ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 169 คนที่อยากจัดการผมไม่มีใครมีจุดจบที่ดีทั้งนั้น
บทที่ 169 คนที่อยากจัดการผมไม่มีใครมีจุดจบที่ดีทั้งนั้น
รถมายบัคขับอยู่บนถนนตอนเที่ยงคืนและทั้งสองข้างมีไฟถนนที่สว่างไสว
ที่เบาะหลังของรถ หลินอิ่งหลับตาพักผ่อน ไม่ได้พูดอะไรมาก กงซุนชิวอวี่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าลังเล ทำท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดลง
เห็นได้ชัดว่า การมาที่ตระกูลกงซุนในครั้งนี้ ลูกพี่ลูกน้องฉีหยิ่นถูกคนยั่วยุให้โมโห เขาไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้
“พี่คะ พี่ว่าพวกเขาล้วนไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของพี่ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงพลุ่นพล่านไม่รู้ตาย” กงซุนชิวอวี่กล่าวอย่างระมัดระวัง “พี่ช่วยชี้แนะหน่อยได้หรือไม่ ว่าอาการป่วยของนายท่านตอนนี้เป็นอย่างไร ต่อไปยังจะต้องสั่งยาอะไรเพิ่มอีกไหม?”
“ใช้ยาอะไรก็ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น “หลินอิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วพูดตามความจริง “ปัญหาภายในตระกูลกงซุนยังไม่ได้รับการแก็ไข ข้ารักษาไว้ได้หนึ่งครั้ง กงซุนฉงหลงมีโอกาสจะโดนยาพิษเป็นครั้งที่สอง”
เขาดูออกตั้งนานแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ตระกูลกงซุนถูกคนจับตามองอยู่ แล้วจะมีประโยชน์อะไรเมื่อตัวเองรักษากงซุนฉงหลงจนหายดี? หากปัญหาภายในบ้านของพวกเขายังไม่ได้รับการแก็ไข เขาอาจจะถูกวางยาพิษอีกครั้งได้ทุกเมื่อ ไม่แน่ครั้งหน้าเขาอาจจะตายไปในทันที
“นี่มัน? พี่คะ พี่แน่ใจจริงๆ เหรอว่ามีคนแอบเล่นเลห์กลอยู่เบื้องหลัง?” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างกังวล “พี่สืบได้ไหมว่าเป็นใคร?”
สถานการณ์ในครอบครัวกงซุนชิวอวี่รู้เพียงครึ่งเดียว เมื่อได้ยินหลินอิ่งพูดเช่นนี้ จิตใจที่กังวลอยู่แล้วก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น
“ผมแน่ใจได้ และสามารถสืบได้ แต่จะมีประโยชน์อะไร?” หลินอิ่งยิ้มแล้วพูด “คุณไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่า คุณธรรมไม่คู่ควรกับตำแหน่งต้องมีหายนะแน่นอนเหรอ?”
อย่าว่าแต่ตัวเองไม่อยากช่วยตระกูลกงซุนเลย แม้ว่าคิด คนตระกูลกงซุนก็ต้องประคองขึ้นมาให้ได้
เป็นถึงตระกูลที่สูงที่สุดแห่งประเทศหลุง แต่ลูกหลานกลับเป็นพวกขี้เหล้าไม่เอาไหนทั้งนั้น ตาอยู่สูงกว่าศีรษะ อวดดีเหลือเกิน
ตระกูลแบบนี้มี ทรัพย์สิน นิดหน่อยก็แล้วไป แต่ดันกุมกำลังเงินและอำนาจที่มากจนสามารถสู้กับประเทศได้ไว้ แล้วจะไม่ถูกคนจับตามองได้อย่างไร? ไม่ช้าก็เร็วคงต้องล้มลงอย่างแน่นอน
ถ้าตระกูลกงซุนอยากปกป้องธุรกิจครอบครัวของพวกเขาไว้ พวกเขาพึ่งพาได้แค่คนของตน
กงซุนชิวอวี่เข้าใจความหมายของหลินอิ่งแล้ว เธอนิ่งเงียบ เห็นได้ชัดว่าในใจของลูกพี่ลูกน้องฉีหยิ่นมองว่าตระกูลกงซุนต่ำลงแล้ว
เธออยากจะขอความช่วยเหลือจากลูกพี่ลูกน้องจริงๆ แต่ไม่มีเหตุผลเลย ครั้งที่แล้วเพราะที่ขอคุณตา ถึงได้ให้พี่มารักษาอาการป่วยได้ หากคิดจะขอให้พี่ฉีหยิ่นใช้อำนาจ เกรงว่าตนเองคงยังไม่มีสิทธิ์เช่นนี้
เฮ้อ กงซุนชิวอวี่อดทอดถอนใจไม่ได้ เรื่องดีๆ แบบนี้ ถูกสองพ่อลูกกงซุนสือที่โง่เขลาทำพัง
“แน่นอน คุณก็อย่ากังวลไปเลย” หลินอิ่งยิ้มแล้วพูด “พ่อกับปู่ของคุณไม่ใช่คนโง่ กงซุนฉงหลงฟื้นขึ้นมา เขาเห็นพายุลมฝุ่นใหญ่ๆ มาหมดแล้ว ไม่จําเป็นต้องให้ใครมาช่วย”
“เข้าใจแล้วค่ะ” กงซุนชิวอวี่เม้มปากและพยักหน้า
กำลังคิดว่าจะใช้เหตุผลอะไรเพื่อต่อไปนี้จะได้ติดต่อลูกพี่ลูกน้องฉีหยิ่นได้ต่อไป หากตระกูลกงซุนมีปัญหาอะไร ก็ยังสามารถขอความช่วยเหลือจากฉีหยิ่นได้
อย่างไรเสีย ท่านพ่อก็เคยบอกเธอมาก่อนแล้ว ว่าการแบกรับแรงกดดันจากตระกูลกงซุนเพียงคนเดียวนั้นกดดันอย่างมาก หากสามารถยืมพลังจากภายนอกได้ก็จะดีมาก โดยเฉพาะคนที่แข็งแกร่งอย่างฉีหยิ่น
“พี่คะ ฉันอยากไปเมืองตุงไห่กับพี่ด้วย” กงซุนชิวอวี่กล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“คุณไปทำอะไรที่เมืองตุงไห่? ” หลินอิ่งถามด้วยความสงสัย
“ฉัน ฉันจะไปเยี่ยมดูพี่สะใภ้ ฉันยังไม่เคยได้เจอเธอเลย พี่ไม่ยอมรับของขวัญไป ฉันเตรียมของขวัญให้พี่สะใภ้ไว้แล้ว” กงซุนชิวอวี่กล่าว
ช่างยุ่งยากจริงๆ หลินอิ่งส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ตามใจคุณเถอะ นั่นคืออิสรภาพของคุณ””
“ได้ค่ะ” กงซุนชิวอวี่กล่าวอย่างดีใจ ลูกพี่ลูกน้องของเธอช่างเป็นคนไร้ซึ่งความปรารถนาจริงๆ ทำทุกอย่างตามใจชอบ
และพี่สะใภ้จางฉีโม่ที่เขาลือกันไม่เหมือนเขา หากสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่สะใภ้ได้ ถ้าเธอเอ่ยปากพูด พี่จะต้องไว้หน้าเธออย่างแน่นอน
หลินอิ่งเหลือบมองไปที่กงซุนชิวอวี่ จะไม่เข้าใจความคิดของเธอได้อย่างไร ตามใจเธอเถอะ ข้างกายฉีโม่เองก็ไม่มีเพื่อนที่ไว้ใจได้จริงๆ นิสัยของชิวอวี่นับว่าเป็นคนใจดี หากนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฉีโม่ได้ ก็นับว่าไม่เลว
ครั้งที่แล้วเขาออกจากเมืองตี้จิงไป มีเรื่องวุ่นวายมากมายเลย
หลังจากดูโทรศัพท์ มีสายที่ไม่ได้รับหลายสายมาจากนิ่งซวน และยังมีรายงานของเสิ่นซานที่เกี่ยวกับการพัฒนากองกำลังไปต่างประเทศ
นิ่งซวนโทรมาหงายสาย คาดว่าคงเป็นเพราะนายท่านของตระกูลนิ่ง นิ่งไท่จี๋มีปัญหาบางอย่างต้องมาขอร้องเขา ถ้าอย่างงั้นรอให้เขามาที่เมืองตุงไห่ด้วยตัวเองก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น คนขับก็ร้องออกมาด้วยความประตกใจ เขาเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน ยางรถดริฟเสียงดังอี๊ดๆๆๆ รถหยุดอยู่ครึ่งทาง
เห็นเพียงแค่ ด้านหน้ารถที่ห่างออกไป10เมตร มีชายวัยกลางคนที่ดูเย็นชาสวมเสื้อคลุมสไตล์เก่าๆ ราวกับว่าเขาไม่สนใจรถที่ขับมา และบังคับให้คนขับเหยียบเบรก
“เกิดอะไรขึ้น? ” กงซุนชิวอวี่มีแสดงสีหน้าตกใจออกมา มองไปที่คนที่อยู่ไกลออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ เธอคิดไม่ออกว่าสมัยนี้ยังมีคนไม่กลัวตายอีกหรือ?
“อยู่ในรถอย่าขยับ” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เปิดประตูรถแล้วเดินลงไป
ปังๆ! ชายหนุ่มห้าหกคนที่สวมชุดฝึกซ้อมวิชาวิ่งออกมาและล้อมรอบชายเสื้อคลุมยาวไว้
“ผมชื่อเย่เหยียน คุณคือหลินอิ่งใช่ไหม? บอสของเราตามหาคุณ “เย่เหยียนกล่าวอย่างเย็นชา และจ้องมองไปที่หลินอิ่งอย่างเย็นชา
หลินอิ่งเหลือบมองเย่เหยียนแวบหนึ่ง แล้วยิ้มมุมปากขึ้นมา
“ใครเป็นบอสของคุณ? กงซุนเฟยเทียน?” หลินอิ่งถามด้วยความสนใจ
“คุณเห็นแล้วก็จะรู้เอง” เย่เหยียนพูดอย่างเย็นชา สีหน้าของเขาหยิ่งยโสมาก “คุณจะทำลายวรยุทธ์ของตนเอง หรืออยากให้พวกเราลงมือ? ให้ผมลงมือ คุณจะเจ็บปวดมาก”
หลินอิ่งยิ้ม คนเหล่านี้ไม่ใช่คนของกงซุนเฟยเทียน พวกเขาจะต้องเป็นผู้ยอดฝีมือลับของตระกูลกงซุนอย่างแน่นอน
ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่หยุดรถด้วยตัวเอง แต่จะเปลี่ยนไประเบิดรถแทน เขาเองก็คงเห็นกงซุนชิวอวี่อยู่บนรถด้วย
“คุณหนีตอนยังทัน ผมเห็นว่ากว่าจะฝึกร่างกายได้ขนาดนี้ก็ยาก” หลินอิ่งพูดอย่างเฉยเมย สายตาของเขากวาดมองไปที่เหล่าเย่เหยียนราวกับใบมีด
ดูเหมือนว่าตระกูลกงซุนจะยังมีพื้นฐานอยู่นะ เย่เหยียนคนนี้แข็งแกร่งกว่าบอดี้การ์ดหลายคนที่เขาเคยเจอในตระกูลกงซุน
สายตาของคนผู้นี้คมกริบและรูปร่างไม่ธรรมดา คาดว่าหากถูกรถชนก็คงแค่กลิ้งไปมาเท่านั้น นอกจากนี้วิชากังฟูยังยอดเยี่ยมอีกมาก ฝึกอีกไม่กี่ปีก็จะสามารถฝึกกำลังภายในได้เล็กน้อยเลย
พรึพ!
เย่เหยียนไม่ได้พูดอะไรต่อ ร่างของเขาพุ่งตรงเข้ามาหาราวกับสายลม คนที่อยู่ด้านหลังก็เหวี่ยงแท่งเหล็กออกมาและพุ่งเข้ามา
หลินอิ่งส่ายหน้า ยื่นมือออกไปทดสอบ ราวกับกำลังจับลมอยู่กลางอากาศ เสียงลมพัดผ่าน เขาคว้าร่างหนึ่งไว้ได้ ข้อมือหมุนไปมาแล้วสะบัดอย่างแรง และล้มลงกับพื้นเสียงดังก็อง
จากนั้นเขาก็ดึงมันขึ้นมา และโยนออกไปอย่างดุดัน พวกเขา 5-6 คนถือแท่งเหล็กกำลังเหวี่ยงออกไปไกลกว่า 10 เมตร แต่ละคนก็กระอักเลือดออกมา
หลินอิ่งพุ่งเข้าไปหาเย่เหยียน และเอาเท้าของเขายันไปที่หน้าอกของเย่เหยียน เขากระอักเลือดออกมาอย่างแรง ใบหน้าของเขาขาวซีดมาก เขาจ้องมองหลินอิ่งด้วยใบหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปหมด
เวลาเพียงครู่เดียว ทักษะพลังแข็งแกร่งที่เขาฝึกมานานกว่า 20 ปี ได้หายไปแล้ว
เพียงเพราะเขาล่วงเกินหลินอิ่ง วรยุทธ์ของเขาจึงถูกกำจัดไปแล้ว
“คนที่คิดอยากจะแตะต้องตัวข้ามีไม่มีใครมีจุดจบที่ดีทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าคุณเป็นใคร กลับไปบอกนายท่านของคุณซะ ถ้ายังกล้ามายั่วยุผมอีกอีก ตายสถานเดียว” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา แล้วหันหลังขึ้นรถ ไป
กงซุนชิวอวี่และคนขับรถต่างประหลาดใจมาก พวกเขานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขับรถเลี้ยวไปยังทางไปสนามบิน
รอจนรถขับออกไปแล้ว ชายวัยกลางคนสองคนที่สวมชุดจงซานก็เดินออกมาจากริมถนนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แล้วมองไปทางที่หลินอิ่งจากไป
“ไอ้คนแซ่หลินนี้ นายเห็นอะไรไหม? ถ้านายลงมือ มีโอกาสฆ่ามันให้ตายไหม?” ชายสวมชุดจงซานถาม
“ดูไม่ออก ตอนนี้ลงมือแรงและเร็วเกินไป แต่ว่านักสู้ยอดฝีมืออายุเท่านี้ ผมยังไม่เคยได้ยินชื่อของคนนี้มาก่อน จะจัดการเขามันอาจจะยุ่งยากนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร” ชายอีกคนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ดีเลย เรื่องนี้ก็ให้นายเป็นคนจัดการ อย่าลงมือง่ายๆ วางแผนดีๆ ต้องทำให้ตาย ผมจะจัดคนให้นายชุดหนึ่ง นายพาไปที่เมืองตุงไห่ด้วย”