ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 250 ข่าวของตระกูลเหวิน
บทที่ 250 ข่าวของตระกูลเหวิน
“ค่ะ คุณชายสวี ฉันจะจับตาดูสองสามีภรรยานั่นไว้ จากอิทธิพลของคุณ ถ้าจะรับมือกับเศษสวะหลินอิ่งนั่นจริงๆ มันก็เป็นแค่เรื่องเล็ก” จูฟางพูดด้วยท่าทางสอพลอ
ในใจของเธอ คิดว่าสวีเหอต่างหากที่เป็นเสาหลัก ไอเศษสวะหลินอิ่งไม่รู้ว่าไปประจบถังฮุยที่ไหนมา ก็แค่รู้จักบุคคลใหญ่โตเท่านั้นเอง จะมาสู้กับสวีเหอที่มาจากตระกูลตี้จิงได้อย่างไร?
เดี๋ยวรอกลับไปถึงเมืองตุงไห่ เจ้าหลินอิ่งก็ต้องคืนสู่สภาพเดิม สุดท้ายก็คือผู้ชายเศษสวะที่เกาะเมียกินเท่านั้นเอง
โชคดีที่ได้รู้จักบุคคลใหญ่โตอย่างถังฮุย แล้วอย่างไรล่ะ? อย่างมากก็เป็นสุนัขให้ถังฮุยเท่านั้นเอง?
“ดี พี่จู จัดการเรื่องนี้ให้ผมเรียบร้อย ธุรกิจทางบริษัทสามีคุณ ผมจะติดต่อช่องทางการค้าใหม่ให้” สวีเหอกล่าว
“ได้ เช่นนั้นก็ขอขอบคุณคุณชายสวีมากๆ” จูฟางพูดด้วยความยินดี
เธอทุ่มสุดตัวประจบประแจงสวีเหอ ก็เพราะในมือของสวีเหอกุมทรัพยากรวงการธุรกิจเอาไว้ สามารถช่วยเหลือบริษัทอัญมณีของครอบครัวเขาได้ แล้วเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์ได้โดยตรง
“จางฉีโม่กับสามีอีกไม่กี่วันจะไปร่วมงานเครื่องประดับเมืองตี้จิง ใช่ไหม? หึ ล่วงเกินฉัน แล้วยังคิดจะทำการค้าที่เมืองตี้จิง?” สวีเหอพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม เอามือถือออกมาโทร
เขาไม่สามารถทำอะไรถังฮุยได้ แต่ว่า บุคคลที่เขาพึ่งพาได้ในตระกูลสวี สามารถกดดันถังฮุยได้ในระดับหนึ่ง!
โดยเฉพาะพี่ใหญ่ฝ่ายพ่อที่มีอิทธิพลมาในตระกูลสวีคนนั้น แถมยังเป็นคนชอบเรื่องโลกีย์ ถ้าให้เขาเห็นฉีโม่หญิงสาวที่สวยงามหยดย้อย ต้องคิดหาทางลงมือแน่นอน
พอถึงเวลานั้น รอดูไอ้เศษสวะหลินอิ่งจะจัดการอย่างไร?
สวีเหอคิดแผนชั่วอยู่ในใจ สีหน้าค่อยๆ เผยยิ้มที่เย็นยะเยือกออกมา
ส่วนอีกด้านหนึ่ง หลินอิ่งภายใต้การนำทางของถังฮุย ขึ้นลิฟต์มาที่ห้องโถงที่หรูหราบนชั้น12
ชั้น12 เป็นหอประชุมของโรงแรมจงเทียน และก็เป็นสถานที่ที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ราวกับตำหนักทอง รอบด้านเป็นวัสดุที่แพงที่สุด กระทั่งผนังก็เป็นทองคำฝังหยก
ในเวลานี้เอง แนวทางเดินมีบอดี้การ์ดยืนเรียงแถวอย่างกวดขัน พอเห็นการมาของหลินอิ่งกับถังฮุย ต่างก็ทำความเคารพ
จางฉีโม่ทำท่าฉงนตามมาข้างหลัง รู้สึกถึงอำนาจนี้ยิ่งใหญ่มาก ราวกับเป็นสถานที่สำหรับบุคคลที่ยิ่งใหญ่อาศัยอยู่ ช่างโอ่อ่าเสียจริง
แล้วก็ไม่รู้ว่า เพื่อนของหลินอิ่งคนนี้คือใคร ดูช่างยิ่งใหญ่ในตี้จิงเหลือเกิน?
แค่ลำพังโรงแรมจงเทียนแห่งนี้ ในอาณาจักรตี้จิง มูลค่ากิจการแห่งนี้มีมูลค่ามหาศาลไม่จำกัด ถึงขั้นมีแต่เงินก็ไม่สามารถที่จะทำธุรกิจเช่นนี้ได้
“ท่านอิ่ง!”
ขณะเดินตามแนวทางเดิน หยูจื๋อเฉิงยืนรออยู่ที่หน้าประตูสำนักงาน โค้งคำนับทักทาย ตั้งใจรอการมาถึงของหลินอิ่ง
หลินอิ่งค่อยๆ พยักหน้า มองไปยังจางฉีโม่ พูดอย่างจริงจังว่า “ฉีโม่ คุณนั่งรอข้างนอกก่อน ผมจะคุยธุระกับเพื่อนหน่อย”
“ได้ค่ะ” จางฉีโม่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง นั่งรออยู่ที่โซฟา
เธอเห็นหลินอิ่งกับหยูจื๋อเฉิงหันหลังเข้าไปในห้องทำงาน ก็เท้าคางครุ่นคิด
ไม่นาน ถังฮุยก็พาบริกรสองคนเข็นรถอาหารมา นำขนมที่ประณีตบนรถเข็น ติ่มซำ น้ำซุป ผลไม้ วางไว้บนโต๊ะตรงหน้าจางฉีโม่
“ขอบคุณ” จางฉีโม่ตอบกลับอย่างเกรงใจ มองติ่มซำอันโอชะแต่ละจานที่ประณีตบนโต๊ะด้วยความฉงน
“คุณนายหลิน เชิญรับประทานขอรับ นี่เป็นสิ่งที่พวกเราผู้ใต้บังคับบัญชาควรทำ ไม่ต้องเกรงใจ” ถังฮุยกล่าวด้วยความนอบน้อม
คนผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้า เป็นถึงผู้มีชื่อเสียงสะท้านประเทศหลุง คุณผู้หญิงของฉีหยิ่นตระกูลฉีอยู่ยิ่่งใหญ่ เป็นลูกพี่ของลูกพี่อีกที จำเป็นต้องให้ความเคารพอยู่แล้ว
จางฉีโม่มีสีหน้าประหลาดใจ มีความรู้สึกปลื้มปริ่มที่พูดไม่ออก
ความรู้สึกที่ได้รับความเคารพอย่างจริงใจเช่นนี้ ไม่มีใครที่จะปฏิเสธ
เธอมองดูติ่มซำที่วางอยู่บนโต๊ะ มีทั้งสไตล์จีนแล้วก็สไตล์ตะวันตก รวมแล้วทั้งหมด20กว่าอย่าง วัตถุดิบที่ใช้ก็ค่อนข้างแพง เรียกว่าหรูหราเลยทีเดียว ถ้าคิดราคาอาหารตามโรงแรมจงเทียน โต๊ะนี้ก็ประมาณหลายหมื่นหยวน
“เอ่อ ประธานถัง นั่งลงทานด้วยกันสิ” จางฉีโม่พูดด้วยความเกรงใจ
“คุณนายหลิน โปรดอย่าได้เกรงใจผมเลย ผมเป็นแค่ลูกน้องของท่านอิ่ง โรงแรมนี้เป็นกิจการของท่านอิ่ง ถือซะว่ากลับบ้านตัวเองละกัน อย่าได้เกรงใจขอรับ” ถังฮุยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ได้ยินเสร็จ สายตาของจางฉีโม่ก็ส่องประกาย อดคิดถึงเงาของหลินอิ่งไม่ได้
โรงแรมจงเทียนเป็นกิจการของหลินอิ่ง?
แม้แต่ถังบุคคลที่มีอิทธิพลในเมืองตี้จิงเช่นนี้ ก็เป็นลูกน้องของเขา?
เวลานี้ในใจจางฉีโม่อยากรู้ตัวตนที่แท้จริงของหลินอิ่งมากกว่าสิ่งใด
เธอตามหลินอิ่งมาที่โรงแรมจงเทียน เรียกว่าได้รับปรนนิบัติแบบราชาเลย
ประธานผู้รับผิดชอบโรงแรมจงเทียนผู้ยิ่งใหญ่ ถังฮุย มาเป็นบริกรยกน้ำเสิร์ฟชาให้เอง แล้วยังมีบอดี้การ์ดอีกมากมายคอยคุ้มกัน เรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ของมหาเศรษฐีของตี้จิงก็ว่าได้
จางฉีโม่คิดแล้วคิดเล่า จึงลองสอบถามดู “อย่างนั้น ถังฮุย คุณรู้ที่มาที่ไปของหลินอิ่งไหม?”
“คือ……” ถังฮุยมีท่าทางสงสัย ไม่คิดว่าคุณนายหลินจะถามเช่นนี้
บอกตามตรง ถังฮุยก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของหลินอิ่งนัก รู้แต่ว่าเป็นฉีหยิ่นแห่งตระกูลฉี แน่นอน ความลับนี้ไม่สามารถบอกได้ ในเมืองตี้จิงมีแต่หยูจื๋อเฉิงคนผู้นี้ กับญาติของท่านอิ่ง ที่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของฉีหยิ่น
เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงครอบครัวท่านอิ่ง จะพูดไปเรื่อยได้อย่างไร? ขนาดท่านอิ่งยังไม่บอกคุณนายหลิน แล้วถังฮุยจะกล้าเล่าได้อย่างไร?
“คุณนายหลิน ค่อยๆ รับประทาน มีอะไรจะรับสั่งให้บอกผม” ถังฮุยพูดด้วยความเคารพ เปลี่ยนหัวข้อเรื่องแล้วขอตัวออกไป
จางฉีโม่คีบเต้าหู้ปลามาชิมหนึ่งชิ้น จิบน้ำชา จากนั้นปลายนิ้วเท้าคาง ทำท่าครุ่นคิดบางอย่าง
ส่วนอีกด้านหนึ่ง หลินอิ่งกับหยูจื๋อเฉิงก็เข้าไปในห้องทำงาน
หลินอิ่งนั่งลงอย่างสง่าผ่าเผย หยูจื๋อเฉิงยืนด้านข้างด้วยความเคารพ รอรับคำสั่ง
“หยูจื๋อเฉิง ในโทรศัพท์นายบอกฉันว่ามีข่าวของตระกูลเหวิน เรื่องราวเป็นอย่างไร?” หลินอิ่งเปิดประเด็นถาม
การมาเจอหยูจื๋อเฉิงในครั้งนี้ สิ่งสำคัญคือการถามถึงแหล่งข่าวให้ชัดเจน
หยูจื๋อเฉิงครุ่นคิดสักพัก เรียบเรียงความคิดเสร็จ ก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านอิ่ง ข่าวคราวของตระกูลเหวิน ผมได้รับแจ้งมาจากการสอดแนมที่วางตัวไว้ในเมืองตี้จิง มาจากปากเศษรฐีรายหนึ่งที่เดินทางจากเมืองก่างมายังเมืองตี้จิง”
“เศษรฐีเมืองก่าง?” หลินอิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ถามด้วยความสงสัย
“ถูกต้อง ความร่ำรวยของเศรษฐีรายนั้นก็ติดสิบอันดับแนวหน้าของเมืองก่าง มีอิทธิพลมากทีเดียว ผมเลยไม่ได้บุ่มบ่ามลงมือพาเขามาสอบสวน” หยูจื๋อเฉิงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ข่าวที่ได้ยินมา คือเศรษฐีคนนี้เมื่อก่อนเดิมทีเคยทำธุรกิจที่ลึกซึ้งกับตระกูลเหวิน การมาตี้จิงครั้งนี้ ยังรับช่องทางธุรกิจเมื่อก่อนของตระกูลเหวินด้วย ทำจนเป็นรูปเป็นร่าง เหมือนกับเป็นตัวแทนของตระกูลเหวิน”
“หึ คิดจะยืมร่างคืนวิญญาณสินะ?” หลินอิ่งแสยะยิ้ม สายตาส่อประกายเย็นชา