ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 401 อยากจับเสือมือเปล่า?
จางฉีโม่มีความในใจมากมาย เดินเข้าไปในห้องรับแขก
ภายในห้องรับแขก มีแขกนั่งอยู่เต็มต่างเป็นตัวแทนของตระกูลจาง
นำโดยจางหงจูนกับจางหงซวน แม้แต่จางเถียนไห่กับจางจี้หนิงสองคนนี้ก็สีหน้าไม่พอใจ ในมือก็ถือของขวัญมาด้วย
“ฉีโม่ โถ่ ครั้งนี้ได้ยินมาว่าบริษัทของเธอขยายกิจการใหญ่ขึ้น ลุงก็เลยเอาของขวัญเพื่อมายินดีกับหนูเป็นพิเศษ ตระกูลจางของพวกเราก็มีคนเก่งแล้ว”
พอเห็นจางฉีโม่เข้ามา จางหงจูนก็ทำใบหน้ายิ้มแย้มอย่างประจบ พูดด้วยน้ำเสียงเคารพ
“ฉีโม่ ได้ยินว่าหนูไปเปิดบริษัทสาขาที่ตี้เจียง บริษัทขยายได้ยิ่งอยู่ยิ่งใหญ่แล้วนะ ยินดีด้วยจริงๆ” จางหงซวนสีหน้ายิ้มแย้ม ทำเสมือนยินดีอย่างเต็มใจ
ถ้าไม่รู้ว่าสองคนนี้หาเรื่องครอบครัวจางฉีโม่อยู่ประจำ จากท่าทางพฤติกรรมของเขาสองคนตอนนี้ คงจะคิดว่าเมื่อก่อนพวกเขากับครอบครัวจางฉีโม่รักใคร่กันดี ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาดีมาก
“ใช่แล้ว ฉีโม่ ครั้งนี้หนูก็ทำให้ตระกูลจางของพวกเรามีหน้ามีตาไปด้วย ตอนนี้ในเมืองชิงหยูนมีใครบ้างที่ไม่รู้จักตระกูลจางของเรา มีคนมีชื่อเสียงอันดับหนึ่งแห่งวงการเครื่องประดับอย่างจางฉีโม่?”
“เสียดายที่นายท่านไม่อยู่แล้ว ถ้าท่านรู้ว่าฉีโม่ขยายธุรกิจเครื่องประดับของตระกูลจางไปไกลถึงตี้จิง ชื่อเสียงติดอันดับเครื่องประดับของประเทศ ต้องดีใจมากแน่ๆ”
“ตระกูลจางของเราถือว่ามีคนเก่งแล้ว ฉีโม่ หนูนี่เป็นหน้าเป็นตาของตระกูลจางเราเลยนะ เป็นคนที่เก่งที่สุดเลย”
ผู้อาวุโสของตระกูลจางที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็พูดจาชื่นชมประจบประแจงกันอย่างยิ้มแย้ม
พวกเขาทุกคน ต่างก็มองจางฉีโม่ด้วยท่าทางรักใคร่ ต่างก็แสดงสีหน้าชื่นชมและภาคภูมิใจ
เห็นภาพนี้แล้ว จางฉีโม่ไม่รู้สึกอะไรเลย สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
เธอถึงขั้นรู้สึกคลื่นไส้ อยากอาเจียน
เพราะว่า คนตระกูลจางที่อยู่ในนี้ เธอยังจำได้อย่างแม่นยำ
ครั้งที่แล้วก่อนที่จะไปตี้จิงกับหลินอิ่ง คนตระกูลจางที่อยู่ในนี้ ในงานเลี้ยงเปิดงานบริษัทเครื่องประดับจางซื่อใหม่ที่จัดโดยจางหงจูน ก็หาเรื่องครอบครัวเธอสารพัด ดูถูกเหยียบหยามว่าร้ายต่างๆนานา
หน้าตาของแต่ละคน เคยชั่วร้าย ดูหมิ่น เหยียดหยามครอบครัวเธอขนาดไหน บอกว่าเธอไม่คู่ควรในการดูแลบริษัทจางซื่อ
ตอนนั้น จางฉีโม่ยังเคยหวังดี ตั้งอกตั้งใจที่จะเจรจาเรื่องบริษัทเครื่องประดับจางซื่อกับพวกเขา
ปรากฏว่า สิ่งที่ได้กลับมาคือความดูถูกเหยียดหยาม
ทุกคน ต่างรู้สึกว่าเธอไม่คู่ควรกับบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ ยังเพิ่มราคาขึ้นเรื่อยๆ ต่างพายื่นข้อเสนอที่สูงขึ้น
จนกระทั่งเอาพินัยกรรมที่นายท่านทิ้งไว้มาเอาเรื่องเอาราวกับเธอ จะสู้คดีกับเธอเพื่อแย่งชิงชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ
ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือจากหลินอิ่ง ทำให้เธอสามารถเปิดบริษัทเครื่องประดับที่ตี้จิงได้ และเพิ่มเงินลงทุนเข้าไป
ไม่อย่างนั้น บริษัทเครื่องประดับจางซื่อ คงถูกพวกคนตระกูลจางพวกนี้ทำจนล้มละลายไปนานแล้ว
วันนี้ พอเห็นว่าบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อมีชื่อเสียงใหญ่โต ก็อยากให้เธอเปลี่ยนมาใช้ชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อใหม่?
น่าตลกสิ้นดี
“ฉีโม่ ทำไมไม่พูดละ? แสดงความเห็นหน่อยซิ ลูกดูซิ ทุกคนต่างมาแสดงความยินดีอย่างจริงใจ เอาของขวัญมาเยี่ยมด้วย” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างพอใจ หน้าบานรู้สึกมีหน้ามีตา
จางฉีโม่ไม่พูด สีหน้าเรียบเฉย ในใจไร้ความรู้สึก
“ฉีโม่ ตระกูลจางของพวกเราประชุม เจรจาตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ตัดสินใจว่า จะเอาชื่อของบริษัทเครื่องประดับจางชื่อให้หนู หนูก็เปลี่ยนชื่อบริษัทกลับมาละกัน ทุกคนต่างยอมช่วยเหลือบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ” จางหงจูนพูดจริงจัง
“ใช่ ฉีโม่ คนของตระกูลจาง ตอนนี้ยินยอมให้ครอบครัวเธอมาควบคุมดูแลจางซื่อ” จางหงจูนก็เปิดปากพูดด้วย “ขอแค่พวกเธอเปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็นจางซื่อ ให้ทุกคนเข้าร่วมมีหุ้นส่วน ถ้าอย่างนั้น ต่อจากนี้ เจ้าบ้านตระกูลจางเมืองชิงหยูน ก็คือพ่อของเธอแล้วนะฉีโม่”
“เจ้าบ้านตระกูล?”
ได้ยินตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูล แววตาจางซิ่วเฟิงกับลู่หย่าฮุ่ยก็เป็นประกาย สีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันที
นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาสองคนไม่กล้าแม้แต่จะคิด
ในตระกูลจาง ก็มีแต่ครอบครัวตัวเองที่ใช้ชีวิตได้ลำบากกว่าคนอื่น เป็นครอบครัวที่แย่ที่สุด อีกอย่างยังเป็นเพราะมีลูกเขยไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่ง ทำให้อับอายขายหน้า เงยหน้าไม่ขึ้นแม้แต่นิดเดียวในตระกูลจาง
ทุกวันนี้ ธุรกิจพัฒนาได้ดี เจริญก้าวหน้า ตระกูลจางจะมายกย่องครอบครัวตัวเอง ให้จางซิ่วเฟิงขึ้นมาอยู่ตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูล?
นี่มันเป็นเรื่องที่พลิกผันขึ้นมาเป็นเจ้านายคนแล้ว
ได้ระบายอารมณ์ที่สะสมมานานหลายปี
“ฉีโม่ ดูซิ ครั้งนี้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลจางหมด พวกลุงใหญ่ลุงสามต่างก็มาด้วยความจริงใจขนาดนี้ ยังเอาของขวัญชิ้นใหญ่มาให้บ้านเรา” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่ว่า ลูกก็ตอบตกลงไปเลย ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่เปลี่ยนมาใช้ชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อแค่นั้นเอง”
เท่าที่ลู่หย่าฮุ่ยคิดแล้ว นี่ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร แค่ใช้ชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ ก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี อย่างมากก็แค่ให้คนตระกูลจางได้พึ่งบารมีหน่อย ได้มีส่วนแบ่งในเงินปันผลของทุกปีเท่านั้น
“ใช่ ฉีโม่ แม่เธอพูดถูก ต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน บริษัทเครื่องประดับจางซื่อเป็นชื่อที่นายท่านเป็นคนสืบทอดลงมา จะทิ้งมันไปไม่ได้” จางซิ่วเฟิงพูดสีหน้าจริงจัง “ก็แค่เปลี่ยนชื่อบริษัท ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เธอก็ฟังคำพูดพ่อแม่ ให้เธอเป็นคนตัดสินสักครั้ง เปลี่ยนชื่อบริษัทเลย”
จางฉีโม่ฟังแล้วรู้สึกปวดหัว พ่อแม่ทำไมถึงได้หูเบาขนาดนี้ แล้วก็หลงใหลในชื่อเสียงจอมปลอม
พ่อแม่ไม่รู้ความหนักเบาของเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เข้าใจใจความสำคัญของเรื่องนี้เลย
จะเปลี่ยนชื่อบริษัท เป็นเรื่องสำคัญมากในการตัดสินใจของการดำเนินกิจการ ตอนแรกที่เปลี่ยนเป็นชื่อเครื่องประดับฉีซื่อ ทำให้มีชื่อเสียงขึ้นมาในตี้จิง และสร้างเมืองค้าขายเครื่องประดับขึ้นที่จงเทียนซิงเฉิง ตั้งเป้าหมายการพัฒนาเข้าสู่ตลาดสากลระดับโลก
ชื่อเสียงนี้ หลินอิ่งสร้างขึ้นด้วยเงินทุนมหาศาล ใช้ความสัมพันธ์ทางธุรกิจมากมาย ถึงได้มีผลลัพธ์การโฆษณาอย่างทุกวันนี้
ตอนนี้ พวกคนตระกูลจางไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ก็จะมาเปลี่ยนชื่อบริษัท?
พอเปลี่ยนชื่อบริษัท พวกเขาก็จะเอาพินัยกรรมคำสั่งเสียของนายท่านมาสร้างเรื่อง อ้างเรื่องชื่อเสียง? ขอแบ่งเงินปันผล?
“พ่อ แม่ ลืมแล้วเหรอ ตอนนั้นพวกเขารังเกียจบ้านเราขนาดไหน? ตอนเปิดบริษัทเครื่องประดับจางซื่อใหม่ พ่อพูดบังคับให้ดื่มเหล้าจนเมาหัวราน้ำ?” จางฉีโม่พูดเสียงเรียบ
ประสบการณ์การทำธุรกิจมาเป็นเวลานานของจางฉีโม่ ไม่ใช่ลูกสาวที่เชื่อฟังที่ถูกพ่อแม่ตัดสินใจแทนทุกอย่างแล้ว
เธอไม่มีวันเปลี่ยนชื่อบริษัทกลับไปเป็นจางซื่อเด็ดขาด
ต้องรู้ว่า ชื่อบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อ หลินอิ่งเป็นคนตั้ง สร้างขึ้นมาด้วยมือหลินอิ่ง มีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับเธอ
จางซิ่วเฟิงกับลู่หย่าฮุ่ยสีหน้าไม่ค่อยดี คิดไม่ถึงว่าลูกสาวจะคัดค้านความคิดเห็นของพวกเขา