ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 266 เพื่อนเก่าขอความช่วยเหลือ
บทที่ 266 เพื่อนเก่าขอความช่วยเหลือ
“ก้มหน้า! ไม่มีทาง ผมต้องแก้แค้นเอาคืนแน่!” สวีชิงซงกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ แผดร้องคำรามราวกับคนเสียสติ
เขาไม่มีทางที่จะเลิกราไปทั้งอย่างนี้ หลินอิ่งถึงกับกล้าอาศัยอำนาจของหยูจื๋อเฉิงเหยียดหยามเขาขนาดนี้ เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาจนป่นปี้
“พอผมกลับไป ผมจะไปบอกเรื่องนี้กับพ่อ อิทธิพลของหยูจื๋อเฉิงใหญ่โต แต่ตระกูลสวีของเราก็ไม่ใช่พวกกินหญ้าเหมือนกัน พ่อผมจะต้องคิดหาวิธีช่วยผมแก้แค้นแน่!” สวีชิงซงกล่าวเสียงขรึม ในสมองเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่มีต่อหลินอิ่ง คิดแต่ว่าหลังกลับไปตระกูลสวี จะคิดหาวิธีแก้แค้นอย่างไร
เหยียนหลงกล่าวว่า “ชิงซง ฉันให้คนพานายไปส่งโรงพยาบาลก่อน ให้บาดแผลหายก่อนค่อยว่ากัน ทางด้านพ่อนาย ฉันจะไปทักทายเขาเหมือนกัน”
พูดจบ เหยียนหลงก็โบกมือ สั่งให้ลูกน้องสองสามคนพยุงสวีชิงซงขึ้นมา เตรียมพาส่งโรงพยาบาล
เห็นสภาพสวีชิงซงเลวร้ายเช่นนี้ เหยียนหลงก็ได้แต่ส่ายหน้าในใจ
น่าเวทนาเสียจริง ถูกคนทำให้ตกใจจนกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ คุกเข่าอ้อนวอนขอให้ยกโทษให้ ยังคิดจะแก้แค้นอย่างไรอีก?
ไม่รู้จริงๆ ว่า ตระกูลใหญ่โตอย่างตระกูลสวี ให้กำเนิดคนไร้ค่าเช่นนี้ออกมาได้ยัง
เหยียนหลงค้นพบเรื่องบางอย่างแล้ว รู้สึกว่าหลินอิ่งที่มาจากเมืองตุงไห่ ไม่ใช่ง่ายๆ อย่างที่แสดงออกอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นหยูจื๋อเฉิงจะก่อเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ได้ยังไง นำคนมาที่เขตเหยียนหวงเป็นกำลังเสริมให้หลินอิ่งด้วยตนเอง? ถึงขั้นไม่เสียดายที่จะยิงคุณชายรองตระกูลสวี
แต่ว่า เหยียนหลงก็ไม่กล้าไปตามสืบหลินอิ่งกับหยูจื๋อเฉิงเช่นกัน เพราะภัยจะมาถึงตัวอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะอย่างไรเขาก็เป็นคนยอมรับความพ่ายแพ้ วันนี้เสียเปรียบ ได้รับความอับอาย นั่นจึงทำได้เพียงอดทนกล้ำกลืน ได้แต่โทษที่โชคชะตาไม่เข้าข้าง มีหลานชายไม่เอาไหนอย่างสวีชิงซงเช่นนี้
……
ยี่สิบกว่านาทีให้หลัง ณ โรงแรมจงเทียน ห้องทำงานประธาน
หลินอิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ในมือถือชาแดงไว้ถ้วยหนึ่ง กำลังละเลียดชิมอย่างช้าๆ
“ท่านอิ่ง ขออภัยด้วยครับ ผมมาช้าไป คราวหลังหากคุณมีเรื่องอะไรอีก โทรบอกผมโดยตรงก็พอแล้ว” หยูจื๋อเฉิงกล่าวอย่างจริงจัง
หลินอิ่งกล่าว “ไม่ช้าหรอก เรื่องนี้ฉันไม่ได้คิดจะให้นายออกหน้าแต่แรกแล้ว ฉันให้นายไปสืบข่าวตระกูลเหวิน นั่นต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ”
ก่อนหน้านี้เขาถ่ายทอดให้หยูจื๋อเฉิงฟังแล้ว ให้หยูจื๋อเฉิงคอยเพ่งสมาธิไปกับเรื่องของจี้ฉงซาน ขุดข่าวของตระกูลเหวินออกมา
ดังนั้น กว่าหยูจื๋อเฉิงจะรู้ข่าวก็เป็นวันที่สองแล้ว จึงรีบรุดไปยังโรงแรมเหยียนซื่อที่เขตเหยียนหวงทันที
“ท่านอิ่ง ทางด้านจี้ฉงซานยังไม่แน่ชัดเท่าไหร่นัก แต่ผมคอยจับตาดูเขาอยู่ตลอด รอคอยโอกาส” หยูจื๋อเฉิงกล่าวอย่างจริงจัง
ในแต่ละวันจี้ฉงซานพักอยู่ในโรงแรมต้อนรับสภา ข้างกายมียอดฝีมือระดับสูงกลุ่มใหญ่คอยติดตาม มือหนึ่งเป็นระบบการเงินในประเทศ มือรองเป็นของเมืองตี้จิง มักดื่มชาทานข้าวด้วยกันบ่อยๆ คงไม่ดีนักหากจะลงมืออุ้มคน
หลินอิ่งพยักหน้า กล่าวว่า “จับตาดูจี้ฉงซานไว้ก็พอ รอจนกว่าเขาจะไปจากตี้จิงกลับเมืองก่าง ค่อยลงมือ”
“ครับ” หยูจื๋อเฉิงพยักหน้าอย่างนอบน้อม จากนั้นก็กล่าวว่า “ท่านอิ่ง ทางตระกูลสวีของตี้จิง ยังต้องจัดการอยู่ไหมครับ? บางทีบิดาของสวีชิงซง อาจจะมาหาผม”
“นายจัดการตามที่เห็นสมควรเถอะ ตระกูลสวี ไม่ต้องสนใจ” หลินอิ่งกล่าวเนิบๆ พลางจิบชาหนึ่งอึก
หลินอิ่งจะไปสนใจท่าทีของตระกูลสวีแห่งตี้จิงได้ยังไงกัน?
ตระกูลสวี ตระกูลฉี ตระกูลกงซุน และตระกูลนิ่งแห่งตี้จิง เป็นห้าตระกูลใหญ่แห่งตี้จิงตามลำดับ ถือเป็นการแบ่งชั้นอย่างหนึ่งก็ไม่ผิด
แต่ ตอนนั้นหลินอิ่งกระทั่งกงซุนฉงหลงยังกล้าปะทะต่อหน้ามาแล้ว แล้วเขาจะสนใจสวีชิงซงตัวเล็กๆ คนหนึ่งไปทำไม?
ควรรู้ว่า สวีชิงซงเป็นเพียงคุณชายรองของตระกูลสวี เป็นคนเสเพลคนหนึ่ง กระทั่งศูนย์กลางกลุ่มอำนาจของตระกูลสวีก็ยังเอื้อมไม่ถึง
ใคร่ครวญอยู่สักพัก หลินอิ่งก็มองไปทางถังฮุยที่อยู่ด้านข้าง ถามว่า “ถังฮุย ที่ฉันให้นายจัดการเรื่องบริษัทเครื่องประดับ จัดการไปถึงไหนแล้ว?”
ถังฮุยใคร่ครวญอยู่สักพัก ก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านอิ่ง จัดการเรียบร้อยหมดแล้วครับ บริษัทเครื่องประดับสามารถก่อตั้งได้ทุกเมื่อ แหล่งทรัพยากร กลุ่มวิชาชีพ ห่วงโซ่อสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเงินทุนทั้งหมดก็จัดการแล้ว ด้านอาคารสำนักงานใหญ่ ผมเลือกออกมาแล้วยี่สิบกว่าแห่ง หากคุณว่างล่ะก็ ผมไปดูสถานที่กับคุณได้ทุกเมื่อ”
“ดีมาก” หลินอิ่งพยักหน้า
เคยรับปากฉีโม่ว่าจะสร้างบริษัทเครื่องประดับสักแห่งให้เธอในตี้จิง แน่นอนว่าย่อมต้องคิดให้ถี่ถ้วนถึงไปจัดการ
มอบหมายเรื่องนี้ให้ถังฮุยไปจัดการติดต่อ ประสิทธิภาพถือว่าไม่เลว เพียงไม่นานก็จัดการได้เรียบร้อย
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ตอนเย็นนายเอาข้อมูลอาคารสำนักงานที่เลือกไว้ทั้งหมดมาให้ฉัน” หลินอิ่งกำชับถังฮุย
ทุกอย่างล้วนจัดวางได้อย่างเหมาะสม แค่ต้องเจียดเวลา ไปตี้จิงกับฉีโม่สักหลายรอบ ดูว่าฉีโม่พอใจอาคารไหน บริษัทเครื่องประดับฉีซื่อแห่งตี้จิงก็จะสามารถเข้าสู่ช่วงก่อตั้งอย่างเป็นทางการ
ครืดๆ
เวลานี้ จู่ๆ มือถือของหลินอิ่งก็ดังขึ้นมา
หลินอิ่งมองดูแวบหนึ่ง ถึงกับเป็นนิ่งซวนโทรมา
ตั้งแต่คราวนั้นที่นิ่งซวนถูกเบื้องบนของตระกูลนิ่งย้ายกลับจากเมืองตุงไห่มาอยู่ตี้จิง ก็ไม่ได้โทรหาตนเองอีกเลย
เพียงครั้งเดียว ที่ตนเองช่วยนิ่งซวนกล่าวเตือนนิ่งจองเป่าในโทรศัพท์ครั้งนั้น และเคยช่วยนิ่งซวนให้มีชีวิตที่ดีขึ้นบ้างตอนอยู่ในตระกูลนิ่งแห้งตี้จิง หลังจากนั้น นิ่งซวนก็เคยโทรมาขอบคุณ เล่าเรื่องของนิ่งไท่จี๋นายท่านของตระกูลนิ่งให้ฟัง
ตอนนั้นนิ่งซวนบอกว่านายท่านตระกูลนิ่งต้องการพบตนเอง ราวกับมีเรื่องใหญ่อะไรให้ช่วย เวลานั้นเพราะเรื่องทางกงซุนชิวอวี่ ตนเองจึงค่อนข้างยุ่ง ไปเที่ยวหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้ตามเรื่องอีก
กลับคิดไม่ถึงว่า เวลานี้นิ่งซวนจะเป็นฝ่ายโทรมา
ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง หลินอิ่งก็รับสาย
“ฮัลโหล ผู้อาวุโส กำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า ขอโทษที่โทรมารบกวนทางคุณนะครับ ผมนิ่งซวนเอง” ที่ปลายสาย นิ่งซวนใช้น้ำเสียงอย่างระมัดระวัง
หลินอิ่งกล่าวว่า “เรื่องอะไร พูดมา”
“ท่านอิ่ง ผม พักนี้ภายในตระกูลนิ่งเกิดปัญหาบางอย่างขึ้น ผมบังอาจขอความช่วยเหลือจากคุณ” นิ่งซวนพูดอย่างเคร่งเครียด
“หืม?” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่านิ่งซวนจะมาขอความช่วยเหลือจากตนเพราะพบเจอกับความยุ่งยาก ก่อนหน้านี้ก็เตือนนิ่งจองเป่าของตระกูลนิ่งไปแล้วไม่ใช่เหรอ? หรือว่าภายในตระกูลนิ่งยังมีคนสร้างความลำบากให้นิ่งซวนอีก?
“คืออย่างนี้ครับ ผู้อาวุโส ผมเองก็ไม่มีทางเลือกจริงๆ ถึงได้มาหาคุณ ตอนนี้ผมอยู่ตระกูลนิ่งด้วยความรู้สึกอึดอัด” นิ่งซวนพูดอย่างจริงจัง “ก่อนหน้านี้ พ่อผมถูกวงศ์ตระกูลส่งไปจัดการธุระที่ต่างประเทศ จู่ๆ ก็หายตัวไป ต่อมา ผมได้รับความกดดันและบีบคั้น ตอนนี้กระทั่งหน้าของนายท่านในบ้านก็ไม่ได้พบแล้ว และไม่รู้สถานการณ์ของนายท่านเลย ผมสงสัยว่าภายในตระกูลมีคนคิดจะกำจัดผม”