ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 142 แฟนฉันเจ๋งมาก
บทที่ 142 แฟนฉันเจ๋งมาก
หลินอิ่งเดินขึ้นมาถึงชั้น3 ตรงระเบียงที่ตัวเองตกแต่งอย่างประณีต รูปแบบได้เปลี่ยนไป ภาพพู่กันจีนที่มีชื่อเสียง ทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นภาพสีน้ำมันตะวันตกราคาถูก แม้แต่สไตล์การตกแต่งก็เปลี่ยนไป แล้วก็มองดูถุงพลาสติกใส่ขยะที่อยู่รอบๆ มีกลิ่นแปลกๆ โชยขึ้นมา
ไม่ต้องคิดให้มาก ต้องเป็นลู่หย่าฮุ่ยทำแน่
“คุณชาย กลับมาแล้วเหรอคะ คือ ทั้งหมดนี้แม่ยายของคุณเป็นคนจัดการค่ะ ฉันห้ามก็ห้ามไม่อยู่ พูดอย่างไรก็ไม่ฟัง” หลี่ผูพูดด้วยสีหน้าลนลาน เหงื่อออกหน้าผาก
จนปัญญาจริงๆ มนุษย์ป้านั่นร้ายกาจเหลือเกิน เห็นแก่หน้าคุณชาย เลยลงมือไม่ได้ เถียงก็ไม่ชนะ
“ผมรู้แล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ ลงไปกินข้าวเถอะ” หลินอิ่งพูดด้วยเสียงราบเรียบ ไม่มีแก่ใจจะกลับห้องของตัวเอง
แน่นอน เขาไม่เดือดเพราะเรื่องเล็กแค่นี้แน่ วิลล่าราคาไม่กี่ร้อยล้านเอง ซื้อหลังที่ดีกว่าก็เป็นแค่เรื่องเล็ก พวกเขาชอบทำแล้วทำเล่าก็แล้วแต่พวกเขาอยากจะสนุก
พอถึงห้องรับแขกชั้น2 จางซิ่วเฟิงทำกับข้าวเสร็จนานแล้ว ทุกคนล้อมวงกันกินข้าว
“เอะ? ฉีโม่ นี่ก็คือหลินอิ่งที่ว่าเหรอ?” คนวัยกลางคนหนึ่งมองหลินอิ่งอย่างดูถูก
หลินอิ่งมองคนที่อยู่บนโต๊ะอาหารอย่างไร้อารมณ์ นอกจากครอบครัวของภรรยาจางฉีโม่ แล้วยังมีคนอื่นอีก5-6คน ซึ่งไม่รู้จักเลย น่าจะเป็นญาติทางฝั่งลู่หย่าฮุ่ยทั้งหมด
“จริงสิ ฉีโม่ เมื่อกี๊ฉันได้ยินแฟนฉันคุยโทรศัพท์ว่า เธอถูกจางซื่อกรุปไล่ออกแล้ว ไม่ได้เป็นรองประธานแล้วเหรอ?” อยู่ๆ น้องสาวฝ่ายแม่ของจางฉีโม่ ลู่เวยก็ถามขึ้นมาอย่างยิ้มเยาะ
“อะไร? ลู่เวยเธอไปฟังใครพูดมา อย่าพูดจาเหลวไหล” ลู่หย่าฮุ่ยตกใจยกใหญ่ วางตะเกียบกับชามลง ถามด้วยความสงสัย
ลู่เวยพูดขึ้นอย่างยิ้มเยาะว่า: “คุณอาคะ ยังจะทำเป็นมีหน้ามีตาอยู่อีกเหรอคะ? เรื่องนี้ที่เมืองชิงหยูนใครๆ ก็รู้กันแล้ว แฟนฉันเป็นคนในแวดวงคนดัง รู้ข่าวมานาน อีกไม่นาน ทุกคนก็จะรู้เรื่องนี้กันหมด”
“ฉัน… ทำไมฉันไม่รู้?” ลู่หย่าฮุ่ยมีสีหน้าสงสัย มองไปยังจางฉีโม่ ถามหน้าตาจริงจัง “ลูกสาว เกิดอะไรขึ้น? ทำไมไม่เคยได้ยินลูกพูดถึงเลย?”
“เรื่องนี้……” จางฉีโม่ถอนใจพูดว่า “มีเรื่องนี้จริงค่ะ”
“ถูกไล่ออกแล้วจริงเหรอ? ลูกแม่ เพราะอะไร? ลูกช่วยบริษัทมาตั้งมากขนาดนี้ คิดจะไล่ออกก็ไล่กันเหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยถามอย่างไม่กล้าเชื่อ
“นั่นสิ ลูกพ่อ ลูกไปล่วงเกินใครเข้าเหรอ? ประธานอูหยางถูกใจลูกมากไม่ใช่เหรอ?” จางซิ่งเฟิงก็ถามด้วยความสงสัย
จางฉีโม่อยู่ๆ ไม่รู้จะตอบอย่างไร ไม่รู้สาเหตุจริงๆ พอหวางจื่อเหวินเข้ามาที่สำนักงานใหญ่ ก็กดดันให้เธอออก
“เอะ น้องสาว ไม่เห็นมีอะไรให้น่าถาม ก็เห็นชัดๆ ว่าฉีโม่ไม่เอาไหน ก็เลยถูกไล่ออกไง ความสามารถไม่ดีพอ” ลู่ซีหย่วนพูดอย่างยิ้มเยาะ
สีหน้าลู่หย่าฮุ่ยไม่ค่อยดี มองดูลู่ซีหย่วนพี่ชายของตัวเองกับครอบครัวทั้ง4คน ทั้งหมดท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ในใจคิดว่าถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง คราวนี้ต้องขายหน้าแน่ ก่อนหน้าเธออวดตัวต่อคนพวกนี้ไปยกใหญ่ อวยฉีโม่ลูกสาวตัวเองจนแทบจะลอยขึ้นฟ้า……
“นั่นน่ะสิ หย่าฮุ่ยอ่ะ เธอบอกว่า ตระกูลลู่ของเราเป็นคนซื่อๆ ธรรมดา ทำไมต้องทำให้หรูหราโอ่อ่า? ให้พวกเราย้ายมาอยู่วิลล่าของเธอที่นี่ให้ได้ คราวนี้เป็นไงล่ะ ฉีโม่ถูกเขาไล่ออกแล้ว วิลล่าเป็นของบริษัท ต้องถูกริบคืนแน่” ลู่ซีหย่วนจงใจทำเป็นถอนใจ พูดด้วยท่าทีพิลึกว่า “ให้ตาย ดูสิ นี่จงใจให้พวกเรามาที่นี่เพื่อขายหน้าใช่ไหม?”
ลู่ซีหย่วนยิ้มเยาะในใจ ลู่หย่าฮุ่ยจงใจเชิญญาติมาที่เมืองชิงหยูน ทำท่าทางเหมือนสูงส่ง อวดลูกสาวต่อหน้าตัวเองทุกวัน ไหนจะรถหรูบ้านหลังใหญ่ ไหนจะเครื่องประดับราคาแพง ทำตัวอย่างกับคุณนายไฮโซปานนั้น
ปรากฏว่า ลูกสาวถูกไล่ออกเสียแล้ว วิลล่าก็จะถูกริบคืน ต้องหาโอกาสเย้ยหยันคืนหน่อยแล้ว
“เดี๋ยว ไม่แน่ว่าทางเครือมีอะไรเปลี่ยนแปลงเหรอเปล่า จากความสามารถของฉีโม่ ไม่นานก็ต้องกลับมาเป็นรองประธานได้อีกครั้ง” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้องรู้ว่า ตอนนี้ฉีโม่เป็นผู้มีชื่อเสียงในวงการอัญมณีของเมืองตุงไห่”
“ปัทโธ่ คุณน้าเห็นพวกฉันไม่มีประสบการณ์ทางสังคมเหรอไง? มีชื่อเสียงอะไรกัน ถูกไล่ออกแล้ว ยังจะมีความสามารถอะไรอีก?” ลู่เวยพูดอย่างได้ใจ และยินดีที่ได้เห็นครอบครัวลู่หย่าฮุ่ยตกต่ำ
ลู่ซีหย่วนหัวเราะเหอะๆ : “ฉันถึงได้พูดไว้แต่แรกไง หย่าฮุ่ย ได้ลูกสาวการหาคู่ครองสำคัญที่สุด อย่างอื่นพูดไปก็เท่านั้น! ดูสิ ตอนนี้ฉีโม่ถูกไล่ออกแล้ว ไม่มีหน้าที่การงานนี้แล้ว พวกเธอทั้งครอบครัวหวังพึ่งแต่ฉีโม่ ไร้ซึ่งตำแหน่งรองประธาน ก็อยู่วิลล่าไม่ได้ ต้องกลับไปอยู่สลัมที่เขตเจียงฉือเล็กๆ แล้ว!”
“ฉะนั้นน่ะ ฉันถึงเตือนเธอว่า ตัวเองไม่มีศักยภาพการหาเงินที่มากพอ ก็อย่าพึ่งโอ้อวดกัน” ลู่ซีหย่วนพูดด้วยความดูถูก “ดูนี่สิ เร็วๆ นี้ลูกสาวฉันได้แฟนแสนเก่งมาคนหนึ่ง ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่ต้องกลุ้มแล้ว”
พูดไป ลู่ซีหย่วนก็ชายตาดูหลินอิ่งแวบหนึ่ง มองดูคุณนายลู่หย่าฮุ่ยด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง
“นั่นสิคะ คุณอา แฟนหนุ่มฉันเก่งมากเลยนะคะ!” ลู่เวยพูดด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง ปนความเชื่อมั่น ที่ช่วงนี้ได้เกาะคนมีเงินในเมืองชิงหยูน มีเงินมีอำนาจมีแบ็คอัพ แล้วก็เป็นคนมือเติบ!
“เอ่อ……” สีหน้าของลู่หย่าฮุ่ยดูไม่ได้ มองดูหลินอิ่งด้วยความเกลียดชัง เธอรู้สึกว่า เป็นเพราะหลินอิ่งไม่เอาไหน ไม่เช่นนั้นจากความสามารถของลูกสาว จะตกต่ำจนโดนญาติๆ ประชดได้อย่างไร?
สีหน้าของจางฉีโม่ยิ่งดูไม่ได้ แม่เป็นพวกขี้อวด อยู่ดีไม่ว่าดีก็เรียกญาติๆ มาที่บ้าน วันๆ คุยโวโอ้อวด สุดท้ายทำเอาบรรยากาศในบ้านเต็มไปด้วยความอึมครึม
“ฉีโม่ พวกเราออกไปทานข้าว ช็อปปิ้งกันเถอะ” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แท้จริงคือไม่อยากสนใจเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้
“ได้” จางฉีโม่พยักหน้า ลุกขึ้นยืน ไม่อยากกินข้าวในบรรยากาศแบบนี้
พูดเสร็จ หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็หันตัวเดินออกจากวิลล่าไป
“เอะ รอเดี๋ยวสิ ฉีโม่ ฉันไปกับพวกเธอด้วยสิ” ลู่เวยลุกขึ้นในฉับพลัน เดินตามมาด้วยท่าทางนึกสนุก “พี่คะ แฟนหนุ่มของฉันโทรมาให้ฉันไปเดินช็อปปิ้งพอดี เดี๋ยวฉันจะพาไปแนะนำให้รู้จัก แฟนหนุ่มฉันเก่งมากเลยนะ ความสามารถสูง ตอนนี้พี่ตกงานแล้ว ฉันจะลองถามเขาดู ให้หางานดีๆ ให้พี่สักงานไม่น่าจะมีปัญหา”
“ใช่! ถูกต้อง ลู่เวยอ่ะ ช่วยฝากฝังแฟนหนุ่มของลูก ให้หางานดีๆ ให้ฉีโม่เขาสักงานสิ” ลู่ซีหย่วนพูดอย่างเย้ยหยัน
พูดจบ เขาก็มองมายังคุณนายลู่หย่าฮุ่ย แล้วพูดว่า: “หย่าฮุ่ยอ่ะ ครอบครัวเราเรียบง่าย พอเรามีอำนาจบารมี เห็นว่า พวกเธอลำบากก็รู้จักยื่นมือเข้าช่วย ไม่เหมือนอย่างเธอ วันๆ รู้จักแต่โอ้อวด ข้อนี้ พี่คงต้องว่าเธอบ้างแล้วล่ะ”
การเผชิญหน้าทำเป็นอบรมของลู่ซีหย่วน ทำสีหน้าคุณนายลู่หย่าฮุ่ยดูซีดเผือด
“วางใจเถอะ พ่อ ระดับความสามารถของแฟนฉัน จับพลัดจับผลูหางานให้พี่ฉีโม่ได้สบายๆ อยู่แล้ว” ลู่เวยพูดอย่างเย้ยหยัน