ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 224 รีบปิดตัวบริษัทที่สวมรอยของเธอซะ
บทที่ 224 รีบปิดตัวบริษัทที่สวมรอยของเธอซะ
“ให้ตาย ฉีโม่ ลูกต้องรีบคิดหาทาง ลุงใหญ่กับลุงสามหักหน้าเรา เอาจริงแล้ว” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างๆ ในมือถือหมายทนายฉบับหนึ่งไว้
นับตั้งแต่ตระกูลนิ่งเข้าเป็นเจ้าของเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ป ถูกถ่ายโอนหลายครั้ง เปลี่ยนเจ้าของอยู่หลายมือ สุดท้ายลูกสาวของตัวเองได้เงินทุนจากไห่หยางกรุ๊ปนั่งขึ้นแท่นเป็นประธานกรรมการ
นึกไม่ถึง ครั้งนี้จางหงจูนกับจางหงซวนจะกล้าดึงฟืนที่เผาไหม้ออกจากใต้หม้อ เอาพินัยกรรมของคุณท่านมาอ้าง เพื่อแย่งชิงเครื่องหมายการค้าเครื่องประดับจางซื่อนี้
ไม้นี้จะโหดเกินไปแล้ว เครื่องประดับจางซื่อเป็นแบรนด์ขึ้นชื่อมาหลายปี ผลสะท้อนเรื่องของแบรนด์ในการทำธุรกิจเครื่องประดับสำคัญมาก ถ้ามีการแย่งชิงลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้า เช่นนั้นประสิทธิภาพของแบรนด์ก็จะลดลงอย่างมาก
อย่างไรก็ตามไม่ว่าผลการว่าความจะเป็นอย่างไร การส่งผลเสียต่อบริษัทของฉีโม่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีการนี้ช่างทุเรศจริงๆ !
“แม่ว่า ฉีโม่ ลูกไปหาเซียวซวนกับเซียวจวงด้วยตัวเองเถอะนะ? เขาอยากร่วมมือกับลูกไม่ใช่เหรอ? ในฐานะที่เซียวจวงเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของลาตินกรุ๊ป ถ้าออกหน้า ต้องสะเทือนจางหงจูนพวกคนพวกนี้ได้แน่” ลู่หย่าฮุ่ยเสนอขึ้นมา
“คือ…พ่อคะ แม่คะ คนอย่างเซียวจวงเขาสติไม่ดี พวกพ่ออย่าเห็นแก่ที่เขาให้เงินหนู ก็เห็นเขาเป็นคนดีสิคะ” จางฉีโม่พูดขึ้นมา
ตั้งแต่เซียวซวนให้เงินสดสองล้านมา วันๆ พ่อแม่ก็พร่ำพูดว่าจะไปตีสนิทกับตระกูลซื่ออย่างไร น่ารำคาญจะแย่
“ไม่ไปหาคุณชายใหญ่เซียว แล้วจะไปหาใคร? หรือลูกยังคาดหวังกับหลินอิ่ง? นั่นมันเศษสวะ ตระกูลเราประกาศแยกตัวจากเขาแล้ว!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยความตำหนิ “ดูหลินอิ่งไปสอพลอใคร?คนอย่างเจียงฉี คนที่นอนรอความตายอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณชายเซียวเลยแม้แต่น้อย! ถ้าไม่เพราะคราวก่อนแม่ไปขอร้องเซียวซวน ที่หลินอิ่งไปล่วงเกินคุณชายเซียว เขาจะปล่อยบริษัทของลูกสาวแม่เหรอ?”
“แม่ แม่ไม่รู้ล่ะสิ ว่าเซียวจวงเขาไม่ได้หยุด เรื่องของบริษัทหลินอิ่งเขาไปจัดการด้วยตัวเอง” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เมื่อวานได้รับสายจากหลินอิ่งบอกว่าไม่เป็นไร เดิมทีจางฉีโม่ก็ไม่เชื่อ ปรากฏลาตินกรุ๊ปก็หยุดที่จะกดดันบีบเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปให้ออก
ถึงจะไม่รู้ว่าหลินอิ่งทำได้อย่างไร แต่จางฉีโม่เชื่อว่า นี่เป็นฝีมือของหลินอิ่งแน่
แต่ปรากฏว่า พ่อกับแม่กลับบอกว่านี่เป็นเพราะพวกเขาไปขอร้องคุณชายเซียว เขาถึงได้เห็นแก่หน้าปล่อยตัว
“หลินอิ่งไปจัดการเหรอ? อุ๊ยตาย ลูกสาวฉัน โง่ไปแล้วจริงๆ หลงยาเสน่ห์ที่หลินอิ่งวางให้แล้ว!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดเตือนเหมือนคนแก่ “ลูกก็ไม่ได้คิดเลย เศษสวะอย่างหลินอิ่งนั่นจะทำอะไรได้? เดิมเป็นเรื่องยุ่งยากที่เขาก่อขึ้นมา ทำให้ลูกลำบาก พวกแม่อุตส่าห์คุยกับเซียวจวงไว้แล้ว ถึงทำให้บริษัทก้าวข้ามยามทุกข์ยากได้อย่างราบรื่น”
“สุดท้าย หลินอิ่งคนหน้าไม่อาย ถึงกับบอกว่าเป็นผลงานของเขา เขาเห็นลูกหลอกง่าย เอาผลงานเข้าตัว เพื่อให้ลูกรู้สึกดี แล้วลูกก็ยังเชื่อ! เขาช่างหน้าด้านไร้ยางอายจริงๆ !” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างไม่เกรงใจ พูดถึงหลินอิ่งขึ้นมาก็โมโหเป็นพิเศษ
“ลูกแม่ นี่เป็นเบอร์ที่เซียวซวนกับเซียวจวงทิ้งไว้ให้แม่ ไม่รู้ทำไมถึงโทรไม่ติดแล้ว แม่ว่า ลูกต้องเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่สักชิ้น พรุ่งนี้ไปหาคุณชายเซียวที่ลาตินกรุ๊ปให้เขาช่วยเหลือด้วยตัวเอง” ลู่หย่าฮุ่ยออกแผนการพูด “ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคุณชายเซียว ลูกสาวแม่ลูกลองคิดดู โซ่เงินทุนที่ลงทุนฝั่งไห่หยางกรุ๊ปถ้าขาดไป ลูกจะนั่งแท่นประธานกรรมการได้อย่างมั่นคงอีกเหรอ? แล้วก็ การมาที่น่ากลัวของจางหงจูนกับจางหงซวนในครั้งนี้ จะรับมืออย่างไร?”
“ตอนนี้สถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ ลูกแม่ถ้าลูกไม่หาบุคคลใหญ่โตมาออกหน้า ก็จัดการไม่ได้ ลูกแม่ กว่าลูกจะมีหน้ามีตาได้ไม่ใช่ง่ายนะ หรือจะให้หลินอิ่งที่ล่วงเกินคนอื่น ทำให้ลูกต้องเสียอนาคต?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดเป็นยัยแก่
สีหน้าจางฉีโม่จำใจ ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
ตอนที่คนตระกูลจางรวมตัวกันจะตั้งต้นใหม่ ฟ้องร้องจะแย่งลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้า คนแรกที่จางฉีโม่อยากขอความช่วยเหลือ ก็คือหลินอิ่ง
ฉะนั้น เธอถึงได้โทรถามสถานการณ์กับลินอิ่ง
แล้วจางฉีโม่ก็พบว่า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่หลินอิ่งเข้าครอบครองตำแหน่งที่สำคัญในใจเธอ อย่างไรก็ตามมันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างมั่นคง
เธอเชื่อว่า จากความสามารถของหลินอิ่ง ต้องจัดการกับชั้นเชิงของตระกูลจางได้แน่
“เอะ อาห้าสะใภ้ห้า พวกอามาอยู่ข้างนอกบริษัททำไมกัน? เข้ามานั่งสิ พวกคุณทั้งบ้านเป็น “แขกVIP” ของวันนี้นะ!”
อยู่ๆ เสียงที่ชวนให้คนรังเกียจก็ดังขึ้นมา
เห็นแต่ ชายหนุ่มสวมแว่นกันแดดลงมาจากรถปอร์เช่ปี 91 สวมเสื้อเชิ้ตลาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องมองดูครอบครัวของจางฉีโม่
“จริงสิ แล้วก็ฉี่โม่อ่ะ เธอก็เข้ามาดูในบริษัทสิ ว่าอะไรคือความเป็นมืออาชีพในการทำเครื่องประดับ มาดูทีมงานบริษัทของฉัน!” จางเถียนไห่มองจางฉีโม่อย่างได้ใจ
ตั้งแต่ถูกหลินอิ่งทำให้อับอายที่ชุมชนเจียงฉือแล้ว จางเถียนไห่ก็อยากเอาคืนมาตลอด แต่พอเห็นชีวิตจางฉีโม่พร้อมครอบครัวยิ่งอยู่ยิ่งดี นึกไม่ถึงว่าจะเจริญรุ่งเรืองในวงการธุรกิจเมืองชิงหยูน เขาอยากแก้แค้น แต่ศักยภาพกลับไม่พอ ได้แต่มองดูครอบครัวพวกเธอทะยานสู่ที่สูงด้วยตาร้อนผ่าว
โดยเฉพาะ เดิมทีครอบครัวจางฉีโม่ก็เกือบจะล้มละลายเพราะเขา ญาติจนๆ ครอบครัวหนึ่ง ปรากฏยิ่งอยู่ก็ยิ่งร่ำรวย แล้วยังสอพลอได้ไห่หยางกรุ๊ปเป็นที่พึ่ง ขึ้นนั่งแท่นประธานกรรมการบริษัท ดีกว่าครอบครัวเขาเสียอีก แม่งเอ๊ยแล้วอย่างนี้เขาจะทนได้เหรอ?
“เถียนไห่เอ้ย อาว่านะ ทางพ่อนายน่ะ ออกมาคุยเรื่องนี้กันหน่อยได้ไหม” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน “ทุกคนล้วนเป็นคนตระกูลจาง ใยต้องให้เรื่องราวฉาวโฉ่อย่างนี้ แล้วยังจะขึ้นโรงขึ้นศาลอีก?”
“หยุดนะ!อาห้าครับ ไม่ใช่ผมไม่เห็นแก่หน้าของอานะ ตอนนั้นผมเกิดเรื่องนิดเดียว พวกอาครอบครัวก็คิดจะฟ้องร้องทับถมผม ตอนนี้น่ะ ลมเปลี่ยนทิศแล้วสินะ?” จางเถียนไห่พูดอย่างได้ใจ “ถ้าจะให้ผมพูด อาห้า บริษัทที่สวมรอยของครอบครัวอาน่ะ รีบปิดตัวซะเถอะ ยังชูป้ายเครื่องประดับจางซื่ออย่างไร้ยางอายอยู่ได้ ตระกูลพวกอาเป็นตัวแทนตระกูลจางได้เหรอ? ไม่รู้จักประเมินตัวเองเอาซะเลย!”
ถูกจางเถียนไห่ถากถางเช่นนี้ สีหน้าของจางซิ่วเฟิงกับลู่หย่าฮุ่ยถอดสีทันที แต่ก็ไม่กล้าโต้กลับอย่างรุนแรง อย่างไรตอนนี้อำนาจผู้กระทำก็ตกอยู่กับทางครอบครัวเถียนไห่ เครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปของพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากตระกูลจางตั้งแต่คนระดับล่างไปจนถึงระดับบน แล้วยังเอาพินัยกรรมของคุณท่านมาเป็นหลักฐาน
“เถียนไห่จ๊ะ เดี๋ยวหลานช่วยคุยกับพ่อของหลานที เราต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน มีอะไรก็ปรึกษากันดีๆ ต่างก็อยากหาเงินกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? นั่งล้อมวงกันปรึกษาพัฒนาแบรนด์เครื่องประดับจางซื่อกันดีๆ ไม่ดีกว่าเหรอ? ทำไมต้องก่อเรื่องให้วุ่นวายไปทั่ว?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดจาเกลี้ยกล่อม
“พูดกับผมไม่มีประโยชน์” จางเถียนไห่พูดอย่างไม่ไยดี “พ่อผมกับลุงใหญ่กำลังคุยงานกันอยู่ พวกอาเข้าไปนั่งเถอะ อีกเดี๋ยวพวกเขาจะคุยเรื่องนี้กับพวกคุณ อ้อ จริงสิ แล้วก็คนตระกูลจางก็อยู่กันหมด ทุกคนมีความข้องใจและความเห็นที่พวกอาดูแลบริษัท ผมแนะนำว่าทางที่ดีให้พวกคุณฟังความเห็นของทุกคน”
พูดเสร็จ จางเถียนไห่ก็เดินเข้าอาคารอย่างสบายอกสบายใจ
สีหน้าของครอบครัวจางฉีโม่ดูไม่จืด เดินเข้าไปที่โถงนิทรรศการ “อาคารจางซื่อ” แห่งนี้。