ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 472 ยิ่งอยู่ยิ่งหนัก
“ฉันมาทำไม?” จ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าดูถูก พูดเสียงเย็นชา “ฉันก็มาดูเรื่องตลกของครอบครัวพวกเธอไง”
“ฉันก็อยากให้ครอบครัวเธอรู้ ฉันแค่กระดิกนิ้วนิดหน่อย ก็ทำให้เธอจางฉีโม่ ล้มละลายไม่เหลืออะไรเลย” จ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ พูดอย่างยโส “จางฉีโม่ ตอนนี้เธอรู้หรือยัง? ว่าเธอกับฉันมันต่างกัน ก็เหมือนกับหงส์บนฟ้ากับไก่ป่า”
จ้าวหลินเอ๋อร์พูดประโยชน์นี้ไปด้วยสีหน้าได้ใจ สะบัดมืออย่างยโส
“ไปบอกพวกเขาที ว่าคฤหาสน์หลังนี้เป็นของใคร”
“ครับ คุณจ้าว”
ชายหนุ่มของเสว่หลงกรุ๊ป มองครอบครัวจางฉีโม่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หยิบเอกสารออกมาหลายฉบับสีหน้าจริงจัง โยนไปที่โต๊ะอาหาร
พูดอย่างจริงจัง “คุณจางฉีโม่ คฤหาสน์หลังนี้ในวิลล่าหิมะมังกร อยู่ในนามของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ วันนี้ บริษัทเครื่องประดับของคุณอยู่ในสถานะล้มละลาย บริษัทของเราได้ยื่นเรื่องกับฝ่ายกฎหมายเมืองชิงหยูนแล้ว ทำตามขั้นตอนกฎหมายทุกอย่าง ทำการขายคฤหาสน์หลังนี้แล้ว”
“ส่วนผู้ซื้อ ก็คือคุณจ้าวหลินเอ๋อร์”
“ดังนั้น คฤหาสน์ที่พวกคุณกำลังอยู่นี้ เป็นของคุณจ้าว ตามคำขอของเจ้าของบ้าน เชิญพวกคุณย้ายออกไปจากวิลล่าหิมะมังกรเดี๋ยวนี้”
“อะไรนะ เธอซื้อคฤหาสน์ของครอบครัวเรา? เป็นไปได้ยังไง?”
ลู่หย่าฮุ่ยมองหน้าจ้าวหลินเอ๋อร์อย่างไม่อยากเชื่อ สายตาตกตะลึง รีบหันไปมองจางฉีโม่
“ลูก นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
จางฉีโม่สีหน้าไม่ดี มองหน้าจ้างหลินเอ๋อร์อย่างเคียดแค้น
“แม่ การเงินของบริษัทมีปัญหานิดหน่อย” จางฉีโม่พูด
“หา? ทำไมปัญหาถึงใหญ่โตขนาดนี้?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างตกใจ “ทำไมแม้แต่คฤหาสน์ขอถูกสำนักงานกฎหมายเอาไปประมูลขายแล้ว?”
ลู่หย่าฮุ่ยเคยได้ยินก่อนหน้านี้ ว่าบริษัทขอลูกสาวเกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย
แต่ว่า คิดไม่ถึงว่าจะมาถึงขั้นนี้แล้ว
ผู้หญิงแซ่จ้าวคนนี้ โหดร้ายเกินไปแล้ว?
นี่จะบีบให้ครอบครัวของพวกเขาหมดหนทาง?
“ถ้าอย่างนั้น คฤหาสน์หลังนี้ขายได้เท่าไหร่? ผู้หญิงคนนี้ใช้เงินเท่าไหร่? ทำไมพวกเราไม่เห็นเงินเลย?” ลู่หย่าฮุ่ยถามอย่างสงสัย
จางฉีโม่ถอนหายใจ ไม่รู้จะอธิบายยังไง
ขั้นตอนทางธุรกิจพวกนี้ แม่เธอลู่หย่าฮุ่ยไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ความสนใจอยู่แค่เรื่องจำนวนเงิน
“เหอะเหอะ เท่าไหร่?” จ้าวหลินเอ๋อร์หัวเราะเย็นชา “ฉันมาบอกพวกเธอละกัน คฤหาสน์หลังนี้ ราคาสองร้อยแปดสิบล้าน ฉันซื้อมาแล้วในจำนวนนี้ไม่ขาดสักบาท”
“ส่วนเงินนี้ ได้เอาไปช่วยปัญหาการเงินของบริษัทเครื่องประดับของพวกคุณแล้ว” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างเชื่องช้า “บริษัทเครื่องประดับของพวกคุณ ติดหนี้สินมากมาย หลุมใหญ่โตขนาดนั้น เติมยังไงก็เติมไม่เต็มแล้ว”
“จางฉีโม่ ตอนนี้เธอรู้แล้วซินะ? ไม่มีหลินอิ่ง เธออะไรก็ไม่ใช่ แม้แต่คฤหาสน์หลังนี้ หลินอิ่งก็เป็นคนซื้อให้เธอ อย่าโทษฉันว่าโหดเกินไป ฉันก็แค่เก็บทรัพย์สินของตระกูลฉันคืนมา”
ในใจจ้าวหลินเอ๋อร์ คิดว่าตัวเองเป็นภรรยาตัวจริงของหลินอิ่งไปแล้ว
จางฉีโม่มีวันนี้ได้ ล้วนพึ่งพาอำนาจความสามารถของหลินอิ่ง หลินอิ่งเป็นคนให้ทุกอย่างกับจางฉีโม่
แต่ว่า เธอจ้าวหลินเอ๋อร์ถึงจะเป็นภรรยาที่ตัวจริงของหลินอิ่ง ไม่มียอมให้ผู้ชายของตัวเอง ช่วยเหลือผู้หญิงคนอื่นอยู่ข้างนอกเด็ดขาด
ดังนั้น จ้าวหลินเอ๋อร์ไม่รู้สึกแม้แต่น้อย ว่าเรื่องที่ตัวเองทำนั้นไม่เหมาะสม
“อะไร? หลินอิ่ง? อะไรปัญหาการเงินของบริษัท?”
ลู่หย่าฮุ่ยกับจางซิ่วเฟิงหน้างงไปหมด
พวกเขาสองคนไม่เข้าใจเรื่องทางธุรกิจเลยแม้แต่น้อย
รู้แค่ว่าบริษัทของลูกสาวตัวเองยิ่งทำยิ่งใหญ่ ยิ่งอยู่ยิ่งรวย
แค่ฟังคฤหาสน์ราคาสองร้อยล้านถูกประมูลขายไปแล้ว ถูกเอาไปช่วยเหลือปัญหาการเงินบริษัท แค่คิดก็เหมือนอยากกระอักเลือด
สำหรับเรื่องที่ว่าลูกสาวตัวเองพึ่งพาหลินอิ่งทั้งหมด?
ให้ตายลู่หย่าฮุ่ยก็ไม่มีวันเชื่อ ลูกสาวตัวเองพึ่งพาไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งนั่นทั้งหมด? ผู้หญิงแซ่จ้าวคนนี้ พูดไปเลื่อยชัดๆ เพื่ออยากจะเหยียดหยามลูกสาวตัวเอง
“ไอ้ผู้หญิงเลวอย่างเธอ ท้องไส้ก็มีแต่เรื่องเลวๆ ใช้แผนชั่วร้ายบีบจนบริษัทลูกสาวฉันมาถึงจุดนี้” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างโมโห “เธอมันเป็นพวกเดียวกับหลินอิ่งจริงๆ กลับมาใส่ร้ายลูกสาวฉันว่าอาศัยไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งนั่น? ในเมืองชิงหยูนมีใครไม่รู้บ้าง ว่าหลินอิ่งมันแต่งเข้ามาอยู่กับครอบครัวเรา เกาะลูกสาวฉันกิน”
“เธออย่าคิดว่าเธอชนะแล้ว บริษัทของลูกสาวฉัน ไม่มีวันถูกเธอทำล้มง่ายๆ” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างไม่พอใจ
“เหอะ ช่างเป็นผู้หญิงงมงายไร้การศึกษาจริงๆ คิดว่าหลินอิ่งที่เธอรู้จัก เป็นหลินอิ่งที่แท้จริงเหรอ” จ้าวหลินเอ๋อร์มุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา “บริษัทของลูกสาวเธอ ในสายตาฉันมันก็แค่บริษัทเล็กๆเท่านั้น ฉันอยากจัดการ ก็สามารถจัดการให้มันแบนราบได้”
“ยังมาพูดอะไรว่าไม่ล้มง่ายๆ? เหอะ ทางที่ดีไปถามลูกสาวเธอหน่อย ว่าฉันจ้าวหลินเอ๋อร์อยู่ในตี้จิงเป็นคนระดับไหน” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างยโส
ดูเหมือนพูดจนพอใจแล้ว จ้าวหลินเอ๋อร์โบกมือ พูดว่า “เห็นแก่หน้าหลินอิ่ง ให้เวลาพวกเธอสองวัน ย้ายออกจากคฤหาสน์นี้”
“อีกอย่าง จางฉีโม่ ฉันจะบอกเธอ เธอก็เจียมเนื้อเจียมตัวหน่อย ว่าเธอคู่ควรกับหลินอิ่งหรือไม่”
พูดจบ จ้าวหลินเอ๋อร์พอใจแล้ว พาบอดี้การ์ดหญิงสองคน เดินจากไปอย่างใจเย็น
ทิ้งครอบครัวจางฉีโม่ไว้ มองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่ดี
“ลูก ที่จ้าวหลินเอ๋อร์พูดมา มันเรื่องอะไรกัน?” ลู่หย่าฮุ่ยมองจางฉีโม่ ถามอย่างสงสัย
จางฉีโม่ตอนแรกก็มีเรื่องเครียดเต็มหัวแล้ว ไม่รู้ว่าควรอธิบายยังไง
ความเป็นมาของหลินอิ่ง เธอรู้ดี แต่พ่อกับแม่ไม่รู้ อธิบายไปก็อธิบายไม่ชัดเจน
“ที่จ้าวหลินเอ๋อร์พูด คือความจริง” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าหดหู่ “ไม่มีหลินอิ่ง ครอบครัวเราไม่มีวันมีวันนี้ได้”
“ลูก ไม่ต้องช่วยไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งนั่นหาข้ออ้างอีกแล้ว ไม่มีมันแล้วไง?” ลู่หย่าฮุ่ยฟังไม่เข้าไปแม้แต่น้อย “ก็เพราะมันไอ้ตัวซวย ถึงทำให้เรื่องวุ่นวายมากขนาดนี้”
“คุณชายตระกูลโจ ยอมช่วยลูกไม่ใช่เหรอ ขอแค่ตระกูลโจยอมช่วย ถึงแม้จ้าวหลินเอ๋อร์จะเป็นมหาเศรษฐีจากตี้จิงอะไรก็ช่าง ก็สู้เจ้าถิ่นอย่างตระกูลโจไม่ได้แน่” ลู่หย่าฮุ่ยออกความคิดเห็นให้ลูกสาว “ลูก เดี๋ยวแม่ไปลองพูดกับตระกูลโจดู”
“ช่างเถอะแม่ บริษัทมาถึงขั้นนี้ หมดหนทางแล้ว” จางฉีโม่พูดอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กลับเข้าไปในห้องนอน
จากอำนาจของจ้าวหลินเอ๋อร์ จะทำให้บริษัทของเธอล้มละลาย มันง่ายดายมาก
ในใจจางฉีโม่รู้ดี เธอกับจ้าวหลินเอ๋อร์ มันคนละระดับกัน
หลายวันนี้มา เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน คนของสำนักงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์ออกหน้า บวกกับการปิดกั้นทางธุรกิจ วิธีการต่างๆนานาทางการค้า ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ บริษัทของเธอก็เผชิญหน้ากับการล้มละลาย
ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับการบริหารของจางฉีโม่ แต่เป็นความแตกต่างทางอำนาจ