ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 149 กงซุนชิวอวี่มาเมืองตุงไห่
บทที่ 149 กงซุนชิวอวี่มาเมืองตุงไห่
เจียงฉีสีหน้าเย็นชา สำรวจลู่เสี่ยวเจี้ยนด้วยสายตาเย็นชา
“มองอะไร? บอกว่าเป็นแค่พนักงานคนหนึ่งไม่พอใจเหรอ?” ลู่เสี่ยวเจี้ยนพูดอย่างโอหัง “แค่ดูก็รู้เป็นแค่พนักงานในบริษัทแห่งหนึ่งใช่ไหม? เคยได้ยินชื่อลู่หยินไหม? ประธานบริษัทไห่หยางกรุ๊ป เป็นพ่อบุญธรรมฉันเอง”
“พ่อบุญธรรมคุณคือลู่หยิน?” เจียงฉีถามด้วยสีหน้าเย็นชา
ลู่เสี่ยวเจี้ยนท่าทางได้ใจ พูดว่า “เคยได้ยินใช่ไหมพ่อบุญธรรมฉัน? บอกเธอตามตรง วันนี้ฉันมารายงานตัวสัมภาษณ์งาน พ่อบุญธรรมฉันจะให้ฉันเป็นผู้จัดการไห่หยางกรุ๊ปแล้ว แม้แต่ประธานบริษัทเจียงฉีก็เป็นเพื่อนฉัน พนักงานกระจอกอย่างนายก็ทำตัวกับฉันดีหน่อย ในอนาคตฉันอาจจะให้นายเลื่อนขั้นก็ได้ ไม่อย่างนั้น ก็ไล่ออกเลย”
“ออ? คุณรู้จักเจียงฉีด้วย? ทำไมผมไม่รู้” เจียงฉีพูดขึ้นเสียงเรียบ “คุณลองโทรศัพท์ให้เจียงฉีดู”
ลู่เสี่ยวเจี้ยนรู้สึกไม่มั่นใจ จึงโมโหขึ้นมา ถามกลับไปอีกว่า “ฉันรู้จักเจียงฉีเกี่ยวอะไรกับนาย? นายเป็นใคร? ก็เป็นแค่พนักงานชั้นต่ำ คู่ควรรู้ข่าวคราวของคนตำแหน่งสูงเหรอ?”
เวลาเดียวกัน ชายอ้วนในชุดสูทพุงยื่นเดินผ่านมา สีหน้าเข้มงวดมองไปทางลู่เสี่ยวเจี้ยนพ่อลูก พอเห็นเจียงฉี ก็รีบเก็บอาการ และยิ้มทัก
“เห้อ พ่อบุญธรรม มาแล้วเหรอครับ” ลู่เสี่ยวเจี้ยนพอเห็นลู่หยิน ก็เรียกพ่อบุญธรรมทันที สีหน้าประจบ “พ่อบุญธรรม พนักงานไม่รู้เรื่องคนนี้ ยังกล้ามาว่าผมอีก พ่อบุญธรรมต้องช่วยผมสั่งสอนมันหน่อยนะครับ”
เจียงฉีมองไปที่ลู่หยินด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “ลู่หยิน คนนี้ เป็นลูกบุญธรรมคุณ? คุณจะให้เขามาทำงานในบริษัท?”
“หา? ไม่ใช่ ไม่ใช่ ประธานเจียง ผม ผมไม่รู้จักเขา” ลู่หยินตกใจจนใจลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม รีบพูดแก้ต่างขึ้นมา
แม่เอ้ย เขาก็แค่โลภนิดหน่อย จะให้ตำแหน่งเล็กๆกับลู่เสี่ยวเจี้ยน ไอ้เด็กคนนี้ กลับมาโอ้อวดต่อหน้าประธานเจียง?
“เหอะ ลู่หยิน คุณเป็นแค่หัวหน้าคนหนึ่ง กลายเป็นประธานบริษัทตั้งแต่เมื่อไหร่?” เจียงฉียิ้มพูดอย่างเย็นชา
“ผม……ผมไม่ได้ ท่านประธาน” ลู่หยินมองไปที่สีหน้าอันเย็นชาของเจียงฉี ด้วยความเกรงกลัว เพี๊ยะๆ ตบหน้าตัวเองไปหลายที ตบไปก็พูดขอโทษไปด้วย “ประธานเจียง ผมผิดไปแล้ว ผมไม่ควรไปโม้”
ประธานเจียง? ท่านประธาน?
ลู่เสี่ยวเจี้ยนพ่อลูกมองหน้ากัน สีหน้าตกใจ คนคนนี้เป็นมหาเศรษฐีเมืองตงไห่เจียงฉี?
เป็นไปได้ยังไง เขาเป็นเพื่อนของจากฉีโม่ไม่ใช่เหรอ? จางฉีโม่รู้จักคนใหญ่คนโตแบบนี้ได้ยังไง?
“พ่อบุญธรรม ขอโทษเขาทำไม? เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า นายคนนี้เป็นเพื่อนที่ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งแนะนำไม่ใช่เหรอ จะเป็นประธานเจียงฉีได้ยังไง?” ลู่เสี่ยวเจี้ยนถามอย่างไม่เข้าใจ
“อย่ามาเรียกฉันว่าพ่อบุญธรรม ฉันไม่มีลูกอย่างแก” ลู่หยินโมโหขึ้นมา “ประธานเจียง ท่านดูว่าจะจัดการกับสองคนนี้ยังไง?”
“ผมไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องแบบนี้ ยังมีแขกต้องรับรอง คุณจัดการให้เรียบร้อยด้วย” เจียงฉีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็มองไปด้านจางฉีโม่อย่างเคารพ “ประธานจาง เชิญไปที่ห้องทำงานประธานเลยครับ คุยเรื่องรายละเอียดธุรกิจกันหน่อยครับ”
จางฉีโม่พยักหน้าตอบ “ค่ะ”
“หา?”
ลู่ซีหย่วนพ่อลูกตกใจจนตัวสั่น ทีนี้รู้แล้ว เป็นมหาเศรษฐีเมืองตงไห่เจียงฉีจริง
ก่อนหน้านี้โม้ไว้เยอะ คิดไม่ถึงว่าจะเจอตัวจริง
“ประธานเจียง ขอโทษครับ ผมสมควรตาย อย่าเพิ่งไปครับ ยกโทษให้ผมด้วย” ลู่เสี่ยวเจี้ยนตบหน้าตัวเอง รีบวิ่งเข้าไปคุกเข่ากอดขาของเจียงฉีไว้
“ประธานเจียง พวกเราพูดผิดแล้ว ท่านอย่าโกรธเลยนะครับ” ลู่ซีหย่วนก็คุกเข่ากอดขาอีกข้างหนึ่งของเจียงฉีไว้ “ฉีโม่ เธอรู้จักประธานเจียง ช่วยพวกเราพูดหน่อย อย่าให้ท่านประธานโกรธเลย เสี่ยวเจี้ยนจะมาทำงานที่บริษัทนะ”
หมดกันเลยทีนี้ ไปนับพ่อบุญธรรมมาคนหนึ่งก็ไม่เหลือแล้ว แม้แต่ไปทำงานที่ไห่หยางกรุ๊ปก็หมดสิทธิ์แล้ว และอาจจะถูกประธานเจียงแก้แค้นอีก
จางฉีโม่หัวเราะเย็นชา ไม่ได้สนใจ
“พวกคุณทำอะไรกันเนี่ย?” เจียงฉีขมวดคิ้วพูด
“ผมขอร้องให้โอกาสผมสักครั้งนะครับ ประธานเจียง ผมเช็ดรองเท้าให้” ลู่เสี่ยวเจี้ยนพูดด้วยสีหน้าตื่นกลัว เลียรองเท้าขึ้นมาอย่างไร้ยางอาย
“ไป”
เจียงฉียกเท้าสองข้างถีบสองพ่อลูกออก รู้สึกขยะแขยง
“ครับ ประธานเจียง พวกเราไป” ลู่เสี่ยวเจียงสองพ่อลูกกลิ้งบนพื้น สีหน้ายิ้มแย้ม
จางฉีโม่มองภาพตรงหน้า นอกจากความโกรธแล้ว เต็มไปด้วยความรู้สึกขยะแขยง คนแบบนี้ ไร้ยารักษาแล้ว
“ประธานจาง สองคนนี้เป็นญาติของคุณ? คุณว่า ต้องจัดการยังไง?” เจียงฉีถามอย่างมารยาท
“หา?” ลู่เสี่ยวเจี้ยนพ่อลูกสีหน้าไม่อยากเชื่อ มหาเศรษฐีเมืองตงไห่อย่างเจียงฉี กลับถามความคิดเห็นของจางฉีโม่?
“ฉีโม่ ขอร้องเถอะ ฉันเป็นลุงของเธอนะ ช่วยพวกเราพูดอะไรหน่อยเถอะ ให้เสี่ยวเจี้ยนได้ทำงานในไห่หยางกรุ๊ปด้วย”
ลู่ซีหย่วนกับลู่เสี่ยวเจี้ยนขอร้องพร้อมกัน คุกเข่าคลานไปหาจางฉีโม่พร้อมกัน
“อย่ามาหาฉัน”
จางฉีโม่รีบเดินไปทางลิฟต์ เจียงฉียืนอยู่ข้างๆอย่างมารยาท
มองดูหลังจางฉีโม่เดินจากไป ลู่ซีหย่วนพ่อลูกสีหน้าตาย รีบโอนเงินหนึ่งแสนไปให้จางซิ่วเฟิง
พวกเขาคิดไม่ถึงว่า จางฉีโม่จะมีหน้ามีตาขนาดนี้ แม้กระทั่งคนใหญ่โตอย่างเจียงฉียังต้องเคารพเธอ
……
อีกฝั่งหนึ่ง แม่น้ำชิงหยูน เกาะที่มนุษย์สร้าง
ภายในเกาะมีหมู่บ้านที่สนามหน้าบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียว ต่างๆนานาพันธุ์ และกระถางดอกไม้เยอะแยะมากมาย ดูสวยงามตระการตา
ใจกลางนั้นเป็นกลุ่มคฤหาสน์ใหญ่โต เหมือนปราสาทสมัยโบราณ และบ้านแบบจีนโบราณอีกหลายสิบหลัง เหมือนเรือนของขุนนางในอดีตโบราณ ด้านหลังบ้านเรือนนั้นมีสนามจอดเฮลิคอปเตอร์ บรรยากาศดีจนหาที่เปรียบไม่ได้
ในสวนดอกไม้ หลินอิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว โต๊ะข้างหน้ามีกาน้ำชา เสิ่นซานนั่งอยู่ตรงข้าม
“ท่านหลิน ท่านว่าเกาะสร้างโดยมนุษย์แห่งนี้เป็นยังไงบ้าง?” เสิ่นซานถามอย่างสุภาพ “ช่วงที่ท่านไม่อยู่ เรื่องในเมืองตงไห่ผมจัดการเรียบร้อยแล้ว”
“ก็ใช้ได้” หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ คิดอะไรบางอย่าง “แค่ในเมืองตงไห่ยังไม่พอ ธุรกิจในต่างประเทศคุณพัฒนาได้ยังไงบ้าง?”
“ทางด้านต่างประเทศคืบหน้าไปไม่เยอะ พวกชาวต่างชาติค่อนข้างไม่ค่อยต้อนรับพวกเราคนจีน” เสิ่นซานพูดสีหน้าจริงจัง
“รีบลงมือทำอย่างเต็มที่ เรื่องเงินกับคนไม่ใช่ปัญหา คุณต้องเปิดตลาดต่างประเทศให้ได้” หลินอิ่งพูด
ให้เสิ่นซานไปสร้างอิทธิพลในต่างประเทศ เพื่อปูทางให้กับอนาคต ตั้งแต่ตระกูลเหวินหายไปอย่างลึกลับ หลินอิ่งเหมือนรู้สึกว่าแก๊งมังกร เขาจะไปติดต่อด้วยตัวเองเปิดโปงสถานะตัวเองไม่ได้ จำเป็นต้องมีคนเป็นหูเป็นตาที่เชื่อใจได้
“วางใจครับ ท่านหลิน ไม่นาน ผมจะสร้างผลงานในต่างประเทศให้ได้” เสิ่นซานพูด
ติ๊ดติ๊ด
เวลาเดียวกัน มือถือเพิ่มรหัสลับของหลินอิ่งดังขึ้น
“หลินอิ่ง อยู่ทางโน้นสบายดีไหม?” ทางโทรศัพท์ เป็นเสียงอ่อนแรงของคนแก่ น้ำเสียงห่วงใย
“สบายดีครับ คุณปู่ ปู่โทรมา มีเรื่องอะไรครับ” หลินอิ่งถาม
ทักทายหยูจื๋อเฉิงกับหัวหน้าที่อยู่ตี้จิงดูแลฉีเวิ่นติ่ง คุณปูท่านก็เป็นห่วง ได้เบอร์มาจากหยูจื๋อเฉิง แต่ก็ไม่ค่อยได้โทรมาเท่าไหร่นัก คาดว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่?
“ฮาฮา อิ่งเอ๋อ เป็นเรื่องของลูกพี่ลูกน้องหลาน” ฉีเวิ่นติ่งหัวเราะฮาฮา “น้องบ่นพึมพำกับปู่ทุกวัน ว่าจะไปหาหลานให้ได้ ตอนนี้ น่าจะอยู่บนเครื่องบินไปเมืองตงไห่แล้ว”
“กงซุนชิวอวี่มาเมืองตงไห่? เธอมาหาผมเรื่องอะไร?” หลินอิ่งถาม