ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 141 คุณคู่ควรเหรอ?
บทที่ 141 คุณคู่ควรเหรอ?
“ผู้อาวุโสใกญ่ ไม่ทราบยังต้องการให้กระผมทำอันใดอีกหรือไม่?” หนิงจองเป่าเห็นหลินอิ่งไม่พูดจา ก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา
พอที่จะรู้ว่า ตอนที่นิ่งชวนพูดถึงฐานะของหลินอิ่งเป็นผู้อาวุโสออกมา หนิงจองเป่าก็ใจหาย รีบโทรไปสอบถามกู่ชางไห่ ต้องไปพิสูจน์หลักฐานคุณท่านนิ่งไท่จี๋ที่ไหน สุดท้ายที่ได้ข่าวมาก็เป็นเช่นนี้จริงๆ
ขณะเดียวกันใจก็หล่นไปที่ตาตุ่ม ทำเรื่องงี่เง่าอะไรลงไป ที่ไปช่วยหวางเฉิงเต้าหมาแก่ที่ไม่รักตัวกลัวตายพรรค์นั้น ไปเล่นงานผู้อาวุโส?
ฉะนั้น หนิงจองเป่าจึงกระวีกระวาดไปหานิ่งชวนถามเบอร์ติดต่อของหลินอิ่งด้วยความสุภาพ ประจบสอพลอไม่หยุด ยิ่งกว่านั้นก็ไปข่มขู่คุกคามหวางเฉิงเต้า
“นิ่งชวนถูกเอาตัวไปอยู่ไหน?” หลินอิ่งถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
นิ่งชวนทำงานให้เขาด้วยความจงรักภักดี จะให้เขาต้องถูกกดขี่ไม่ได้
“ท่านผู้อาวุโสวางใจได้ ทางนิ่งชวน ผมจะจัดแจงเขาอย่างดี! ตอนนี้นิ่งชวนอยู่ที่ตี้จิง ผมให้เขาเป็นประธานกรรมการภายใต้บริษัทในเครือตระกูลนิ่ง ไม่ด้อยไปกว่ากิจการของตุงไห่แน่” นิ่งจงเป่าพูดด้วยความเคารพ ปาดเหงื่อที่ศีรษะ
คิดในใจว่า เจ้านิ่งชวนนี่มันร้ายกาจจริงๆ รู้ฐานะของผู้อาวุโสแล้วไม่ยอมรายงาน นึกไม่ถึงว่าจะปิดบัง เอาความชอบกับผู้อาวุโส
ทำแบบนี้ กลับตำหนิอีกฝ่าย ที่ทำให้ตัวเองขี่หลังเสือตระกูลนิ่งลงไม่ได้
ว่าแต่ กำลังของนิ่งชวนก็มีแค่นั้น ตราบใดที่ทำผลงานได้ดี ก็ย่อมได้รับการยอมรับและชื่นชมจากอาวุโสท่านนี้
ในฐานะที่เป็นผู้นำรุ่นที่2ของตระกูลนิ่งแห่งเมืองตี้จิง นิ่งจองเป่าจึงรู้ว่าผู้อาวุโสเป็นตัวแทนของอะไร มีที่มาอย่างไร
เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตระกูลนิ่งแห่งเมืองตี้จิงเกือบต้องสิ้นทั้งตระกูล ตอนนั้นเพราะนายท่านนิ่งไท่จี๋ได้เชิญผู้อาวุโสท่านก่อน เพียงผู้เดียวก็สามารถกู้สถานการณ์ ดึงตระกูลนิ่งให้พ้นจากขีดความตาย นับตั้งแต่นั้น ผู้อาวุโสท่านก่อนก็หายสาบสูญ แต่คุณท่านกลับตั้งคำสั่งสอนบรรพชนไว้ในตระกูล หากผู้สืบทอดของผู้อาวุโสท่านก่อนมาตระกูลนิ่ง ต้องต้อนรับนับถือให้เหมือนบรรพชนของตัวเอง!
“ฉันไม่อยากให้นิ่งชวนมาบอกฉันว่า เขามีปัญหาอะไร” หลินอิ่งพูดด้วยความเย็นชา
สำหรับนิ่งจองเป่าคนนี้ ไม่มีอะไรให้น่าประทับใจเลย
ไม่ว่านิ่งจองเป่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม จะรู้เรื่องหรือว่าไม่รู้เรื่อง พฤติกรรมของเขาล้วนมีส่วนเป็นเหตุให้ฉีโม่ถูกตระกูลหวางลักพาตัว
ถ้ากล้ากดขี่นิ่งชวนที่ทำงานให้เขา เช่นนั้นก็ต้องปราบเขาแล้ว
“ครับ ครับ ผู้อาวุโส วางใจได้ ทางนิ่งชวนผมจะดูแลอย่างดี อย่างไรเขาก็เป็นหลานชายแท้ๆ” นิ่งจองเป่าพูดพลางปาดเหงื่อ
“คืออย่างนี้ครับ ผู้อาวุโส ต่อไปถ้าคุณมีอะไร ก็โทรหาผมโดยตรงก็ได้” นิ่งจองเป่าพูดด้วยความนอบน้อม “นอกจากนี้ คุณท่านอยากเชิญผู้อาวุโสรำลึกความหลัง ถ้ามีโอกาส คุณท่านยินดีไปเมืองตุงไห่พบท่านด้วยตัวเอง”
หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรมาก
เคยพบนิ่งไท่จี๋ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยเด็ก คุณท่านตระกูลนิ่งผู้นี้ก็มีฐานะสูงส่งในประเทศหลุง เทียบกับฉีเวิ่นติ่งคุณปู่ของเขา ก็เป็นข้าราชการรุ่นเดียวกัน เรียกได้ว่าไม่ต้องยอมกัน
เขาก็อายุปูนนี้แล้ว ยังจะมาตุงไห่หาเขาด้วยตัวเองอีก? หรือตระกูลนิ่งมีปัญหาอะไรที่จัดการไม่ได้
“ไปบอกคุณท่านนิ่งของเธอว่า ฉันอยู่ตุงไห่มีเวลาทุกเมื่อ” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
คุณท่านนิ่งไท่จี๋อยู่ไกลโพ้นอยากจะพบเขา เช่นนี้ก็ควรให้เกียรติ คนผู้นี้มีความสนิทสนมกับอาจารย์ในสมัยนั้น
“ครับ! ผมจะเรียนนายท่านตามนี้ ขอบคุณผู้อาวุโสที่ให้เกียรติ เช่นนั้นไม่ขอรบกวนผู้อาวุโสท่านแล้ว” นิ่งจองเป่าพูดด้วยความนอบน้อม
เสียงมือถือดังติ๊ด หลินอิ่งวางสายลง หลับตาผ่อนคลาย
เรื่องของตระกูลนิ่งไม่ง่ายเช่นนี้แน่ เรื่องของเหวินเจียยังไม่ทันคลี่คลาย เรียกว่าคลื่นลูกแรกยังไม่สงบอีกลูกก็ถาโถมมา
ไม่นาน อู่เจิ้งก็ขับรถมาถึงวิลล่าหิมะมังกร เปิดประตูออก หลินอิ่งกับจางฉีโม่เดินกลับเข้าวิลล่า
พอกลับถึงวิลล่า เปิดประตูบ้าน คิ้วของหลินอิ่งขมวดเล็กน้อย มองดูห้องรับแขกที่เละเทะ มีรองเท้าแต่ละแบบเรียงรายอยู่ แล้วยังมีกลิ่นแปลกๆ ส่งผลต่อความหรูหราของที่นี่
โดยเฉพาะ พวกเฟอร์นิเจอร์สไตล์ตะวันตกในห้องรับแขกที่ดูแล้วไม่เข้ากันเลย ขัดตามาก
“ฉีโม่ เฟอร์นิเจอร์พวกนั้นที่ฉันซื้อมาไปไหนแล้ว?” หลินอิ่งถามขึ้นมา
“เธอหมายถึงพวกเฟอนิเจอร์ที่เอามาจากบ้านนอกเหรอ? ฉันทิ้งลงถังขยะไปตั้งนานแล้ว ของกะโหลกกะลา มาอยู่วิลล่าระดับสุพีเรียร์ขนาดนี้กับลูกสาวฉัน ยังจะซื้อเฟอร์นิเจอร์ราคาหลักร้อย”
เวลานี้เอง ก็มีเสียงแหลมทิ่มแทงก็ดังขึ้นมา
ลู่หย่าฮุ่ยแต่งตัวเต็มไปด้วยอัญมณี มองดูหลินอิ่งอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“หลายวันมานี้ไปมั่วสุมที่ไหนมา? เพิ่งกลับมาถึงก็ถามหาเฟอร์นิเจอร์? นึกไม่ถึงว่าจะมีหน้ามาถาม!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยความเย่อหยิ่งว่า “ก็ดี ที่เธอกลับมา ฉันกับพ่อตาของเธอมีเรื่องจะปรึกษาเธอหน่อย”
“อ้อ คุณอา นี่ก็คือเศษสวะหลินอิ่งที่อาพูดถึงเหรอ?” ฉับพลัน เด็กสาววัยรุ่นนุ่งสั้นสีจัดจ้าน มองดูหลินอิ่งด้วยความดูถูก
“จึ๊ๆ น้ำหน้าอย่างคุณก็มีหน้าคบหากับพี่สาวฝ่ายแม่ของฉันเหรอ? พวกคุณสองคนเหมาะสมกันเหรอ? ไม่ดูตัวเองเลย ตั้งแต่หัวจรดเท้า ราคาเกิน500หยวนไหมเนี่ย?” เด็กสาววัยรุ่นส่งเสียงจึ๊ๆ พูดด้วยความประหลาดใจ
สีหน้าจางฉีโม่ดูไม่จืด พูดว่า: “ลู่เวย พูดจาช่วยระวังด้วยได้ไหม เขาเป็นพี่เขยเธอนะ”
“เชอะ พี่คะ ดูเขาสิ คู่ควรกับพี่เหรอ?” ลู่เวยยิ่งพูดจากำเริบเสิบสานใส่
ในเวลานี้เอง ก็มีเด็กหนุ่มแต่งตัวดูล้ำ ใส่ต่างหู หัวสีทองแนวอัลเทอร์เนทีฟ ท่าทางยโสเดินลงบันไดมา โอบหญิงสาวแนวอัลเทอร์เนทีฟไว้ในอ้อมอก สายตาเหยียดหยามมองดูหลินอิ่ง พูดว่า: “โอ้? พี่ครับ นี่ก็คือหลินอิ่งเหรอ? ดูเป็นเศษสวะจริงๆ เดี๋ยวนี้พี่รวยขนาดนี้ ทำไมยังเอาเศษสวะไว้ในบ้าน?”
“ลู่เสี่ยวเจี้ยน หุบปาก!” จางฉีโม่ดุขึ้นมา จากนั้นก็มองหลินอิ่งอย่างกระอักกระอ่วน
เธออธิบายด้วยเสียงเบาๆ ว่า: “หลินอิ่ง นี่เป็นญาติฝ่ายแม่ของฉัน น้องชายฝ่ายแม่กับน้องสาวฝ่ายแม่ ส่วนนั่นเป็นแฟนของน้องชายฝ่ายแม่ฉัน”
“ผมรู้แล้ว” หลินอิ่งมองลู่เวยกับลู่เสี่ยวเจี้ยนอย่างไร้สีหน้า
“เธอรู้อะไร? เธอไม่ดีใจหรือว่าเป็นอะไร? นี่เป็นวิลล่าที่ทางเครือบริษัทจัดให้ลูกสาวฉัน เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย? ฉันอยากเชิญญาติมายังไงก็ได้” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยความเย็นชา แล้วก็มองไปทางจางฉีโม่ “ฉีโม่ ลูกจะไปอธิบายกับเขาให้มากความทำไม? ไม่ได้ไล่เขาออกไปอยู่อีกห้อง ก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว”
“หลินอิ่ง อย่าออกฤทธิ์ ช่วยไว้หน้าฉันด้วย” จางฉีโม่กระซิบข้างหูหลินอิ่ง คว้ามือหลินอิ่งเอาไว้
เธอเคยเห็นหลินอิ่งระเบิดอารมณ์ที่ตระกูลหวางมากับตาแล้ว จางฉีโม่กลัวหลินอิ่งระเบิดอารมณ์ จนอัดพวกลูกพี่ลูกน้องเธอหัวแตกเลือดไหล
หลินอิ่งหัวเราะแล้วพูดว่า: “ไม่หรอกน่า ผมขึ้นข้างบนก่อนนะ ไว้ค่ำเราออกไปกินข้าวกัน ที่คราวนี้ทำให้คุณตกใจ”
จางฉีโม่พยักหน้าอย่างว่าง่าย
พูดเสร็จ หลินอิ่งก็เดินขึ้นไปชั้น3 ไม่มองลู่หย่าฮุ่ยกับญาติพวกนั้นแม้แต่หางตา
ตัวตลกพวกนี้ ไม่คู่ควรให้เขาต้องออกโรง