ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 36 คุกเข่าลง และขอโทษถึงจะได้
บทที่ 36 คุกเข่าลง และขอโทษถึงจะได้
“จางเถียนไห่ คุณช่วยพูดเสียงดังขึ้นอีกหน่อยได้ไหม? ฉันได้ยินไม่ชัดเลยว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่” หลินอิ่งนั่งอยู่บนโซฟา และพูดขึ้นอย่างสงบ
“คุณ!” จางเถียนไห่จ้องมองหลินอิ่งอย่างดุร้าย ความโกรธเต็มท้องแต่ไม่สามารถระบายออกมาได้
จางหงซวนเองก็เหลือบมองไปที่หลินอิ่งด้วยสายตาที่เย็นชา และมืดมน หากเป็นเวลาปกติคงจะตะโกนด่าทอไปนานแล้ว เพียงแต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ จึงทำได้แค่ทนเท่านั้น
“พูดเสียงดังหน่อย!” จางหงซวนกล่าวดุจางเถียนไห่
จางเถียนไห่ไม่เต็มใจ กำหมัดแน่นแล้วกัดฟันพูดขึ้น “ลุงห้า!ป้าห้า!ฉีโม่!ขอโทษครับ ครั้งนี้ผมผิดไปแล้ว! หวังว่าพวกคุณจะให้อภัยผม!”
ลู่หย่าฮุ่ยและจางซิ่วเฟิงหันไปมองหน้ากัน ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อจางหงซวนเห็นว่าครอบครัวของจางซิ่วเฟิงไม่มีท่าทีที่จะให้รับผิดชอบ บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาและพูดขึ้น “น้องห้า น้องสะใภ้ ฉันบอกแล้วใช่ไหมหละ เถียนไห่เด็กคนนี้นะถูกคนข้างนอกหมายหัวเข้าแล้วหละ ถึงได้ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้ออกมาได้ เพราะต่อหน้าพวกคุณ ก็ดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดี”
“นานมากแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้มาเที่ยวบ้านของนายน้องห้า มีของฝากเล็กๆน้อยๆมาด้วยสองชิ้น” จางหงซวนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม หยิบหยกขาวที่ถูกแกะสลักเป็นรูปสิงโตสองตัวออกมาจากกล่องของฝาก แล้ววางไว้บนโต๊ะ
สิงโตหยกขาวคู่นี้ ถูกแกะสลักอย่างประณีต เนื้อหยกคุณภาพดีมาก แค่ดูก็รู้ได้เลยว่าเป็นสินค้าที่มีราคาสูง
เดิมทีครอบครัวของจางซิ่วเฟิงก็เกิดในตระกูลหยกและอัญมณี แค่แวบเดียวก็มองออกแล้วว่า สิงโตหยกคู่นี้ มูลค่าอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 500,000
“พี่สาม นับเป็นเรื่องใหญ่แล้ว มาเที่ยวบ้านผม ทำไมต้องเอาของขวัญราคาแพงแบบนี้มาด้วย อันนี้ผมคงจะรับไว้ไม่ได้หรอก” จางซิ่วเฟิงพูดขึ้นอย่างเกรงใจ
“ไอ นี่มันน้ำใจเล็กๆน้อยๆเท่านั้น” จางหงซวนพูดขึ้น “ครั้งนี้เถียนไห่เด็กคนนี้ทำเรื่องที่ผิด เกือบจะส่งผลกระทบต่องานใหญ่ของฉีโม่ นี่ก็แทนคำขอโทษจากฉัน นายสมควรรับมันไว้”
“นี่……” จางซิ่วเฟิงสีหน้าท่าทางกังวล เหลือบไปมองลู่หย่าฮุ่ย
ลู่หย่าฮุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายในใจก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรจะรับมือกับจางหงซวนยังไง
“รองประธานจาง คุณคิดจะเอาของเล่นสองชิ้นนี้มา เพื่อไถ่โทษให้จางเถียนไห่ เหรอ?” หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างไม่สนใจ “ตอนนี้ฉีโม่เป็นถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรมอัญมณีของตุงไห่แล้ว ผลงานที่ออกแบบก็มีมูลค่ากว่าร้อยล้าน จะเหลียวแล่ของพวกนี้เหรอ?
จางหงซวนสีหน้าซีดเซียว อดไม่ได้อยากจะตบหลินอิ่งซักฝ่ามือ
เด็กคนนี้เรื่องเยอะจริงๆ! ก็แค่ลูกเขยที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น กล้าดียังไงมาสั่งสอนกันต่อหน้าเขา
“นี่ก็แค่การเพิ่มสีสันเท่านั้น” จางหงซวนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ฝืดเคือง “ครั้งนี้ฉีโม่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้อำนวยการบริษัท ฉันที่เป็นลุง ก็ควรจะแสดงความยินดีสักหน่อยเหมือนกัน”
“เงินหนึ่งล้านนี้ ก็ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับที่ฉีโม่ได้เลื่อนขั้นก็แล้วกัน! หวังว่าฉีโม่จะใจกว้าง อย่าได้เอาผิดกับเถียนไห่เด็กคนนี้เลย” จางหงซวนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม และว่างกล่องกระเป๋าที่ถือมาด้วยลงบนโต๊ะ
เขาเปิดกล่องออก ข้างในเต็มไปด้วยธนบัตรสีแดง ประมาณหลายปึก
“เถียนไห่ โชคดีที่นายยังเป็นพี่คนหนึ่ง นายดูสิว่าฉีโม่เก่งขนาดไหน อีกหน่อยนายควรจะเรียนรู้ไว้บ้าง อย่าเอาแต่ดื่มและสนุกไปวันๆ” จางหงซวนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ฉากนั้นหมดคำพูดแล้ว
คู่สามีภรรยาลู่หย่าฮุ่ย มองดูกองธนบัตรบนโต๊ะ ดวงตาสว่างวาบ หวั่นไหวเล็กน้อย
“ฉีโม่ เรื่องนี้ลุงสามไว้หน้ากันมากแล้ว ความจริงใจก็มากพอ ลูกจะว่ายังไง……” ลู่หย่าฮุ่ยเองก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ จึงถามความคิดเห็นของลูกสาว
จางฉีโม่สีหน้าเป็นกังวล และตัดสินใจไม่ได้เหมือนกัน และก็ไม่ได้หวั่นไหวกับเงินหนึ่งล้านนี้ แต่เพราะเธอไม่เข้าใจกับคนเหล่านี้เลย เดิมทีอยากจะให้บทเรียนที่รุนแรงกับจางเถียนไห่ แต่ก็รู้สึกกลัวครอบครัวของจางเถียนไห่จะแก้แค้นเล็กน้อย คิดบัญชีทีหลัง
จางหงซวนแบบหัวเราในใจ และถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เมื่อเห็นท่าทางว่าครอบครัวของ จางซิ่วเฟิงกำลังวางแผนที่จะประนีประนอม ตามที่ตัวเองได้คาดการณ์ไว้ บ้านเจ้าห้าชินกับความจนแล้ว แค่เอาเงินหนึ่งร้อยล้านมาวางไว้บนโต๊ะ ก็สามารถทำให้พวกเขาตาลายจนหาทิศเหนือไม่เจอแล้ว
ตราบใดที่วิกฤตนี้คลี่คลายลง อีกหน่อยก็ยังมีโอกาสให้เอาหน้าคืนมาได้
“รองประธานจาง คุณคิดว่าฉีโม่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อนหรือไง? แค่เงินหนึ่งร้อยล้านก็คิดจะยุติเหตุการณ์นี้? คุณรู้หรือไม่ว่าเครื่องประดับที่ถูกสลับชิ้นนั้นราคาเท่าไหร่?” หลินอิ่งนั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าเรียบเฉย และพูดขึ้นอย่างราบเรียบ
“เอาเงินแค่นี้ และสิงโตหยกของพวกคุณกลับไปเถอะ! ยังคงเป็นคำพูดเดิม ตอนนี้ฉีโม่เป็นถึงนักออกแบบเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงในเมืองตุงไห่แล้ว ไม่เหลียวแลของเล็กๆน้อยๆแค่นี้ของพวกคุณหรอก!”
“หลินอิ่ง!นาย!”
จางหงซวนโกรธมาก ลุกขึ้นยืนและจ้องไปที่หลินอิ่งอย่างรุนแรง พยายามครอบงำคนขี้ประจบคนนี้ด้วยออร่า แต่ว่าหลินอิ่งกลับไม่มีอาการหวาดกลัวเลยสักนิดอย่างผิดคาด
เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ใกล้จะจบลงแล้ว คนขี้ประจบคนนี้ก็ออกมาสร้างความเดือดร้อนอีก ไม่ช้าก็เร็วต้องหาโอกาสกำจัดเขา!
ก็แค่ลูกเขยขี้ประจบคนหนึ่งของตระกูลจางเท่านั้น กลับกล้าที่จะทะนงตนต่อหน้าตัวเองที่เป็นผู้อาวุโสของตระกูลจาง มันช่างโง่เขาจนไร้ทางรักษาแล้วจริงๆ
“น้องห้า น้องสะใภ้คำพูดของหลินอิ่งนี้ ใช่ความหมายของพวกคุณไหม?” จางหงซวนพูดขึ้นเสียงทุ้ม ที่ถูกหลินอิ่งทำให้โกรธ และรู้สึกไม่สามารถควบคุมได้เล็กน้อย “เมื่อไหร่กันที่ผู้อาวุโสคุยกัน แต่เขากลับพูดแทรกขึ้นมาได้?”
“นี่?” ลู่หย่าฮุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปสบตากับจางซิ่วเฟิง
หากเป็นเวลาปกติ ถ้าหลินอิ่งกล้าพูดแทรกขึ้นมาแบบนี้ เธอคงจะไม่เลือกปฏิบัติอย่างแน่นอน และด่าทอใส่หัวและใส่หน้าของหลินอิ่งโครมๆ ไปนานแล้ว
ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ สิ่งที่หลินอิ่งพูดก็ไม่ได้ผิดอะไรนิ ทำเอาเจ้าสามระเบิดความโกรธออกมาเลย
ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้น “พี่สาม เรื่องนี้เกิดขึ้นที่บริษัท ฉันกับซิ่วเฟิงเองก็ไม่รู้สถานการณ์ที่ชัดเจน คงจะต้องให้ฉีโม่เป็นคนตัดสินใจ หลินอิ่งเองก็เป็นผู้ช่วยของฉีโม่ สิ่งที่เขาพูด ก็จะต้องเป็นความหมายของฉีโม่แน่นอนอยู่แล้ว”
“ฉีโม่ ตอนเด็กๆ ลุงสามก็เคยอุ้มเธอนะ ดูสิพอเธอโตขึ้นมาแล้ว หรือว่าเธอไม่คิดจะไว้หน้าลุงสามสักหน่อยเลยเหรอ?” จางหงซวนพูดขึ้นอย่างเคร่งเครียดพร้อมกับเล่นไพ่ความสัมพันธ์
“เรื่องงานก็ต้องจัดการในส่วนของงานรองประธานจาง จางเถียนไห่พยายามที่จะละเมิดทรัพย์สินของบริษัท ผมคิดว่า พรุ่งนี้ผมจะส่งหลักฐานคลิปบันทึกเสียงนี้ให้กับคณะกรรมการ ให้ผู้ถือหุ้นและคณะกรรมการทุกคนได้ฟัง จากนั้นก็ให้คณะกรรมการตัดสินใจว่าจะจัดการกันอย่างไรต่อ” หลินอิ่งกล่าวอย่างลวก ๆ
ดวงตาทั้งสองข้างของจางหงซวนลุกเป็นไฟ มีกระทั้งจิตสังหารแล้ว อดกลั้นความโกรธไว้ไม่ให้ลุกขึ้นไปตบหลินอิ่ง
คำพูดของหลินอิ่งเป็นเหมือนมีดเล่มหนึ่งแทงเข้าไปในหัวใจของเขา นี่เป็นเหตุการณ์ที่เขากลัวว่าจะเกิดขึ้นมากที่สุด
จางหงซวนจ้องมองหลินอิ่งอย่างเยือกเย็น พูดขึ้นด้วยความโกรธ “แล้วตกลงนายต้องการอะไร?”
“ผมก็แค่รู้สึกว่าพวกคุณจริงใจไม่พอ” หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างราบเรียบ “เอาความจริงใจออกมาให้มากขึ้นอีกหน่อย ให้จางเถียนไห่คุกเข่าลง และขอโทษ”
“ให้ฉันคุกเข่าหาแม่แกสิ! ไอ่ขี้ประจบ ครั้งหน้าฉันจะจ้างคนไปกระทืบแก!” จางเถียนไห่ก่นด่า เส้นเลือดสีน้ำเงินปรากฏขึ้นบนหน้าผาก
“จิ๊ฉีโม่ พ่อแม่ พวกคุณเห็นหรือยัง จางเถียนไห่ก็เป็นซะอย่างนี้ พวกคุณคิดว่าควรจะให้อภัยเขาอยู่อีกไหม?” หลินอิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย
“หลินอิ่ง แกมันคางคกขึ้นวอ!” จางเถียนไห่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “แกไอ่ขี้ประจบยังจะกล้ามาท้าทายฉันอีก! คราวหน้าอย่าให้ฉันเจอนายได้อีกนะ!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรจะคุยแล้ว?” หลินอิ่งกล่าวอย่างง่ายดายและราบเรียบ หยิบแตงโมบนโต๊ะขึ้นมากินหนึ่งคำ
จางหงซวนถูกหลินอิ่งทำให้โกรธจนตัวสั่น หันไปก่นด่าจางเถียนไห่ “ไอลูกโง่ยังไม่รีบหุบปากอีก