ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 227 เมืองชิงหยูนเกิดการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 227 เมืองชิงหยูนเกิดการเปลี่ยนแปลง
“สถานการณ์ได้บอกพวกคุณแล้ว เกี่ยวกับเรื่องการแถลงข่าวและทีมทนายความดำเนินคดี จะดำเนินกันต่อภายหลัง” จางหงจูนพูดอย่างช้าๆ “จางฉีโม่ รอพบความพินาศเถอะ”
จางฉีโม่เหมือนถูกสาดน้ำเข้าหน้า ภายในใจเดือดดาล
“พี่ใหญ่ ละเว้นได้ก็ละเว้นเถอะ พวกคุณทำอย่างนี้ ครอบครัวเราก็จะไม่นิ่งดูดาย” ลู่หย่าฮุ่ยที่แข็งนอกอ่อนในพูดขึ้นมา “คุณอย่างลืมสิ เบื้องหลังฉีโม่ของเรายังมีมหาอำนาจหนุนอยู่!”
“เหอะๆ มหาอำนาจ? เธอกำลังขู่ฉันเหรอ? ช่างน่าขำจริงๆ” ท่าทางจางหงซวนไม่แยแส แสยะยิ้มพูดว่า “อย่านึกว่าพวกเราไม่รู้ข่าว ครอบครัวพวกเธอประสบเจียงฉีไห่หยางกรุ๊ป เพื่อให้ได้การลงทุน? นึกว่าได้พึ่งมหาอำนาจแล้วจริงๆ เหรอ?”
“เมืองชิงหยูนเปลี่ยนไปนานแล้วรู้ไหม? ยังจะมหาอำนาจอะไร!เจียงฉีมหาอำนาจที่พวกเธออาศัย ถูกลาตินกรุ๊ปคว่ำลงไปแล้ว จะสักแค่ไหนเชียว?” จางหงซวนพูดด้วยความโอหัง ท่าทางมั่นใจมาก
จางหวงจวนทั้งสองคนแน่นอนรู้อยู่แล้วว่าจางฉีโม่มีเจียงฉีแห่งไห่หยางกรุ๊ปสนับสนุนอยู่ ฉะนั้นก่อนหน้าที่คิดจะล้างแค้น ก็ต้องจนใจมาตลอดมา
แต่เวลานี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว บัดนี้พวกเขาสองคนได้รับการสนับสนุนลับๆ จากกงซุนเฟยเจี้ยนมาเฟียใหญ่สูงสุด แค่เจียงฉีในวงการค้าตุงไห่ จะสักเท่าไหร่กันเชียว?
จะเทียบกับบุคคลผู้มีอำนาจของตระกูลกงซุนแห่งเมืองตี้จิงได้อย่างไร?
อีกอย่าง ไห่หยางกรุ๊ปในวงการค้า ได้ข่าวว่าถูกลาตินกรุ๊ปของต่างชาติคว่ำลงแล้ว จะมีอิทธิพลใหญ่อย่างแต่ก่อนมาจากไหน
เมืองชิงหยูนในตอนนี้ ลาตินกรุ๊ปได้เข้าครอบครองวงการค้าแล้ว ตระกูลโจกับตระกูลซุนอาศัยลมที่หันเห เงยหน้าอ้าปากขึ้นมาในครั้งนี้ และจางหงจูนกับจางหงซวนสองคนนี้ ก็มีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับตระกูลโจกับตระกูลซูน ไม่ได้เกรงกลัวมหาอำนาจที่จางฉีดโม่พึ่งพา
“นี่……” สีหน้าของลู่หย่าฮุ่ยดูไม่ได้ขึ้นมาทันที ไม่มีความมั่นใจที่จะงัดข้อกับจางหงซวนทั้งสองคน
เธอรู้สถานการณ์ดีอยู่แก่ใจ ลูกสาวตัวเองไม่ได้มีความสามารถมากมายในเมืองชิงหยูน โดยเฉพาะปัญหาเงินทุนของบริษัทไม่แน่นอน สถานการณ์ที่สั่นคลอน เผชิญหน้าความยุ่งยากของจางหงซวนสองคนนี้ ยากที่จะหาทางรับมือได้
“เอาล่ะ พวกเธอสนใจก็ร่วมชมต่อเถอะ การเปิดบริษัทใหม่ ดูเยอะๆ” จางหงจูนพูดด้วยสีหน้าได้ใจ “แม้แต่การลงทุนในไห่หยางกรุ๊ปก็เกิดปัญหา ไม่รู้ว่าบริษัทสวมรอยของพวกเธอยังจะมีเงินทุนหล่อเลี้ยงอยู่หรือเปล่า ต่อไปน่ะ ถ้าบริษัทเจ๊งขึ้นมา ก็มาทำงานกับฉันที่นี่”
“วางใจ อาวุโสในตระกูลจางอย่างพวกเราไม่ใจร้ายอย่างครอบครัวพวกเธอ ถ้าตกต่ำจริงๆ ฉันจะเก็บตำแหน่งไว้ให้เธอตำแหน่งหนึ่ง อย่างไรก็เป็นหลานสาวของเราเอง จะเก็บที่ทำกินไว้ให้” จางหงจูนพูดด้วยความถากถาง สีหน้าพอใจอย่างมาก
สีหน้าจางฉีโม่กับครอบครัวเขียวปัด ทนฟังไม่ได้แล้ว
ลู่หย่าฮุ่ยกระซิบข้างหูจางฉีโม่ว่า “ฉีโม่ สถานการณ์นี้ จะทำอย่างไรดี ลูกต้องหาทาง หาคนมาช่วยนะ!”
ลู่หย่าฮุ่ยผัวเมียลนลานจนไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว บริษัทของลูกสาวเกิดปัญหามากมายอย่างนี้ ถ้าพังทลายลงจริง อย่างนั้นชีวิตของพวกเขาก็ต้องกลับไปเหมือนอย่างก่อน อย่างนั้นคงน่าอดสูเกินไป!
สีหน้าของจางฉีโม่หนักอึ้ง ลุกขึ้นออกจากที่นั่ง เดินไปยังประตู หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า โทรหาหลินอิ่งในเวลานี้เอง อารมณ์เธอก็ไม่ดีนัก ทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายไปเท่าไหร่เพื่อพัฒนาบริษัทถึงขั้นนี้ เห็นอยู่ว่าดีขึ้นทุกวัน ปรากฏคนของตระกูลจางกลับเอามีดแทงข้างหลังในเวลาสำคัญเช่นนี้ ทำให้แบรนด์เครื่องประดับจางซื่อต้องเหม็นต้องเน่า
เธอไม่รู้ว่าต้องรับมืออย่างไรกับชั้นเชิงต่ำช้าในเรื่องธุรกิจเหล่านี้
ส่วนอีกด้านหนึ่ง อาคารเมืองโลก
สีหน้าของหลินอิ่งมองไปยังโจตงกับกลุ่มบอดี้การ์ดต่างชาติที่เดินเข้ามาอย่างปกติ
มีเสียงดังตึ๊ดๆ ขึ้นมา อยู่ๆ มือถือก็ดังขึ้น
“หลินอิ่ง ตอนนี้คุณว่างไหม? มาที่อาคารจางซื่อหน่อยได้ไหม” มือถืออีกด้านเป็นเสียงวิตกกังวลของจางฉีโม่ดังเข้ามา “คนของตระกูลจางคิดจะพังแบรนด์เครื่องประดับจางซื่อ ฉันกำลังเจรจากับพวกเขาอยู่ที่นี่ แต่นึกวิธีอะไรดีๆ ไม่ออก……”
“ผมรู้แล้ว วางใจเถอะ เรื่องนี้เรื่องเล็ก ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง” หลินอิ่งพูดอย่างเฉยเมย
“ได้” จางฉีโม่ลังเลที่จะหยุดพูด เดิมทีคิดจะพูดให้ละเอียดกว่านี้ แต่หลินอิ่งเหมือนไม่แยแสเรื่องเล็กแค่นี้ เธอก็เลยไม่พูดมากอีก
หลินอิ่งเพิ่งจะวางสายไป โจตงก็แสยะยิ้ม ชี้มือชี้ไม่พูดขึ้นมาว่า
“ให้ตาย เศษสวะอย่างนายโทรศัพท์ไม่หยุดเลยนะ เล่นละครอะไรอยู่? โทรหาใครเหรอ คิดจะหาคนช่วยเหรอ?” โจตงพูดอย่างอวดเบ่ง “เศษสวะอย่างนายวันนี้ต้องยกน้ำชาขอขมาลาโทษ หาใครมาก็ช่วยไม่ได้! ไม่อย่างนั้น ก็ออกไปจากงานซะโดยดี”
“ยังจะพูดมากับเศษสวะอย่างมันทำไม ลดตัวเราเสียเปล่าๆ” โจยู่ถานพูดอย่างไม่แยแส “โยนมันออกไป คนชั้นต่ำอย่างมันไม่มีสิทธิ์มางานระดับสูงอย่างนี้อยู่แล้ว”
โจตงทำเสียงเอาะแอะๆ กับบอดี้การ์ดต่างชาติพวกนั้น พูดภาษาประเทศM เดี๋ยวเดียว บอดี้การ์ดรูปร่างกำยำสวมสูทไม่กี่นาย ท่าทางเข้มงวดก็เดินมายังหลินอิ่ง
หลินอิ่งดื่มชาอย่างเอื่อยๆ พูดว่า “พวกนายไปตามฮาเดสมาที”
“ฮาเดส? นายรู้จักลูกพี่ของพวกเรา?” บอดี้การ์ดคนหนึ่งท่าทางสงสัยโดยไม่ลงมือ
ฮาเดสเป็นลูกพี่บริษัทรักษาความปลอดภัยลาตินกรุ๊ป พนักงานแทบทุกคนต่างรู้จักเขา
“ลูกพี่อะไร? พวกนายไม่รู้ว่าฉันเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือกับนายคริสเหรอ? ยังไม่ช่วยฉันโยนคนคนนี้ออกไปอีก?” โจยู่ถานพูดด้วยเสียงดัง
“คือ……คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง โปรดรอสักครู่ ผมจะไปโทรศัพท์หน่อย” ท่าทางบอดี้การ์ดต่างชาติมีความระมัดระวัง เดินไปโทรศัพท์อีกทางหนึ่ง หลินอิ่งพูดถึงฮาเดสขึ้นมา พวกเขาก็ไม่กล้าเที่ยวลงมือ
“นี่…มันอะไรกัน?” ท่าทางโจยู่ถานไม่เต็มใจ มองดูหลินอิ่งแสยะยิ้ม “ยังจะมาทำท่าทำทาง? ไหนจะฮาเดสอะไร? คนบ้าที่ไหน ไม่เคยเห็นจะได้ยิน”
“นายคงไม่รู้จักหัวหน้าทีมบอดี้การ์ดของลาตินกรุ๊ป ก็กล้าทำเป็นมีเส้นสายต่อหน้าฉันใช่ไหม?” โจตงพูดอย่างไม่แยแส “ฉันจะดูสิว่านายเรียกใครมา ทางที่ดีเรียกคนที่นายรู้จัก มากันให้หมดเลย!”
โจตงกับโจยู่ถานกอดอก ทำท่าล้อเลียน
สำหรับพวกเขาแล้ว แม้แต่ประธานอาวุโสคริสแห่งลาตินกรุ๊ปก็เป็นพันธมิตรความร่วมมือกับพวกเขาสองคน เศษสวะอย่างหลินอิ่ง จะรู้จักคนร้ายกาจอะไรที่ไหนได้? รู้จักหัวหน้าทีมบอดี้การ์ดอะไรกัน คิดเป็นตุเป็นตะไปเองแล้วยังกล้าจะเรียกคนมาอีก? น่าขำจริงๆ
“ฉันจะดูสิว่า นายจะเรียกใครมา ไม่ว่านายจะเรียกใครมา อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้ว ก็ต้องช่วยฉันทำงาน” โจวยู่ถานพูดด้วยท่าทางได้ใจ “นายคงไม่รู้สินะว่า ตระกูลโจของเรามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลาตินกรุ๊ปมากแค่ไหน”
ไม่ถึงสองนาที คริสก็ปรากฏตัวขึ้นในงาน มีฮาเดสมาข้างกาย ท่าทางร้อนใจวิ่งมาทางหลินอิ่ง