเวลาอีกด้วย”
“พวกแกไม่รู้ความจริง ก็อย่าพูดมั่ว อีกทั้ง หลิงหลิงกับเจียจุ้นเห็นได้ชัดว่ามีความจริงใจที่จะอยู่ด้วยกัน!”
“หลิงหลิง ลูกว่าใช่หรือไม่?”
หลงหลิงหลิงใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่นและผิดหวัง
และยังไม่รอให้เธอได้เอ่ยปาก พ่อของหลงหลิงหลิงก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้น หลิงหลิงได้เป็นคนของคุณชายหวังแล้ว พูดมากมายขนาดนั้นจะยังมีประโยชน์อะไรอีก?”
“เห็นพวกแกก็คือยากแค้นจนกลายเป็นโรคประสาท ถึงได้กล้ามาก่อความวุ่นวายที่นี่!”
“พ่อ!อย่าพูดมั่ว!” หลงหลิงหลิงตกใจจนตะโกนออกมาในทันที
พ่อของหลงหลิงหลิงไม่ค่อยได้เห็นโลกเท่าไร ไม่รู้จักคนเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย นึกแค่ว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงแค่คนธรรมดา เทียบไม่ได้กับตระกูลหวังตระกูลร่ำรวยแบบนี้
“ฉันพูดมั่วยังไง?” พ่อของหลิงหลิงโต้กลับอย่างไม่ยอม “หรือว่าแกไม่เคยขึ้นเตียงกับเจียจุ้นหรอ?”
“ซ่า!”
ในงานเกิดความโกลาหลขึ้น คนเหล่านั้นที่หดอยู่ในมุมเริ่มซุบซิบนินทากัน
ก็แม้แต่หวังโหลวและคนอื่นๆก็ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
หลังจากที่หวังเจียจุ้นได้ยิน ก็ยิ้มอย่างหน้าตาชั่วร้าย “ใช่น่ะสิ คืนนั้นผมกับหลิงหลิง…”
หลงหลิงหลิงถูกพูดออกมาต่อหน้าทุกคน คนๆนั้นก็ยังเป็นพ่อของเธอเอง อับอายจนแทบอยากจะโขกหัวให้ตายในทันที
หลงหลิงหลิงสิ้นหวังโดยสมบูรณ์แบบแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เธอเลยเอ่ยเสียงสูงขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “คืนนั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย!”
“คำพูดของประธานหวางเป็นความจริงทั้งหมด คือตระกูลหวังที่ใช้ชีวิตของพ่อแม่มาข่มขู่ฉัน ฉันถึงต้องจำใจตอบตกลง”
“ประธานหวาง?” พ่อแม่ของหลงหลิงหลิงตกใจในชั่วขณะ มองไปทางหวังโหลว
และหวังเจียจุ้นสีหน้าเปลี่ยนในทันที จ้องหลงหลิงหลิงพร้อมกับเอ่ย “เธอแม่งกำลังพูดอะไรอยู่?”
“เพี้ยะ!”
หวังเจียจุ้นตบไปที่ใบหน้าของหลงหลิงหลิง หลงหลิงหลิงรับแรงเอาไว้ไม่อยู่ ล้มตรงไปกองกับพื้น
พ่อแม่ของหลงหลิงหลิงดูเหมือนอยากจะไปพยุงลูกสาวขึ้นมา แต่ท่าทีของพวกเขาลังเลมาก ยิ่งถึงขั้นคิดไม่ถึงว่าจะยืนนิ่งไม่ได้ขยับต่อไปอีก
หวังเจียจุ้นชี้หลงหลิงหลิงตะคอกด้วยความโมโห “เธอแม่งเป็นผู้หญิงของฉัน คิดไม่ถึงว่ายังจะช่วยคนนอกพูด!”
“คืนนั้นทั้งๆที่พวกเรา…”
“ทั้งๆที่อะไร? ก็แค่สิ่งที่คุณคิดไปเองก็เท่านั้น!”
ทันใดนั้น เสียงอีกเสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามา และคนๆนี้ก็คือหวังซือซือ
หวังเจียจุ้นชะงักไปชั่วขณะ “แกหมายความว่ายังไง?”
หวังซือซือหัวเราะออกมาอย่างประชดประชัน จากนั้นหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าใบเล็กของตนเอง “นี่คือยาชนิดหนึ่งที่สามารถทำให้คนเกิดภาพลวงตา”
“คืนวันนั้นคงจะเกิดเรื่องมากมายขึ้นสินะ?”
“อุบัติเหตุไฟไหม้ก่อน จากนั้นแผ่นดินไหว แล้วจากนั้นมีคนขโมยของ? ยังมีก็คือ คุณฝัน นึกว่าตัวเองมีช่วงเวลาที่หอมหวานผ่านค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นวันที่สองหลังจากที่ตื่นขึ้นมา คนทั้งคนต่างก็มีความรู้สึกเบลอเล็กน้อย”
“ก็แม้แต่ตอนนี้ คุณดูเหมือนคงจะคิดถึงขั้นตอนในคืนวันนั้นไม่ออกกระมัง?”