ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 474 จัดการเมืองชิงหยูนใหม่
“ลูก เมื่อกี้หลินอิ่งกลับมาแล้ว ไอ้ไร้น้ำยาเนรคุณนี้ กลับทำท่าทางเหมือนไม่รู้อะไรเลย”
ลู่หย่าฮุ่ยเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ พูดกับจางฉีโม่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ลูก เมื่อกี้ลูกไม่เห็นหน้าอันน่ารังเกียจของหลินอิ่งมัน ทำให้ครอบครัวเราต้องอยู่ในสภาพนี้แล้ว มันยังไม่อยู่ในสถานการณ์ ยังทำท่าทางไร้เดียงสาไม่รู้เรื่อง”
“ถ้าไม่ใช่เพราะแม่พูดถึงเรื่องที่มันทำในเมืองก่าง พูดถึงเรื่องรูปถ่ายของมันกับสาวผมทองนั่น มันคงยังคิดจะปิดปังลูกอีก”
ลู่หย่าฮุ่ยพูดไม่หยุด ระบายความไม่พอใจที่มีต่อหลินอิ่ง
จางฉีโม่เงียบไม่พูดอะไร
เงียบไปสักครู่ จางฉีโม่พูด “หลินอิ่งเขาพูดอะไรบ้างไหม?”
“เหอะ ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งมันยังพูดอะไรอีก? นอกจากพูดจาโม้อยู่นั่น” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยสีหน้าดูถูก “มันยังพูดอย่างไร้ยังอายว่า จะช่วยลูกจัดการปัญหาของบริษัท? ยังบอกว่าเรื่องที่มันทำที่เมืองก่างไม่ใช่ความจริง บอกว่าพวกเราไม่เชื่อมัน?”
“ตลกสิ้นดี หลักฐานมัดตัวขนาดนี้ จะไม่จริงได้ยังไง? อีกอย่างไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งมันคู่ควรสำหรับการเชื่อถือตรงไหน?”
“ช่างเถอะ อย่าไปพูดถึงหลินอิ่งมันอีกเลย ยิ่งพูด ก็ยิ่งโมโห ไม่รู้จริงๆว่าตอนแรกทำไมถึงไปฟังคำพูดนายท่าน ให้ไอ้เนรคุณนี่เข้ามาอยู่ที่บ้านเรา”
จางซิ่วเฟิงพูดอย่างอึดอัด รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง
ฟังคำพูดของพ่อแม่แล้ว
สีหน้าของจางฉีโม่ก็เปลี่ยนไปบ้าง แววตากะพริบ
พ่อกับแม่ไม่รู้ความสามารถของหลินอิ่ง
แต่ว่าเธอรู้ดี หลินอิ่งสามารถจัดการปัญหาทั้งหมดที่ครอบครัวเธอเผชิญอยู่ตอนนี้
แต่ว่า หลินอิ่งบอกว่าเรื่องในเมืองก่างไม่ใช่อย่างที่เห็น เรื่องนี้น่าคิด เพราะว่า รูปภาพก็วางอยู่ตรงหน้า ว่าหลินอิ่งใกล้ชิดสนิทสนมกับหลินอิ่งขนาดนั้น
“ใช่แล้ว หลินอิ่งยังบอกว่าอยากเจอลูก บอกว่าจะอธิบายให้ลูกฟังเอง” ลู่หย่าอุ่ยพูดเย็นชา “ไอ้ไร้ยางอายอย่างมัน ยังคิดอยากจะมาหลอกลูกอีก”
“โฉมหน้าที่แท้จริงของมันก็คือไอ้เนรคุณ ฉีโม่ ลูกต้องดูให้ชัด ไม่ว่ามันพูดอะไรลูกก็อย่าไปเชื่อ”
“ยังอยากจะเจอลูกสาวฉัน ฝันไปเถอะ มันหลินอิ่งชาตินี้ อย่าคิดที่จะก้าวเข้ามาบ้านเราแม้แต่ก้าวเดียว”
ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างโมโห
“หลินอิ่งบอกว่าอยากเจอหนู?”
จางฉีโม่สีหน้าอ่อนไหว ดูเหมือนจะมีความหวั่นไหวเล็กน้อย
“ใช่ลูก ลูกคงไม่ได้คิดที่อยากจะเจอไอ้เนรคุณนั่นอีกนะ? เขาทำแบบนี้กับลูกแล้ว นอกใจลูกอย่างโจ่งแจ้งอยู่นอกบ้านแบบนี้ ไม่มีลูกอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย”
ลู่หย่าฮุ่ยหันไปมองจางฉีโม่ พูดสอนอย่างจริงจัง
“ลูก จะไปเจอกับหลินอิ่งไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น มันก็จะหลอกลูกจนลืมตาไม่ขึ้นอีก”
จางฉีโม่ถอนหายใจ พูดว่า “หนู หนูไม่อยากเจอหลินอิ่ง”
ในใจเธอตอนนี้ ไม่สามารถไปเผชิญหน้ากับหลินอิ่งได้
หนึ่ง เพราะว่าเธอคิดว่าตัวเองไร้ประโยชน์ ไม่คู่ควร
สอง ในใจเธอไม่ชอบพึ่งพาอำนาจ ไม่ว่าความสามารถของหลินอิ่งจะเป็นยังไง ก็เปลี่ยนทัศนคติเธอไม่ได้
เรื่องที่มีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนกับผู้หญิงไม่ชัดเจน ถ้าไม่พูดให้ชัดเจน เธอไม่มีวันไปหาหลินอิ่งเองแน่นอน
“ลูก คิดแบบนี้ก็ถูกแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเจอกับไอ้ไร้น้ำยานั่นอีก” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างได้ใจ
……
เมืองชิงหยูน เขตเมืองเหนือ
ฉินหยุนโล๋
ตระกูลชั้นสองของเมืองชิงหยูน อาคารแหล่งบันเทิงที่ตระกูลฉินสร้างขึ้นมากับมือ แหล่งใช้จ่ายเงินมหาศาล
เป็นที่รู้กันดี ตระกูลฉิน ฉินฝู้กุ้ยหลังจากติดตามมหาเศรษฐีเจียงฉีแล้ว ฐานที่ก็สูงขึ้นเรื่อยๆ เห็นชัดว่าสามารถเทียบกับสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองตุงไห่ได้แล้ว
เพราะฉะนั้น ฉินหยุนโล๋ เป็นสถานที่ระดับต้นๆในเขตเมืองเหนือแล้ว
หน้าฉินหยุนโล๋ หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ตัวคนเดียว เดินเข้าไปในห้องโถง
เจียงฉีกับเสิ่นซาน ต่างก็หาคนไม่เจอ
หลินอิ่งสืบหาข่าวอยู่ข้างนอก รู้สถานการณ์ในแวดวงไฮโซเมืองชิงหยูน
ทุกวันนี้ คนที่ยังเผยโฉมหน้าอยู่ในเมืองชิงหยูน ก็คือฉินฝู้กุ้ย
มือซ้ายมือขวาคนสำคัญของหลินอิ่งในเมืองตุงไห่ คือเจียงฉีกับเสิ่นซาน นอกจากนี้ ลูกน้องคนสำคัญก็คือคริสกับฉินฝู้กุ้ย
มาหาฉินฝู้กุ้ย ก็เพราะว่าจะถามให้ชัดเจน ว่าทำงานที่เมืองชิงหยูนยังไง
ฉินหยุนโล๋ ห้องรับรองหรูชั้นสิบหก
ชายร่างอ้วนคนหนึ่ง แขวนพระหยกองค์หนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม นั่งดื่มเหล้าอย่างใจเย็นในงานเลี้ยง
ข้างโต๊ะเหล้า มีบอดี้การ์ดชุดสูทยืนอยู่ประมาณยี่สิบถึงสามสิบคน ท่าทางเหมือนมาเฟียโลกใต้ดิน
“พี่ใหญ่ฉิน มีคนมาหา”
ลูกน้องหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามารายงานอย่างรีบร้อน
“ใคร? มาหาฉันเรื่องอะไร?” ฉินฝู้กุ้ยท่าทางยโส ดื่มชาไปคำหนึ่ง พูดจาเย็นชา
“ฉินฝู้กุ้ย นายใช้ชีวิตที่เมืองชิงหยูนอย่างสุขสบายเลยนะ”
เป็นเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เรียบเฉย
ชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำธรรมดา แววตาเย็นชา ไขว้มือเดินเข้ามา
คั๊กชั๊ก
หลังจากฉินฝู้กุ้ยเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามา สีหน้าตะลึง แก้วน้ำชาในมือตกลงไปที่พื้น
“ท่านหลิน”
ฉินฝู้กุ้ยรีบยืนขึ้นมา รีบวิ่งเข้าไปต้อนรับอย่างรีบร้อน
“ท่านหลิน ท่านกลับมาแล้วเหรอ ท่านมาด้วยตัวเอง ทำไมไม่บอกผมก่อน จะได้เตรียมตัวต้อนรับอย่างดี” ฉินฝู้กุ้ยพูดอย่างประจบ
หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย เข้าไปนั่งบนเก้าอี้เจ้าภาพ
“ได้ยินว่า เรื่องคฤหาสน์วิลล่าหิมะมังกร นายส่งคนไปทำ?” หลินอิ่งมองหน้าฉินฝู้กุ้ยเย็นชา
หลินอิ่งถามนิติของวิลล่าหิมะมังกรแล้ว คฤหาสน์ที่เขาซื้อให้ฉีโม่ ถูกบังคับเอาไปประมูล และยังไล่ครอบครัวฉีโม่ออกไปอีก
สำหรับเอกสารที่ดำเนินการ เซ็นชื่อโดยฉินฝู้กุ้ย
ฉินฝู้กุ้ยติดตามเจียงฉีช่วยเขาจัดการธุรกิจในส่วนของไห่หยางกรุ๊ป คฤหาสน์วิลล่าหิมะมังกรเป็นส่วนของกิจการนี้
“นี่…….”
ฉินฝู้กุ้ยเหงื่อท่วมหัว รู้สึกกดดันอย่างมาก
“ท่านหลิน ท่านหมายถึงเรื่องที่ผมเซ็นเอกสารโอนคฤหาสน์เหรอครับ?” ฉินฝู้กุ้ยพูดอย่างระวัง “ท่านหลิน ผมฟังตามคำสั่งของคุณหนูจ้าว ถึงได้เซ็นชื่อไป”
“เรื่องอื่น ผมก็ไม่รู้เรื่อง สำหรับท่านแล้วผมจงรักภักดีทุกอย่าง บริหารกิจการในเมืองชิงหยูน ไม่กล้าล้ำเส้นแม้แต่น้อย”
“คุณหนูจ้าว?” หลินอิ่งมุมปากยิ้มขึ้น “เป็นเรื่องที่ผู้หญิงบ้าคนนี้ทำขึ้นมาจริง”
“ฉินฝู้กุ้ย นายช่วยจ้าวหลินเอ๋อร์ทำงาน ยังบอกว่าไม่ได้ล้ำเส้น? จงรักภักดีกับฉัน?”
หลินอิ่งมองฉินฝู้กุ้ยอย่างเย็นชา
“ท่านหลิน นั่นมัน คุณหนูจ้าวเป็นภรรยาของท่านไง คุณนายจ้าวจะทำเรื่องของธุรกิจ ผมก็ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวท่า” ฉินฝู้กุ้ยพูดด้วยเหงื่อท่วมหัว
ช่วงก่อน จ้าวหลินเอ๋อร์ไปหาฉินฝู้กุ้ย ให้วิธีเดียวกับเสิ่นซานกับเจียงฉี
เพียงแค่ว่า ฉินฝู้กุ้ยเป็นคนลื่นไหล
หลังจากได้รู้เบื้องหลังอันแข็งแกร่งของจ้าวหลินเอ๋อร์แล้ว ฉินฝู้กุ้ยก็รีบเข้าไปประจบ เรื่องทุกอย่างที่จ้าวหลินเอ๋อร์สั่ง ก็ไม่ทำอย่างสุดความสามารถ ถึงไม่ถูกกักขัง
หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา ทำไมจะไม่รู้ว่าฉินฝู้กุ้ยคิดอะไรอยู่
“ฉินฝู้กุ้ย ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย นายก็ร้อนตัวขนาดนี้ ไปประจบคนของตระกูลจ้าว?” หลินอิ่งมองฉินฝู้กุ้ย “แล้วใครเป็นคนบอกนาย จ้าวหลินเอ๋อร์ คือภรรยาฉัน?”