ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 228 ตระกูลโจไม่เลิกราแค่นี้แน่
บทที่ 228 ตระกูลโจไม่เลิกราแค่นี้แน่
ฮาเดสเดินเข้ามาอย่างไร้อารมณ์ ยืนอยู่ข้างหลินอิ่ง
“ประธานหลิน ผมมาแล้ว” ฮาเดสก้มหัวลงช้าๆ พูดด้วยความอ่อนน้อยว่า “ประธานหลินต้องการให้ผมทำอะไร”
“โอ้ ยังจะประธานหลินด้วย? เศษสวะอย่างนายนี่ทำท่าเข้าท่าเหมือนกันนะ” สีหน้าโจยู่ถานพูดอย่างไม่แยแส มองฮาเดสที่เดินเข้ามาตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่เห็นร่างกำยำของชาวต่างชาตินี่อยู่ในสายตา
“ดูจากการแต่งตัว นี่ก็เป็นแค่บอดี้การ์ดต่างชาติของลาตินกรุ๊ปคนหนึ่งเองไม่ใช่เหรอ” โจตงพูดสมทบขึ้นมา เห็นฮาเดสส่ายหน้า “หลินอิ่ง นี่ก็คือลูกน้องที่นายเรียกมาเหรอ? ไม่น่ายำเกรงเลย?”
สีหน้าฮาเดสไม่เปลี่ยน หันตัวมา บอดี้การ์ดต่างชาติที่สองสามคนที่อยู่ข้างๆ ก็เผยสีหน้าหวาดกลัว ก้มหน้าพูดจาเสียงเบาลง
ฮาเดสพยักหน้า เข้าใจแล้วว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร
เขามองไปยังโจวยู่ถานกับโจตง ถามว่า “พวกนายสองคนจะไล่ประธานหลินออกไปใช่ไหม?”
“นายอย่ามาเรียกประธานหลินอะไรหน่อยเลย ในสายตานายเขาเป็นประธานหลิน แต่ต่อหน้าฉัน เป็นแค่เศษสวะตัวเล็กๆ เท่านั้น” โจยู่ถานทำเป็นวางท่าพูด
“นายเป็นคนภายในลาตินกรุ๊ปสินะ? นี่เป็นนามบัตรฉัน เอาไปดูกัน” สีหน้าโจยู่ถานเชื่อมั่นโยนนามบัตรออกไป “ดูให้ชัดซะ ฉันคือรองประธานโจซื่อกรุ๊ป รับผิดชอบโครงการความร่วมมือกับลาตินกรุ๊ป เบื้องบนของลาตินกรุ๊ปพวกนายฉันรู้จักหมด!”
“ทางที่ดีนายไปถามหัวหน้านาย ว่าฉันเป็นใคร เข้าใจแล้วยัง?” โจยู่ถานทำท่าสูงส่งพูดจา
ฮาเดสเอาน้ำบัตรมาดูแว๊บหนึ่ง มุมปากเผยให้เห็นรสชาติของความโหดร้าย
“น่าเบื่อจริงๆ นึกไม่ถึงจะเรียกตัวกระจอกอย่างนี้มา เอาหัวหน้าบอดี้การ์ดมางัดข้อกับฉัน?” โจยู่ถานส่ายหน้าหัวเราะ “เศษสวะอย่างนายคงมีความสามารถแค่นี้สินะ? ช่างเป็นกบในกะลาจริงๆ แม้แต่เป็นบุคคลระดับไหนก็แยกไม่ออก”
“เอาล่ะ นายฮาเดสอะไรนี่ เห็นฐานะพวกเราชัดแล้วสินะ? แม้แต่ประธานบริษัทพวกนายยังต้องเกรงใจพวกเรา ลูกกระจ๊อกอย่างนาย ยังไม่ทำตามที่ฉันบอกอีก?” โจตงพูดอย่างเย่อหยิ่ง “รีบเอาเศษสวะหลินอิ่งนี่ออกไปทิ้ง ไม่อย่างนั้น ฉันโทรแค่กริ๊กเดียวก็ทำนายตกงานได้”
พวกเขาสองคนไม่ได้เห็นชาวต่างชาติที่ชื่อฮาเดสอยู่ในสายตา ก็แค่หัวหน้าบอดี้การ์ดลาตินกรุ๊ปไม่ใช่เหรอ? แม่งเอ้ย เป็นแค่คนยกน้ำชาเสิร์ฟน้ำเท่านั้นเอง หลินอิ่งนึกว่าตัวเองรู้จักคนร้ายกาจอะไรที่ไหน นึกไม่ถึงจะกล้าเรียกมาคุมสถานการณ์ ปรากฏเป็นเศษสวะเล่นกับเศษสวะด้วยกัน ของพรรค์เดียวกันมักอยู่รวมกัน
หลินอิ่งไม่พูดไม่จา สนใจแต่ดื่มน้ำชาอย่างเดียว สายตาของฮาเดสกลับดุร้ายขึ้นมา เดินสองก้าวเข้าไปใกล้โจยู่ถามทั้งสองคน
“หลินอิ่ง นายหูหนวกเหรอไง? คนโง่เง่า ข้าบอกให้แกไสหัวไปไง ไม่ได้ยินเหรอ?” โจตงเห็นหลินอิ่งสบายใจเฉิบอย่างนั้น เลยโมโหขึ้นมาอีกเรื่อง
“เศษสวะอย่างนายก็ควรมีท่าทางอย่างเศษสวะ เศษสวะที่ไม่มีเงินไม่มีอำนาจ คนอื่นสั่งให้นายไสหัวไปไอ้กระจอก รู้สึกถูกสบประมาทเหรอ? ฉันสั่งให้นายคุกเข่า นายต้องคุกเข่าลงเรียกฉันว่าประธานอาวุโสเข้าใจไหม?” โจยู่ถานตวาดด้วยความโกรธ อารมณ์ร้ายขึ้นมาแล้ว
จากสถานะของพวกเขา เมื่อเทียบกับบหลินอิ่ง หลินอิ่งต้องคุกเข่าลงพูดจาถึงจะสมเหตุผล แต่ยังกล้าทำท่าช่างมันออกมา?
ด่าหลินอิ่งจบ โจยู่ถานก็ยังไม่สะใจ ยังมองไปยังฮาเดสด้วยสายตาเย็นชา ตวาดว่า “แล้วก็นายโง่เง่าอีกคน สั่งให้ทำงานไม่ได้ยินเหรอ? ยังชักช้าอยู่นี่อีก? นายไม่อยากทำมาหากินแล้วเหรอ?”
เพี๊ยะ!
เสียงของเธอเพิ่งจบประโยค ฝ่ามือใหญ่ของฮาเดสก็ซัดไปที่ใบหน้า จนหน้าบวมเป่งขึ้นมาครึ่งหนึ่ง แม้แต่น้ำซุปน้ำแกงที่เพิ่งดื่มเข้าไปก็ทะลักออกมา ท่าทางกระเซอะกระเซิงน่าขำ
“นาย? นายจะกบฏใช่ไหม ไอ้ลูกกระจ๊อก!” โจยู่ถานโกรธด้วยความอับอาย ใบหน้าแดงก่ำมองดูฮาเดส
“ไอ้สุนัข กล้าลงมือเลยเหรอ?” ใบหน้าโจตงเต็มไปด้วยความโกรธ มองดูฮาเดสแม้แต่พี่สาวของเขาก็กล้าตบ จึงพุ่งเข้ามาจะแผ่บารมี ง้างมือขึ้นจะตบเข้าที่ฉาดหูของฮาเดส
มือของโจตงเพิ่งจะทิ้งตัวลง ฮาเดสก็ยกมือขึ้นคว้าข้อมือเขาไว้ บิดจนดังแกร่กๆ กระดูกข้อมือเหมือนจะแตกละเอียด
“อุก!”
โจตงส่งเสียงร้องเจ็บครวญคราง สีหน้าซีดเผือดร้องไม่หยุด ข้อมือที่ถูกฮาเดสจับเหมือนจะขาดอย่างนั้น ตัวสั่นไปทั้งตัวไม่หยุด
“นาย นายคิดจะทำอะไร? ฉันเป็นแขก VIP ของประธานอาวุโสบริษัทนายนะ นายกล้าทำร้ายฉันเชียวเหรอ?” โจตงพูดอย่างไม่น่าเชื่อ “นายงี่เง่า รู้ไหมว่าตัวเองทำอะไรอยู่?”
สีหน้าฮาเดสไร้ความรู้สึก เอาขายันไปที่เอวของโจตงพร้อมเสียงดังปัง ถีบจนเขาตีลังกา ล้มลงที่โต๊ะเหล้าอย่างแรง ไถลจนโต๊ะคว่ำ ล้มลงไปที่พื้นร้องโหยหวน คราวนี้กระดูกถูกเตะแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว
คราวนี้เสียงดังมาก แขกเหรื่อในงานต่างกรูกันมาล้อมวงดู พูดถึงสองคนนี้กันยกใหญ่
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
“เกิดอะไรขึ้น? นี่ไม่ใช่คุณหนูโจยู่ถานกับคุณชายโจตงไม่ใช่เหรอ?”
“ทำไมพวกเขาสองคนถึงถูกซ้อมจนเป็นอย่างนี้? อย่างนี้จะขายน่ากันเกินไปแล้ว?”
“ทุกท่าน เชิญทุกท่านนั่งประจำที่ สองคนนี้เขาก่อกวนงานของบริษัทเรา ผมจึงต้องจัดการเขาออกไป” ฮาเดสพูดด้วยท่าทางจริงจัง สีหน้ากวดขัน
“ก่อกวน?นี่ ตระกูลโจเกี่ยวข้องเป็นความร่วมมือกับลาตินกรุ๊ปไม่ใช่เหรอ? นึกไม่ถึงโจยู่ถานสองคนนี้จะได้รับการตอบแทนเช่นนี้? ดูท่าทางคงไปล่วงเกินลาตินกรุ๊ปเข้าแล้วสิ!”
“จึ๊ๆ ดูท่าทางตระกูลโจไม่ได้มีอำนาจอย่างที่คิดแล้วสินะ แล้วยังทำเป็นว่าตัวเองสูงส่งในแวดวงคนดัง”
หลังจากรู้เรื่องราวทั้งหมด คนที่มุงดูต่างทำเสียงจึ๊ๆ แปลกใจ วิจารณ์อย่างมีความสุขบนความเศร้าของคนอื่นจากนั้นสีหน้าของโจยู่ถานทั้งสองคนก็ละอายใจยิ่งนะ รู้สึกถึงความสบประมาทอย่างใหญ่หลวง มองไปยังหลินอิ่งกับฮาเดสอย่างไม่ยอม
“ตระกูลโจเราไม่ยอมลามือง่ายๆ แน่! บอดี้การ์ดเล็กๆ อย่างนายกล้าเล่นงานฉันเชียวเหรอ? เสร็จแน่นาย!” โจวยู่ถานพูดด้วยความเคียดแค้น เหมือนไม่ยอมแพ้ “แล้วก็นายหลินอิ่งไอ้เศษสวะ รอดูเถอะ……”
พวกเขาไม่รู้จริงๆ ว่าหลินอิ่งใช้ชั้นเชิงอะไร ถึงได้ให้บอดี้การ์ดภายในลาตินกรุ๊ป เล่นงานพวกเขาโดยไม่ห่วงฐานะตัวเอง เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ !
“ถ้ายังกล้าพูดจาเหลวไหลอีก จะให้พวกแกเป็นง่อยเลย!” ฮาเดสว่าด้วยความโมโห บ้าไปแล้ว เจ้าโง่สองคนนี้นึกไม่ถึงจะกล้าข่มขู่ประธานหลิน ไม่รู้จักตายเสียแล้ว
พูดจบ ฮาเดสก็เดินขึ้นไป มือข้างหนึ่งจับโจตง อีกข้างจับโจยู่ถาน เดินลากไปตามทางกับพื้น ไถออกไปข้างนอก
ทั้งสองคนต่อต้านไม่ได้ ได้แต่ร้องเจ็บปวดครวญคราง ทำขายหน้าไปถึงตระกูล
แขกเหรื่อที่ล้อมวงดู ถึงจะไม่รู้เรื่องราว แต่ก็พากันหัวเราะขึ้นมา