ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 223 “บริษัทเครื่องประดับจางซื่อ” แห่งที่ 2
บทที่ 223 “บริษัทเครื่องประดับจางซื่อ” แห่งที่ 2
บริษัทเครื่องประดับจางซื่อเป็นแบรนด์ที่คุณท่านจางบริหารมาหลายปี คราวนี้คนของตระกูลจางเปิดบริษัทใหม่สร้างความวุ่นวายภายในกันเอง แล้วยังจะแย่งชิงแบรนด์ชื่อดังนี้กันอีก สุดท้ายไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร เรื่องไร้สาระอย่างนี้ ต้องส่งผลต่อชื่อเสียงบริษัทรุนแรงอย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าคนตระกูลจางเล่นพิเรนทร์อะไร ไม่รู้จักสงบสักวัน ไม่รู้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ทั้งที่รู้ว่าบริษัทของฉีโม่ดีขึ้นทุกวัน แล้วไหนจะการลงทุนของไห่หยางกรุ๊ป ทำไมยังกล้าเปิดตัวเป็นคู่แข่งอีก?
“จึ๊ๆ ดูท่าทางนายคงไม่รู้เรื่องนี้เลย” หวางหงหลิงทำเสียงจึ๊ๆ ด้วยความประหลาดใจพูดว่า “บริษัทของเมียตัวเองเกิดเรื่องใหญ่อย่างนี้ นึกไม่ถึงว่ายังดักดานอยู่ นายอยู่ในตระกูลจางฐานะอะไรกัน เรื่องใหญ่อย่างนี้จางฉีม่อก็ไม่บอกนาย ไม่รู้ว่านายอยู่ในตระกูลจางมีความหมายอะไร”
หลินอิ่งหัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันก็ไม่รู้ว่าวันๆ เธอเอาแต่เฝ้าสังเกตเรื่องเหล่านี้ มันน่าสนุกตรงไหน”
ข่าวอะไรที่เขาไม่รู้ หวางหงหลิงกลับรู้ข่าวเป็นคนแรก ทำให้เห็นว่าเขาเฝ้าสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของฉีโม่กับเขา
“นาย!” หวางหงหลิงสำลักจนจะพูดไม่ออก “หึ นายทำเป็นเบ่งต่อไปเถอะ อย่างไรความจริงก็คือ ในเมืองชิงหยูนนี้มีแต่ฉันที่ช่วยนายได้ แล้วยังจะไม่รู้จักชั่วดีอีก”
พูดเสร็จ หวางหงหลิงก็ลุกขึ้น พูดว่า “ฉันยังมีธุรกิจที่ต้องคุยกับเสิ่นซานอีก เดี๋ยวค่อยมาหานายใหม่”
เธอรู้สึกเหมือนเรียกคนที่ทำเป็นหลับให้ตื่น เห็นๆ อยู่ว่า เธอเป็นคนช่วยแก้ไขความยุ่งยากให้หลินอิ่งทั้งนั้น แต่คนคนนี้ยังทำเหมือนว่าตัวเองเก่งอยู่ได้ ไม่รู้จักเจียมตัวเอาซะเลย
อย่างไรก็ตาม สักวันหลินอิ่งต้องเข้าใจ คิดเสร็จหวางหงหลิงก็จากไปด้วยสีหน้าที่พอใจ เดินเข้าไปในหอนิทรรศการ
หลังจากรอหวางหงหลิงจากไปแล้ว หลินอิ่งก็เอามือถือขึ้นมา กำลังจะโทรหาฉีโม่ ถามเรื่องราวเสียหน่อย แต่อยู่ๆ กลับมีชายหนึ่งหญิงหนึ่งเดินเข้ามา นั่งลงตรงข้ามเขา สีหน้าดูล้อเลียน
หลินอิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด วางมือถือลง มองสองคนนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มสวมสูทสีดำ กับอีกคนเป็นหญิงสาวสวมชุดราตรี
หน้าตาสองคนนี้เหมือนเคยรู้จักกัน ดูคุ้นๆ
“คนตระกูลโจเหรอ?” หลินอิ่งถามด้วยความสงสัย
คนที่เคยพบหน้าคร่าตา หลินอิ่งเห็นแล้วไม่มีวันลืม
เขานึกขึ้นมาได้แล้ว คราวก่อนที่กงซุนชิวอวี่มาที่เมืองชิงหยูน ตระกูลโจเป็นสองคนนี้ที่ออกมาต้อนรับเขา และก็เป็นเจ้าสองตัวงี่เง่านี่ที่วางอุบาย โทรหาหวางหงหลิงมาทำเรื่องบ้าๆ
“เหอะๆ นึกไม่ถึงว่านายจะจำพวกเราได้” โจตงพูดด้วยสีหน้าที่หยอกล้อ
“จึ๊ๆ วันนี้เป็นวันที่ลาตินกรุ๊ปกับไห่หยางกรุ๊ปจัดงานฉลองมโหฬาร เพื่อฉลองความยิ่งใหญ่การเปิดโครงการเทคโนโลยีเมืองโลก ที่มาในงานมีใครบ้างที่ไม่ใช่บุคคลที่มีหน้ามีตาในเมืองชิงหยูน? แต่เหมือนมีคนประหลาดเข้ามามั่วอยู่คนหนึ่งนะ” โจยู่ถานพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงถากถาง
“นั่นสิ นี่เป็นลูกเขยของตระกูลจางไม่ใช่เหรอ? เหมือนฝ่ายจัดงานจะเชิญตระกูลจางแค่คนสองคน หรือนายมาในนามตัวแทนของตระกูลจาง? ลูกเขยเศษสวะอย่างนายมีฐานะแบบนี้ในตระกูลจางตั้งแต่เมื่อไหร่” โจตงก็ถากถางอย่างไม่เกรงใจ
หลินอิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็น ถามด้วยความสงสัยว่า “คราวก่อนนายเป็นคนโทรหาหวางหงหลินล่ะสิ พวกนายสองคนเป็นคนปลุกเรื่องไร้สาระอยู่เบื้องหลังสินะ?”
“อุ๊ย? ยังโกรธเหรอ? ไม่ยอมใจเหรอ?” โจยู่ถานแสยะยิ้มพูด “ปลุกเรื่องไร้สาระอะไรกัน สิ่งที่ฉันพูดเป็นความจริง นายเป็นผู้ชายที่มีเมียแล้ว ยังไปให้ท่าสาวน้อยผู้บริสุทธิ์อย่างคุณหนูกงซุน แล้วอีกทางก็ยังไปเกาะหวางหงหลิงอีก ทำเรื่องขายหน้าอย่างนี้ ยังจะมาห้ามกันไม่ให้พูดได้เหรอ?”
“น่าขำจริงๆ ผู้ชายไร้ยางอายอย่างนาย เกาะผู้หญิงแล้วยังจะมั่นใจได้อีก?” โจยู่ถานถากถางอย่างไร้ความรู้สึก สีหน้าเต็มไปด้วยการดูถูก
คราวก่อนคุณหนูใหญ่กงซุนมาเมืองชิงหยูน ไม่รู้ว่าเศษสวะอย่างหลินอิ่งไปไต่สัมพันธ์อย่างไร ถึงได้อ้างอิทธิพลของคุณหนูกงซุน ให้หล่อนที่เป็นถึงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลโจยกน้ำชา ขอขมาลาโทษ ช่างไม่รู้จักที่ตายเสียแล้ว
บัดนี้กงซุนชิวอวี่ไปจากตุงไห่แล้ว คราวก่อนหล่อนก็ตุกติก ให้หวางหงหลิงไปหาหลินอิ่ง คิดว่าคงจะให้เปิดโปงความอัปลักษณ์ของหลินอิ่งต่อหน้ากงซุนชิวอวี่
คราวนี้ ดูสิหลินอิ่งจะมีใครให้พึ่งอีก ไม่มีใครปกป้องเขา เขาก็เป็นแค่เขยเศษสวะเท่านั้น จะกล้าอวดเบ่งอีกไหม
“เศษสวะอย่างนายคราวก่อนยังกล้าให้ฉันรินน้ำชาให้ ตอนนี้ รีบมารินน้ำชาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ก้มหัวขอขมาลาโทษฉันซะดีๆ” โจวยู่ถานพูดด้วยท่าทางสูงส่ง “ไม่อย่างนั้น ฉันจะให้นายไสหัวไปจากเมืองชิงหยูน จะให้ฝ่ายจัดงานไล่นายออกไปเดี๋ยวนี้ ให้นายต้องขายหน้า!”
หลิ่นอิ่งส่ายหน้า ก่อนหน้าตระกูลโจพึ่งลาตินกรุ๊ปเป็นเสือสมิงมาจัดการกับไห่หยางกรุ๊ป โจยู่ถานก็แอบเล่นตุกติกลับๆ ตัวเขาเองยังไม่ไปหาเรื่องตระกูลโจเลย แต่กลับจะเข้ามาหาเรื่องเอง?
“ดูท่าทางนายเชื่อมั่นตัวเองมากเลยนะ? คิดว่ามีหวางหงหลิงปกป้องนายก็แน่นักอย่างนั้นเหรอ ช่างเป็นเศษสวะที่ไม่รู้จักเจียมตัวเอาซะเลย!” โจตงประนามด้วยเสียงเย็นชา “นายรู้ไหม นายคริสฝ่ายจัดงานของลาตินกรุ๊ป มีความร่วมมืออย่างไรกับตระกูลโจเรา? หวางหงหลิงเธอเซ่นไหว้ผิดที่แล้ว คิดจะปกป้องนายคงเอาไม่อยู่!”
“ใช่ ฉันจะกำจัดความเชื่อมั่นของนายเดี๋ยวนี้ นึกว่าอาศัยหวางหงหลิงมางานอย่างนี้ ตัวเองก็จะเป็นบุคคลที่มีฐานะขึ้นมาอย่างนั้นเหรอ?” โจยู่ถานพูดด้วยเสียงเย็นชา “ฉันจะนับถึงแค่สิบวินาที ถ้านายไม่มาขอขมาลาโทษฉันดีๆ ฉันจะให้คนจับตัวนายโยนออกไป แล้วก็ให้วงการธุรกิจปิดตายนาย รับรองต่อไปนายไม่มีข้าวกินแน่”
เนื่องจากคราวก่อนตระกูลโจเกาะแข้งเกาะขากงซุนชิวอวี่ไว้ไม่ได้ คราวนี้พอไปพึ่งลาตินกรุ๊ป ได้รับความสำคัญจากคริส เลยระเบิดอำนาจ
ใครบ้างไม่รู้ ว่าวงการธุรกิจเมืองตุงไห่ถูกครอบงำโดยลาตินกรุ๊ป? แม้แต่ไห่หยางกรุ๊ปก็ต้องประนีประนอมให้ความร่วมมือ ตระกูลโจเป็นผู้สนับสนุนรายแรก ยังต้องแยแสหวางหงหลิงด้วยเหรอ?
“ให้ฉันไสหัวออกไป?” หลินอิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็น “คุณไปเรียกฝ่ายจัดงานมาสิ”
“โจตง โทรหานายคริสที บอกว่ามีคนก่อกวนที่งาน ให้เขาส่งคนมาเก็บกวาดที” โจยู่ถานโบกมือขึ้นพูด ใส่มาดเต็มที่
สำหรับพวกเธอแล้ว พวกเขาตระกูลโจวเป็นเดิมพันที่ถูกข้าง ตอนนี้ลาตินกรุ๊ปเจิดจ้าดั่งดวงอาทิตย์กลางท้องฟ้า พวกเขาทั้งหมดเหมือนผู้ใต้อำนาจ ต่อไปสนใจแค่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตามใจชอบในวงการค้าเมืองตุงไห่ก็พอแล้ว คิดจะอวดเบ่งอย่างไรก็ได้
ประสาอะไรกับ เศษสวะอย่างหลินอิงที่แค่เกาะผู้หญิงกินกับไต่ความสัมพันธ์กับตระกูลหวาง รังแกทำให้อับอายบ้างนิดหน่อย ก็เป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อย
ติ๊ดๆ
ในเวลานี้เอง มือถือของหลินอิ่งก็ดังขึ้น
เป็นสายโทรเข้าจากจางฉีโม่
พอรับสาย เสียงของฉีโม่ก็ดังเข้ามาอีกด้าน “ฮัลโหล หลินอิ่ง คุณยุ่งอยู่ไหม?”
“มีอะไร ว่ามา” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าปกติ
“หลินอิ่ง คุณรู้จักทนายที่เก่งๆ ไหม? ลุงใหญ่กับลุงสามพวกเขาเปิดจางซื่อกรุ๊ปอีกแห่งแล้ว ให้ฉันไปฟ้องร้องแย่งเครื่องหมายทางการค้าเอง พวกเขายังเอาพินัยกรรมของคุณท่านในตอนนั้นออกมา……” จางฉีโม่พูดด้วยความวิตก
“ผม……” หลินอิ่งกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
“หลินอิ่งจะไปรู้จักทนายความอะไร โทรหาเขาจะช่วยอะไรได้?”
เสียงลู่หย่าฮุ่ยดังเข้ามาอย่างรำคาญในสาย จากนั้นก็เสียงตึ๊ดดังขึ้นสองครั้ง ถูกวางสายไปแล้ว
หลินอิ่งคิ้วขมวด ไม่ได้พูดอะไรมาก เวลานี้เอง โจตงพาบอดี้การ์ดต่างชาติสองสามนายเดินมายังตัวเขา ท่าทางเหมือนน่ากลัว
อีกด้านหนึ่ง จางฉีโม่วางสายลง สีหน้าจนใจ สองสามีภรรยาลู่หย่าฮุ่ยก็พร่ำพูดอยู่ข้างๆ ไม่รู้จักจบ
ในเวลานี้เอง จางฉีโม่ยืนอยู่ใต้อาคารใหญ่ ใต้อาคารเต็มไปด้วยผู้คน ประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟ กำลังจัดพิธีเปิดที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร ชื่อบริษัว่าบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ
ลุงใหญ่จางหงจูนกับลุงสามจางหงซวน ไม่รู้ว่ากินยาผิดหรือเปล่า อยู่ๆก็ตั้งต้นใหม่ เปิดบริษัท แล้วยังเชิญตระกูลจางตั้งแต่เบื้องล่างจรดเบื้องบนมากันหมด
จางฉีโม่ก็อยากมาดูสถานการณ์ จึงมาร่วมพิธีเปิดกับพ่อแม่ด้วย นึกไม่ถึงพอมาถึงก็เจอทีมทนายความมาต้อนรับ ได้รับหมายทนายเตือนจากจางหงจูน……