ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 245 แยกแยะลำดับความสำคัญ
บทที่ 245 แยกแยะลำดับความสำคัญ
“ถูกต้อง คนที่อยู่ข้างฉันก็คือจางฉีโม่” จูฟางเผยยิ้มแนะนำขึ้นมา “ในเมืองตุงไห่ของพวกเรา ฉีโม่เป็นคนดังในวงการอัญมณี ผลงานที่สะเทือนวงการอัญมณีของประเทศหลุงเมืองตงไห่ King of the world ก็มาจากการออบแบบของเธอ”
“อ้อ ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ”
“King of the world? เหมือนเคยได้ยิน เป็นจี้อันนั้นสินะ? ความคิดสร้างสรรค์การออกแบบไม่เลวเลย”
หนุ่มๆสาวๆที่อยู่ในงานต่างพูดกันขึ้นมา
“สวัสดีทุกคน” จางฉีโม่เผยยิ้มทักทาย
จากนั้น เธอกับหลินอิ่งก็หาที่นั่งนั่งลง คนที่นั่งอยู่ต่างส่งสายตามา มองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ฉีโม่ ฉันขอแนะนำให้เธอรู้จัก นี่คือคุณชายของผู้อำนวยการหลี่สำนักงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์เขตจงเทียนแห่งเมืองตี้จิง คนนั้นคือคุณหูแห่งบริษัทเครื่องประดับหูซื่อตี้จิง……” สีหน้าจูฟางเต็มไปด้วยความภูมิใจในตัวเอง แนะนำไปทีละคน พูดอย่างครึกครื้น ราวกับตัวเองได้หน้ามาก
“คนนี้ ขอแนะนำอย่างเอิกเกริกหน่อย สวีเหอ คุณชายสวี!” จูฟางทำท่าสอพลอ เน้นแนะนำชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ “ฉีโม่เธอไปสืบดูได้ ตระกูลสวีในตี้จิง คุณชายสวี เป็นคนของตระกูลสวีในเมืองตี้จิง”
“ตระกูลสวี?” ท่าทางจางฉีโม่ตำใจเล็กน้อย
แม้ว่าเธอจะไม่รู้จักแวดวงเศรษฐีในเมืองตี้จิงนัก แต่ชื่อเสียงของตระกูลสวีแห่งตี้จิงก็เคยได้ยินบ้าง นั่นก็คือตระกูลขุนนางใหญ่ระดับสูงที่บุกเบิกประเทศ
หนึ่งในห้าตระกูลเศรษฐีประเทศหลุง ก็มีตระกูลสวี ที่เป็นตระกูลชั้นสูง ดำรงอยู่เป็นตำนาน
“เรียบง่าย เรียบง่าย เรื่องของตระกูลสวี ผมไม่อยากพูดเยอะ” สวีเหอพูดด้วยความยินดีว่า “เรียกผมว่าประธานสวีก็พอ ผมเป็นผู้รับผิดชอบบริษัทเครื่องประดับสวีซื่อตี้จิง”
“ถูกต้อง ฉีโม่ นอกจากเขาจะเป็นคุณชายสวีแล้ว ยังเป็นผู้รับผิดชอบธุรกิจบริษัทเครื่องประดับสวีเจียตี้จิงด้วย ในด้านเครื่องประดับ เธอต้องพึ่งพาเขาให้มากๆ คิดจะขยายธุรกิจที่ตี้จิง ในวงการเครื่องประดับตี้จิง คุณชายสวีเป็นบุคคลใหญ่โตที่ข้ามไปไม่ได้” จูฟางพูดจาประจบประแจง “รู้ไว้นะ คุณชายสวีเขาร่วมรับประทานอาหารกับคนอื่นน้อยมาก ต้องดื่มคารวะคุณชายสวีมากๆ หน่อย”
“คุณชายสวี สวัสดีค่ะ” จางฉีโม่ทักทายด้วยความเกรงใจ
เธอไม่มีความประทับใจครั้งแรกในตัวสวีเหอเคย มีอย่างที่ไหนเห็นผู้หญิงครั้งแรก ก็จ้องไม่ปล่อย แล้วสายตายังจะฉาบฉวยอย่างนี้
สวีเหอทำท่านึกสนุก จับจ้องที่จางฉีโม่ไม่หยุด
ตัวเขาโดยรวมแล้ว หน้าตาถือว่าไม่เลว เพียงแต่สายตาดูถ่อย ลักษณะฉาบฉวย ท่าทางเหมือนมีแต่สุราหล่อเลี้ยงร่างกาย
“สวัสดีนะ คุณจางฉีโม่” สวีเหอทักทาย วางท่าพูด “ได้ยินพี่จูบอกว่า ครั้งนี้คุณมาร่วมงานเครื่องประดับที่ประเทศหลุง? อยากจะตีตลาดเมืองตี้จิง ในด้านนี้ล่ะก็ เป็นเรื่องเล็กมาก ผมสามารถจัดแจงให้คุณได้ ต่อไปมีปัญหาอะไรให้หาผมก็แล้วกัน”
“ฉีโม่ ดูท่าทางคุณชายสวีจะถูกใจเธอนะ” จูฟางรับลูกพูดต่อ “แค่คุณชายสวีพยักหน้า ในวงการเครื่องประดับแห่งเมืองตี้จิงนี้ มีธุรกิจนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว ยังไม่เอาเหล้ามาคารวะคุณชายสวีอีกล่ะ?”
สวีเหอเป็นคนตระกูลสวีในเมืองตี้จิงแต่กำเนิด ในด้านชื่อเสียงไม่ต้องพูดถึง สำหรับจูฟางที่แต่งเข้าตระกูลสายที่สองที่สามของเมืองตี้จิง นั่นคือเป้าหมายสำคัญในการประจบ
พูดเสร็จ จูฟางก็รินเหล้าขาวให้จางฉีโม่ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม กระตือรือร้นเต็มที่
การเผชิญเหล้าที่จูฟางส่งมาให้ สีหน้าจางฉีโม่ดูฉงน หลินอิ่งรับแก้วไวน์ไป พูดด้วยเสียงเรียบๆ “ฉีโม่ไม่ดื่มเหล้า ผมจะดื่มแทนเธอเอง”
“นี่เป็นเหล้าที่ไว้คารวะคุณชายสวี นายจะมาดื่มแทนเธอ? นายมีสิทธิ์อะไร?” จูฟางมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าไม่พอใจ รู้สึกเจ้าเศษสวะนี้กำลังหาเรื่อง สั่งไว้แล้วว่าไม่ให้พูด ไม่รู้ธรรมเนียมกันเลย
“ผมเคยบอกแล้วว่า ฉีโม่ไม่ดื่มเหล้า” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
สวีเหอสังเกตหลินอิ่งที่อยู่ข้างกายจางฉีโม่ มองตั้งแต่หัวจรดเท้า ท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย เอ่ยปากถามว่า “คนคนนี้เป็นใคร?”
“คุณชายสวี คนคนนี้เป็นเลขาฯ ผู้ช่วยของฉีโม่ ชื่อว่าหลินอิ่ง ไม่รู้ธรรมเนียม พูดจากไม่เป็น อย่าไปถือสาหาความเลย” จูฟางยิ้มตอบ แล้วยักคิ้วหลิ่วตาเป็นสัญญาณให้ฉีโม่ ว่าให้จางฉีโม่สั่งให้หลินอิ่งหุบปาก
คุณชายสวีสำหรับแขกต่างเมืองอย่างจางฉีโม่ ดูสูงส่งที่ไม่อาจจะไต่เต้าได้ แค่ธุรกิจเล็กๆ ที่เล็ดลอดจากง่ามนิ้วมือเขา ก็ทำให้ลูกค้าที่มาจากต่างถิ่นได้รวยเละ
การเผชิญหน้าของหลินอิ่งกับบุคคลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ยังจะมาวางท่ามีอำนาจ? เขานึกว่าตัวเองเป็นใครกัน หา?
แล้วยังจะเสนอหน้ามาดื่มแทน ช่างไม่รู้จักประมาณตนซะเลย
“เลขาฯ ผู้ช่วย?” สวีเหอไม่ค่อยชอบใจ สีหน้าไม่พอใจ “พอคนอย่างนี้เข้ามาได้อย่างไร? แล้วยังมาออกเสียงบนโต๊ะอาหาร? ที่นี่เป็นที่ที่ให้คุณพูดได้เหรอ?”
“ลุกขึ้นมา ไปยืนเสิร์ฟน้ำเสิร์ฟชา นั่นต่างหากเป็นเรื่องที่นายควรทำ” สวีเหอทำหน้าดุให้เกรงขาม ชี้ไปที่หลินอิ่งพลางว่ากล่าว วางท่าใหญ่โต
จางฉีโม่มีสีหน้าวิตกกังวล รีบพูดขึ้นมาว่า “คุณชายสวี ฉันเป็นคนไม่ดื่มเหล้าค่ะ หลินอิ่งเป็นสามีของฉัน ถ้าเป็นเรื่องดื่มเหล้า ให้เขาดื่มเป็นเพื่อนคุณเถอะ”
เธอกลัวว่าจะทำให้คุณชายสวีต้องขุ่นเคือง บุคคลเช่นนี้ไม่น่าประจบ แต่ก็ไม่น่าไปล่วงเกิน
“คุณฉีโม่ เขาเป็นสามีของคุณหรือ? งานของสามีคุณก็คือเป็นผู้ช่วยให้คุณเหรอครับ?” สวีเหอมองหลินอิ่งอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด
ในเวลานี้ ท่าทางจูฟางยิ้มเยาะ กระซิบข้างหูสวีเหอ ไม่รู้ว่าพูดอะไร
สวีเหอมองดูอากัปกิริยาของหลินอิ่งแล้วก็ยิ้มเยาะขึ้น
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” สวีเหอพูดอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ว่าแต่ ฉันดื่มแต่เหล้าของคุณฉีโม่ เหล้าของนาย ฉันไม่ดื่ม”
“หึ ให้ตาย คนอะไรกัน นึกว่าตัวเองเป็นใคร? เที่ยวมาขอชนแก้ว คุณชายสวีเขาจะดื่มเหรอ? ช่างไม่รู้จักฐานะตัวเองเอาซะเลย”
“คุณจางฉีโม่คนนั้นที่มาจากเมืองตุงไห่ ครั้งนี้คุณชายสวีเป็นเจ้ามือ อาหารโต๊ะนี้ราคากว่าแสน จงใจจัดเลี้ยงต้อนรับคุณโดยเฉพาะ คุณชายสวีให้เกียรติคุณขนาดนี้ คุณจะไม่รับไว้หรือ?”
พอเห็นสวีเหอพูดจาอย่างไม่ชอบใจ คนที่อยู่ในงานก็รีบช่วยพูดขึ้นมา
ด้วยความที่ สวีเหอเป็นบุคคลสำคัญในงานกินเลี้ยงครั้งนี้ ต่างจึงพากันหาทางเอาความชอบ
หลินอิ่งวางแก้วเหล้าลง มองไปยังสวีเหอ พูดว่า “ผมขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ฉีโม่เธอไม่ดื่มเหล้า ถ้าจะดื่ม ผมจะดื่มกับคุณเอง”
“หึ นายมันจะสักเท่าไหร่เชียว? เมื่อสักครู่พี่จูบอกฉันแล้ว ผู้ชายเศษสวะเกาะผู้หญิงกินอย่างนาย มีหน้ามาพูดจากับฉันบนโต๊ะอาหารด้วยเหรอ?” สวีเหอว่ากล่าวอย่างไม่เกรงใจ หน้าตายโสโอหัง
ผู้ชายเศษสวะอย่างหลินอิ่ง นึกไม่ถึงว่าจะมากินเลี้ยงงานของเขา? เขารู้สึกว่าเป็นความอัปยศมาก
“ถ้าธรรมเนียมแค่นี้ก็ไม่รู้ พวกคุณก็อย่าคิดจะทำธุรกิจอะไรในเมืองตี้จิงเลย กลับไปเมืองตุงไห่สถานที่บ้านนอกอย่างนั้นซะเถอะ” สวีเหอพูดจาเอื่อยเฉื่อย วางท่าใหญ่โต “แม้แต่ลำดับความสำคัญก็แยกแยะไม่ออก นายเห็นที่นี่เป็นเมืองตุงไห่หรือไง?”
หลินอิ่งมองไปยังฉีโม่ พูดว่า “ฉีโม่ พวกเราไปกันเถอะ งานกินเลี้ยงอย่างนี้ไม่เห็นจะน่ามาร่วมเลย”
เขาขี้เกียจสนใจธรรมเนียมบ้าบออะไรพวกนี้ คนไม่เหมือนคน กินแค่ข้าวเรื่องเยอะไม่น้อย
กินข้าวดื่มเหล้า ยังต้องแบ่งชนชั้น คิดว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ ต้องให้คนอื่นหมอบเลียเขาหรือไง?
ตื๊ดๆ
ในเวลานี้เอง มือถือของหลินอิ่งก็ดังขึ้น เป็นหยูจื๋อเฉิงโทรเข้า