ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 35 ปลดปล่อยความแค้น
บทที่ 35 ปลดปล่อยความแค้น
“ไม่รู้นะสิ ฟังน้ำเสียงของเจ้าสามดูเหมือนว่าเขาจะมาที่บ้านของเราเพื่อขอโทษจริงๆ” จางซิ่วเฟิงพูดอย่างงงงวย “ฉันไม่เคยเห็นเจ้าสามสุภาพกับฉันขนาดนี้มาก่อน ”
ลู่หย่าฮุ่ยขมวดคิ้ว มองไปที่ จางฉีโม่และถามว่า “ฉีโม่นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
จางฉีโม่ลังเลสักพัก และพูดอย่างจริงจังว่า “พ่อแม่จำได้ไหมว่าKing of the worldที่หนูออกแบบถูกขโมยไป”
“เรื่องนี้จางเถียนไห่เป็นคนว่าจ้างอยู่เบื้องหลัง และยังมีหลักฐานบันทึกเสียงอยู่ในมือของหนูอีก”
“อะไรนะ? ” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวด้วยความประหลาดใจ และจากนั้นก็โกรธมาก” จางเถียนไห่ไอ้เด็กเปรต! จางเถียนไห่เล่นกลอุบายแบบนี้ลับหลัง นี่เขาต้องการทำร้ายลูกถึงตายเลยใช่เหรอ!”
“หลักฐานเสียงบันทึกนั้นอยู่ที่ไหน? ลูกเอามาได้ยังไง? “ลู่หย่าฮุ่ยถามด้วยท่าทางสงสัย “ฉันคิดว่าเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทที่ใช้ความสัมพันธ์เพื่อแก้ไขปัญหานี้ คิดไม่ถึงว่าลูกจะเป็นคนเอาเครื่องประดับอัญมณีกลับมาได้เอง”
“เสียงบันทึกที่เป็นหลักฐานอยู่นี่ค่ะ” จางฉีโม่หยิบเครื่องบันทึกที่เป็นปากกาออกมา แล้วพูดช้าๆว่า “หลินอิ่งเป็นคนเอากลับมาค่ะ เครื่องบันทึกเสียงนี้เขาก็เป็นคนให้หนูค่ะ”
“หลินอิ่ง?” ลู่หย่าฮุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย “คนที่ขี้ขลาดตาขาวแบบนั้นมีความสามารถนี้ด้วยเหรอ?”
ขณะที่พูด ลู่หย่าฮุ่ยมองไปที่ประตูห้องของหลินอิ่งอย่างสงสัย และตะโกนว่า “หลินอิ่งออกมา!”
ในห้อง หลินอิ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ เขาค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้อง
“หลินอิ่ง ขอถามหน่อย King of the worldที่ฉีโม่ออกแบบ และยังมีปากกาบันทึกเสียงนี้นายเป็นคนหากลับมาเหรอ?”
ลู่หย่าฮุ่ยถามอย่างสงสัย
“ผมให้เพื่อนช่วยตามกลับมาครับ” หลินอิ่งตอบ
“เพื่อนแบบไหน? ทำงานอะไร?” ลู่หย่าฮุ่ยถาม
“นักสืบเอกชนครับ” หลินอิ่งตอบ
“แม่ค่ะ เรื่องนี้หลินอิ่งได้ช่วยไว้
และยังจ่ายค่าจ้างไปอีกหนึ่งแสน โชคดีที่เพื่อนของเขาหาเจอ ไม่งั้นล่ะก็ลำบากแย่เลยค่ะ” จางฉีโม่ตอบ
“ฮึ!” ลู่หย่าฮุ่ยเปล่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ “ฉีโม่ อย่าหลงกล ไอ้หลินอิ่งนะ ไอ้หมอนี่จะใจดีขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
“ยังให้เงินหนึ่งแสนอย่างไม่เสียดาย” ลู่หย่าฮุ่ย กล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ ฉันคิดว่าหลินอิ่งมีแผนอยู่ในใจ มิฉะนั้นเขาจะยินดีที่จะทุ่มทุนก้อนใหญ่ขนาดนี้เหรอ? ”
“อีกอย่าง หลินอิ่งไปเอาเงินมาจากไหนเยอะขนาดนั้น? ไม่ใช่เป็นเพราะไปที่บริษัทกับลูกแล้วได้ตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการมาเหรอ ถึงได้กำไรมหาศาลแบบนี้” ลู่หย่าฮุ่ยยังคงพูดคุยต่อ“ลูก แม่พูดไม่ผิดใช่ไหมหลินอิ่งทำเรื่องที่ไม่ดีอยู่ข้างนอก ต่อไปลูกต้องระวังเขาไว้นะ”
หลินอิ่งไม่มีอะไรจะพูด เขานั่งอยู่บนโซฟา และจุดบุหรี่
หลังจากที่ลู่หย่าฮุ่ยสั่งสอนหลินอิ่งแล้วเธอก้อเปิดเครื่องบันทึกเสียง
เนื้อหาของเสียงในเครื่องบันทึก ก็คือจางเถียนไห่เจรจากับหนูเรื่องที่จะไปขโมย รวมถึงวิธีที่จางเถียนไห่จะให้ความร่วมมือภายในบริษัทอย่างไร เขาได้นัดเวลาและสถานที่กับหนูเรียบร้อย ซึ่งเป็นหลักฐานสมบูรณ์ของอาชญากรรม
หลังจากฟังเสียงบันทึกแล้ว
ลู่หย่าฮุ่ยและจางซิ่วเฟิงมีสีหน้าที่โกรธมาก และรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
“จางเถียนไห่น่าเกลียดเกินไปละ! เขาจงใจจะทำให้ครอบครัวของเราล่มจมให้ได้!” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างโกรธเคือง
“ครอบครัวของเจ้าสามไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยความรู้สึกกลัว “นี่ถ้าโชคไม่ดี แมวตาบอดอย่างหลินอิ่งไปเจอหนูที่ตายแล้ว ครั้งนี้ฉีโม่คงเจอปัญหาใหญ่แน่”
“ใช่ แล้วครอบครัวของเจ้าสามรู้ได้อย่างไร?” จู่ๆลู่หย่าฮุ่ยก็ถาม
“หลินอิ่งส่งเสียงบันทึกไปให้ครอบครัวของจางเถียนไห่อีกชุดค่ะ” จางฉีโม่พูด
“อะไรนะ? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่คาดคิดเลยว่านายจะไม่ปรึกษากับพวกเราก่อน?” ลู่หย่าฮุ่ยมองไปที่หลินอิ่งอย่างม่พอใจ “ใครให้นายตัดสินใจเองโดยไม่ได้รับอนุญาต ไอ้ตัวสร้างปัญหา ถ้าครอบครัวเจ้าสามกลับมาแก้แค้น ก็มาแก้แค้นที่ครอบครัวของฉัน ยังไงซะนายก็จะปฏิเสธและไม่สนใจใช่ไหม?”
จางฉีโม่พูด “แม่ค่ะ ความคิดของหลินอิ่งก็คือจะสั่งสอนจางเถียนไห่ เมื่อก่อนครอบครัวของลุงสามได้ทำกับครอบครัวของเราไว้ ควรจะให้พวกเขาได้เห็นสีหน้าของพวกเราบ้าง ไม่งั้น ครอบครัวของลุงสามจะมาที่นี่เพื่อขอโทษได้ยังไงล่ะค่ะ?
“ฮึ!” ลู่หย่าฮุ่ยเปล่งเสียงออกจากลำคอด้วยความไม่พอใจ และมีอคติอย่างมากต่อหลินอิ่ง เธอยิ้มอย่างเย้ยหยันแล้วพูดว่า “เขาจะใจดีขนาดนี้เหรอ? แม่จะบอกให้นะ ลูก ไอ้เด็กคนนี้ร้ายกาจมากนะ เขาวางแผนอะไรไว้แม่จะไม่รู้เหรอ?”
“เขาต้องการใช้ชื่อเสียงของตระกูลของเราเพื่อทำให้ตระกูลของจางเถียนไห่เสียหาย และแม้ว่าจะมีอะไรผิดพลาดก็จะไม่เดือดร้อนมาถึงตัวเขาได้ ”
“หลินอิ่ง พูดออกมาสิ การเอาหลักฐานเสียงบันทึกครั้งนี้ นายได้ผลประโยชน์จากครอบครัวของจางเถียนไห่มาขนาดไหน ได้เงินมาเท่าไหร่?” ลู่หย่าฮุ่ยถามด้วยความสงสัย
หลินอิ่งตอบว่า “ผมไม่ได้พูดคุยกับครอบครัวของจางเถียนไห่ เสียงบันทึกอยู่ที่นี่ สมควรจัดการอย่างไร ก็แล้วแต่เจตนาของฉีโม่เลยครับ”
“ฮึ ถือว่านายเจียมตัว รู้ว่าตัวเองจัดการไม่ได้ แล้วให้พวกเรามาจัดการ” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างภูมิใจ “ครั้งนี้จุดอ่อนของครอบครัวเจ้าสามอยู่ในกำมือของเรา ต้องเอาคืนให้สาสม”
“หย่าฮุ่ย เธอก็ไม่ต้องดุหลินอิ่งแล้ว เขาสมควรได้รับเครดิตในครั้งนี้” จางซิ่วเฟิงพูดแทนหลินอิ่ง
ลู่หย่าฮุ่ยเหลือบมองไปที่ หลินอิ่งและพูดว่า “กินและนอนในบ้านของเรามานานกว่าสองปีแล้ว และในที่สุดเขาก็ทำตัวมีประโยชน์ได้บ้างในครั้งนี้ อย่างไรก็ตามถ้าไม่ใช่ฉีโม่ได้เป็นผู้อำนวยการ และให้เขาตามไปเป็นผู้ช่วย เขาจะหาเงินได้มากพอที่จะทำเรื่องนี้ได้เหรอ?”
“ดังนั้น ครั้งนี้จึงเป็นลูกสาวของเราที่มีความสามารถ และหลินอิ่งเป็นเพียงผู้ติดตามลูกสาวของเรา “ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“โอเค ไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว เราควรทำอย่างไรเมื่อเจ้าสามเข้ามา? “จางซิ่วเฟิงพูดด้วยสีหน้ากังวล “อูฐผอมตัวใหญ่กว่าม้า และบ้านเจ้าสามยังมีอำนาจ เราต้องจัดการกับเขาอย่างเหมาะสม”
ลู่หย่าฮุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย และหายไปในห้วงความคิด
ติ๊งต่อง
ขณะนั้นมกริ่งในบ้านก็เสียงดังขึ้น
“อั๋ย น้องห้านานมากแล้วนะที่ไม่ได้เจอกัน ช่วงนี้ครอบครัวสบาบดีใช่ไหม” จางหงซวนมีสีหน้ายิ้มแย้ม เดินเข้าบ้านอย่างเป็นกันเอง เหมือนคุยกันปกติในครอบครัว
นอกจากนี้เขายังถือกล่องของขวัญที่สวยงามสองกล่อง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหยกล้ำค่า
จางเถียนไห่มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความแค้น และตามหลังอย่างไม่พอใจ
“ช่วงนี้สบายดีใช่ไหมพี่สาม นั่งก่อนครับ ดื่มชากัน” จางซิ่วเฟิงดึงเก้ามาตัวหนึ่ง แล้วยื่นน้ำชาให้จางหงซวน
“น้องห้า ครั้งนี้เถียนไห่ทำตัวโง่จริงๆ หลงกลคนไม่ดีมาชักชวน นึกไม่ถึงว่าจะมายุ่งกับจิวเวลรี่ของบริษัท เกือบจะทำให้โครงการของฉีโม่ล่มไปแล้ว เฮ้อ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในครอบครัว ช่างโชคร้ายจริงๆ! ฉันต้องรับผิดชอบ น้องห้า ฉันต้องขอโทษด้วยนะ!” จางหงซวนกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงใจ
“หึ จางเถียนไห่ถูกคนข้างนอกชักชวนที่ไหนกันล่ะ? เรื่องนี้เขานั่นแหละเป็นคนบงการ เจตนาพุ่งเป้ามาที่ครอบครัวเรา!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างไม่เกรงใจ โดยไม่ไว้หน้าจางหงซวน
“น้องห้า น้องสะใภ้ พวกคุณอย่าคิดมากนะ พวกคุณก็เห็นเถียนไห่ตั้งแต่เล็กจนโต เขาจะมีจิตใจแบบนี้ได้ยังไง? ฉันก็คิดไม่ถึงจริงๆ ไอ้ลูกอกตัญญูคนนี้จะแอบไปทำเรื่องไร้มโนธรรมขนาดนี้” จางหงซวนดูเป็นทุกข์ จ้องเขม็งไปที่จางเถียนไห่ “ไอ้ลูกไม่รักดี ยังไม่มาขอโทษลุงห้ากับป้าห้าอีก และฉีโม่ด้วย !”
จางเถียนไห่หน้าแดง สีหน้าของเขาไม่เต็มใจ และเขาก็เดินก้มหน้าเข้ามา
“ลุงห้า ป้าห้า ฉีโม่ ผมขอโทษครับ ครั้งนี้ผมถูกครอบงำด้วยความคิดชั่วร้าย ขอให้พวกคุณให้อภัยให้ผมด้วย” จางเถียนไห่กัดฟันพูด น้ำเสียงเบาเหมือนเสียงของยุงที่กำลังบิน
ดูน้ำเสียงที่อ่อนลงของเจ้าสามและลูกชายแล้ว จางฉีโม่และครอบครัวรู้สึกสะใจมาก เมื่อก่อนพวกเขาถูกครอบครัวของเจ้าสามทำร้ายลับหลังนับครั้งไม่ถ้วน ครั้งนี้ถือว่าได้ปลดปล่อยความแค้นแล้ว