ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 330 ตระกูลสวีโกรธแค้น
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป
ท่าเรือขนส่งแม่น้ำตี้หวาง รถขับเข้ามาเป็นกลุ่มๆ บอดี้การ์ดชุดสูทเดินลงจากรถนับไม่ถ้วน ยืนกันเป็นแถว คนวัยกลางคนบุคลิกไม่ธรรมดาเดินลงจากรถ ค่อยๆเดินไปริมแม่น้ำ
คนที่มีอำนาจในตระกูลสวีต่างรีบมา ปิดกั้นท่าเรือจากภายนอกทันที
ชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบคนหนึ่ง มองดูเศษซากหักพังของเรือที่ลอยอยู่บนแม่น้ำ สูดหายใจเข้า สีหน้าเคร่งเครียด
“นี่ นี่มัน ใครกันแน่ กล้าลงมือกับตระกูลสวีขนาดนี้” ชายวัยกลางคนพูดเสียงเย็นชา สีหน้าเคร่งขรึม สายตาอาฆาต
ตัดทางหากิน เหมือนฆ่าพ่อแม่ ที่สำคัญเป็นเรือสินค้าร้อยลำ นี่มัน จะต้องตายกันไปข้างหนึ่งกับตระกูลสวี
วิธีการแบบนี้ คนที่ทำเรื่องแบบนี้ รนหาที่ตายชัดๆ
ยกเว้น คนคนนั้นมีความสามารถที่จะสู้กับตระกูลสวีได้
“พี่ใหญ่ ตระกูลสวีของเราถึงจะมีศัตรู แต่เป็นเพียงการแข่งขันทางธุรกิจ เรื่องผลประโยชน์ ผมคิดไม่ตก ไปมีเรื่องบาดหมางไว้กับใคร เข้ามาก็ตัดขาดหนทางทำมาหากินของตระกูลสวี” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ระหว่างที่ทั้งสองพูด คนอื่นที่อยู่รอบข้างต่างเงียบไม่พูด สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง มองดูเศษซากที่ลอยอยู่บนแม่น้ำ
ทุกคนในที่นี่ล้วนเป็นผู้มีอำนาจรุ่นที่สองของตระกูลสวี พอได้รับข่าว ก็รีบวางงานในมือ รีบมาที่ท่าเรือทันที
สวีฉางเฟิง ก็อยู่ในนี้ด้วย เขามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาตะลึง ในใจรู้สึกไม่ค่อยดี
สวีฉางเฟิงเดาในใจ อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็กลั้นไว้ พี่ใหญ่เขาสวีไป๋เห้อ คนที่เป็นผู้นำสูงสุดของตระกูลสวีอยู่ เขายังไม่มีสิทธิ์พูด
“ปิดข่าวนี้ก่อน เรื่องนี้ พวกเธอทุกคนอย่าเพิ่งเอาไปประกาศให้ข้างนอกรู้ บอกกับภายนอกว่า เป็นการทำงานขัดข้อง อุบัติเหตุน้ำมันระเบิด ธุรกิจขนส่งทางเรือของตระกูลสวี ยังคงทำงานปกติ” สวีไป๋เห้อสงบสติอารมณ์ พูดเสียงเรียบ
“ครับ”
ทุกคนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกัน ไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ
ในสถานการณ์เร่งด่วนแบบนี้ สวีไป๋เห้อซึ่งเป็นหัวหน้าของตระกูล มีอำนาจสูงสุด ที่จะตัดสินทุกอย่าง
“เรื่องนี้นายท่านรู้เรื่องแล้ว โมโหมาก บอกว่าต้องจัดการกับคนที่ทำเรื่องนี้ หั่นศพพันชิ้น เผาเป็นขี้เถ้า”
พูดไป สวีไป๋เห้อมองไปทุกคนในนี้ด้วยสายตาเย็นชา พูดว่า “พวกนายกลับไปคิดดู ช่วงนี้ ไปมีเรื่องกับผู้มีอำนาจคนไหนไหม?”
ผู้มีอำนาจของตระกูลวีทุกคน สีหน้าแปลกใจ ต่างก็ครุ่นคิด
ระดับพวกเขาเหล่านี้ เป็นไปได้ยังไงที่จะไม่มีศัตรู? แต่ในใจก็คิดไม่ออก ใครที่จะโหดขนาดนี้
อีกอย่าง ตระกูลสวีครั้งนี้เสียหายรุนแรง ระเบิดสินค้าเป็นหมื่นล้าน ตัดขาดทรัพยากรธุรกิจ ผลกระทบร้ายแรง แม้กระทั่งนายท่านก็โมโหรุนแรง ไม่มีใครกล้ายืนออกมาหาเรื่องใส่ตัวตอนนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เป็นอันสงบแน่
“ท่านครับ ผม ผมหาสิ่งนี้เจอในออฟฟิศควบคุมเรือในบริษัทครับ” ขณะที่บรรยากาศตื่นเต้น บอดี้การ์ดชุดสูทคนหนึ่งเดินมา ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ท่านครับ ยังมี แล้วก็ลูกน้องที่ผมให้เฝ้าท่าเรือ ตาย ตายหมดแล้ว…..” บอดี้การ์ดชุดสูทพูดด้วยเหงื่อท่วมหัว
สวีไป๋เห้อขมวดคิ้ว หยิบกระดาษนั้นมาดู หรี่ตาทันที
“ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เลือดต้องชำระด้วยเลือด ทำฉันหนึ่งคืบ เอาคืนร้อยเท่า”
ลงชื่อ ฉีหยิ่น
ตัวหนังสือบนกระดาษคมชัดเฉียบขาด เหมือนดั่งมีดที่มีชีวิต ดูจนสวีไป๋เห้อใจเต้นแรง
“ฉีหยิ่น? คนที่กลับสู่ตี้จิงคนนี้ ฉีหยิ่นแห่งตระกูลฉีที่ฆ่าล้างตระกูลเหวิน?” สวีไป๋เห้อสีหน้าเคร่งเครียด กำลังคิดอะไรบางอย่าง
พูดไป สายตาสวีไป๋เห้อก็เย็นชา เงยหน้ามองคนทุกในตระกูลสวี พูดอย่างเย็นชา “พวกเธอทุกคน ใคร? ไปหาเรื่องฉีหยิ่นแห่งตี้จิง?”
คำพูดนี้ออกไป สีหน้าสวีฉางเฟิงซีดไปทันที
ไม่คิดว่า จะเป็นฝีมือของฉีหยิ่น?
ผ่านไปแค่เท่าไหร่เอง? แค่เมื่อคืน เขากับเหยียนหลงเพิ่งส่งคนไปทุบโรงแรมจงเทียน วันนี้ก็ลงมือแล้ว?
นี่เพียงแค่จัดการกับลูกน้องของฉีหยิ่นหยูจื๋อเฉิงกับถังฮุยเท่านั้นเหรอ? ทำไมเรื่องใหญ่โตขนาดนี้?
สวีฉางเฟิงพบว่า ตัวเองดูถูกความโหดเหี้ยมของฉีหยิ่นเกินไป
แค่จัดการลูกน้องของฉีหยิ่นเท่านั้น แม้แต่พูดคุยเจรจา แจ้งเตือนก็ไม่มีแม้แต่น้อย แค่ลงมือ ก็ระเบิดขุมทรัพย์รากฐานของตระกูลสวี พฤติกรรมนี้บ้าคลั่งเกินไปไหม?
“คือ คือผม พี่ใหญ่ เมื่อคืนผมสั่งคนไปทุบโรงแรมจงเทียน” สวีฉางเฟิงพูดด้วยเสียงสั่น
คนที่อยู่ในสถานการณ์ตอนนี้เป็นคนมีอำนาจในตระกูลสวี ไม่มีคนที่อำนาจต่ำกว่าเขา เรื่องนี้ปิดปังไม่ได้แน่ สู้พูดออกมาดีกว่า
คำพูดสวีฉางเฟิงออกไป ทันใดนั้น คนของตระกูลสวีทุกคนหันมามองทันที ทำให้สวีฉางเฟิงกดดันอย่างรุนแรง
“แกไปทุบโรงแรมจงเทียน?” สวีไป๋เห้อสีหน้าเคร่งเครียด “โรงแรมจงเทียนเป็นของหยูจื๋อเฉิง เพราะเรื่องอะไร? ถึงต้องไปทำลายธุรกิจของหยูจื๋อเฉิง?”
สวีไป๋เห้อรู้สึกสงสัย เขารู้จักคนชื่อหยูจื๋อเฉิง เป็นตัวแทนของฉีหยิ่นในตี้จิง ตัวฉีหยิ่นเองลึกลับมาก ไม่เคยแสดงตัวให้เห็น
ถ้าลำพังแค่ทุบโรงแรมจงเทียน ธุรกิจสถานบันเทิงในนามของหยูจื๋อเฉิง ฉีหยิ่นก็แก้แค้นตระกูลสวีอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ ไม่ทักทายแม้แต่น้อย? คนคนนี้ โหดเกินไป บ้าคลั่งเกินไปแล้ว
“ครั้งก่อน ลูกชายผมสวีชิงซงมีเรื่องกับถังฮุยลูกน้องของหยูจื๋อเฉิง ลงมือกับลูกน้องของถังฮุย หยูจื๋อเฉิงก็ยิงชิงซงบาดเจ็บ พี่ใหญ่ ผม ผมก็เลยทนไม่ได้ จึงให้เหยียนหลงไปจัดการ” สวีฉางเฟิงพูดตามความจริง ไม่กล้าปิดปัง
สวีไป๋เห้อครุ่นคิด สีหน้าเคร่งเครียด
“สวีฉางเฟิง เรื่องนี้ ปัญหาที่แกสร้างขึ้นมา แกกล้าไปหาเรื่องฉีหยิ่น งั้นก็ต้องกล้าที่ไปรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด” สวีไป๋เห้อพูดเสียงเฉียบขาด “เรื่องนี้ ทุกคนจะไม่ใช้อำนาจช่วยแก แกหาวิธีแก้ปัญหาเอง”
“อีกอย่าง ทางด้านนายท่าน แกก็ไปอธิบายเอง”
“พี่ใหญ่ ผม…….” สวีฉางเฟิงสีหน้าไม่ดีจนสุดขีด ในใจรู้ดีว่าก่อเรื่องใหญ่โตแล้ว
ฉีหยิ่นฝีมือโหดขนาดนี้ ไม่มีใครคิดถึง ไม่กล้ามีใครไปรับมือ
ในใจสวีฉางเฟิงรู้ดี ครั้งแรกที่ลองมือกับฉีหยิ่น เขาก็แพ้อย่างย่อยยับ ถูกขุดอย่างหมดจด
ฝีมือทั้งสองคน มันคนละชั้นอย่างสิ้นดี ระดับฉีหยิ่นนี่มันระดับไหนกัน?
นี่มันเป็นการเตือนสำหรับตระกูลฉีทั้งตระกูล เป็นการกดดัน การแจ้งเตือน
ถ้าตัวเขารับไม่ไหว ตระกูลสวีก็อาจจะตัดสวีฉางเฟิงทิ้ง จากนี้ไปก็จะถูกตัดทิ้งจากตระกูล……..
“พี่ใหญ่ พี่ต้องช่วยผมนะ เรื่องนี้ ล้วนเป็นฉีหยิ่นทั้งนั้นที่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่” สวีฉางเฟิงสีหน้าหวาดกลัว พูดขอร้อง “ฉีหยิ่นระเบิดท่าเรือของตระกูลสวีทิ้ง พฤติกรรมอวดดีขนาดนี้ หรือว่าตระกูลสวีของเราจะให้เขารังแกแบบนี้เหรอ จะปล่อยไปแบบนี้เหรอ?”
ผู้มีอำนาจตระกูลสวีทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็มองสวีฉางเฟิงด้วยสีหน้าแววตาที่เย็นชา
ตระกูลสวีเกิดเรื่องใหญ่ ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่สวีฉางเฟิงก่อขึ้นมาเอง พวกเขาไม่ยอมไปช่วยแบกรับด้วย เพราะว่า ภายในตระกูลยังแข่งขันแย่งชิงกันเอง และการแย่งชิงผลประโยชน์
“ฉีหยิ่นทำรุนแรงขนาดนี้ ตระกูลสวีของเราไม่ปล่อยไว้แน่” สวีไป๋เห้อสีหน้าเย็นชา พูด “แต่ว่า เรื่องราวใหญ่โต ฉันก็ไม่กล้าตัดสินใจ กลับวิลล่าตงหลิงก่อน กลับไปรายงานนายท่านก่อน ประชุมผู้นำตระกูลทั้งหมด ดูว่านายท่านจะพูดยังไง”