ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 478 หลินอิ่ง ตระกูลจ้าวของเราไปหาเรื่องไม่ได้
ถึงแม้จ้าวซานจะอวดดีถึงขีดสุด ไม่มีคนอื่นในสายตา แต่ก็ยังพอมีสมองอยู่บ้าง
ฉินฝู้กุ้ยฉีกหน้ากันแบบนี้ อยู่ดีๆก็แยกเคี้ยว ตบเขาไม่อั้น
นี่หมายความว่า ฉินฝู้กุ้ยมีความมั่นใจเต็มที่
เพราะว่า ฉินฝู้กุ้ยรู้จักฐานะเบื้องหลังของจ้าวหลินเอ๋อร์เป็นอย่างดี
ประสานงานกับฉินฝู้กุ้ยมาหลายวัน จ้าวซานก็รู้ว่าฉินฝู้กุ้ยเป็นคนลื่นไหลยิ่งกว่าปลาไหล
ฉินฝู้กุ้ยไม่มีเหตุผลที่จะฉีกหน้าเขา
แต่วันนี้ กลับมาฉีกหน้าเขาเพราะว่าไอ้หนุ่มลึกลับคนนี้
นั่นก็หมายความว่า ชายหนุ่มคนนี้ต้องมีฐานะอำนาจล้นฟ้าแน่นอน
“นายไม่รู้จักฉัน?” หลินอิ่งมองจ้าวซานอย่างเรียบเฉย
“ฉัน…..ฉันไม่รู้จัก” จ้าวซานพูดด้วยสีหน้าลังเล
หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา “ไม่รู้จักฉัน ถ้าอย่างนั้นใครให้ความมั่นใจกับนาย กล้าเอาชื่อคุณชายอิ่งแห่งตี้จิงไปหลอกลวงอยู่ข้างนอก?”
“อะไร”
จ้าวซานสีหน้าตกใจ จ้องหน้าหลินอิ่งตาไม่กะพริบ เหงื่อท่วมหน้าผาก
ฉินฝู้กุ้ยมองจ้าวซานแล้วหัวเราะเย็นชา เพี๊ยะเพี๊ยะตบหน้าเข้าไปสองครั้ง
“เหอะ ไอ้หน้าโง่ แกพูดเต็มปากเต็มคำว่าคุณชายอิ่งตี้จิงเป็นพี่เขยแก ส่วนคุณชายอิ่งผู้เก่งกาจในปากของแก ก็อยู่ตรงหน้าแก ถูกแกด่าว่าไอ้บ้านนอก”
“แกนี่มันมีตาหามีแววไม่จริงๆ”
“ไม่ นี่ เป็นไปไม่ได้ แกเป็นคุณชาย คุณชายอิ่ง?”
จ้าวซานจับหน้าที่ถูกตบจนบวม สีหน้าไม่อยากเชื่อ
จ้าวซานคิดไม่ถึง ว่าคุณชายอิ่งที่เขาโอ้อวดเต็มปาก กลับนั่งอยู่ตรงหน้า
อีกอย่าง เขากลับพูดโอ้อวดต่อหน้าคุณชายอิ่ง?
เวลาเดียวกน จ้าวซานสีหน้าแดงก่ำ ทั้งโมโหทั้งอับอาย
“ฉันไม่เชื่อ แกจะเป็นคุณชายอิ่งแห่งตี้จิงได้ยังไง” จ้าวซานตาแดง พูดด้วยความโมโห
ถูกฉินฝู้กุ้ยตบหน้าไปหลายรอบ ในใจจ้าวซานรู้สึกโมโหอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมเชื่อว่าหลินอิ่งก็คือคุณชายอิ่ง ยังไงก็ไม่ยอมก้มหัวให้หลินอิ่งที่ตัวเองไปพูดจาเหยียดหยาม
แต่ว่า จ้าวซานไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคุณชายอิ่ง ล้วนเป็นการโอ้อวดที่แสดงออกมาทั้งนั้น
คราวนี้ ในใจเขาทั้งอึดอัดและโมโห
“ฉันไม่ใช่? เหอะ” หลินอิ่งส่ายหน้ายิ้มอย่างเย็นชา ดับบุหรี่ในมือ “ถ้าอย่างนั้นฉันก็รู้สึกสงสัย คุณชายอิ่งในปากของนายนั้นเป็นใคร? นายก็เรียกเขามาดูหน่อย”
“แก” จ้าวซานสีหน้าแดงก่ำ พูดอย่างเย็นชา “แกกล้าปลอมตัวเป็นพี่เขยฉัน รอพี่สาวฉันมา ต้องคิดบัญชีกับแกแน่”
เพี๊ยะ
จ้าวซานยังปากแข็งอยากพูดอะไรต่อ ฉินฝู้กุ้ยเดินเข้าไปก็ตบหน้าเขาอีกสองที ตบจนเขาปากบวม
หลินอิ่งค่อยๆลุกขึ้น ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง
“อีกสิบนาที ถ้าจ้าวหลินเอ๋อร์ยังไม่มา ฉินฝู้กุ้ย นายก็เอาคนนี้ไปหักแขนหักขา แล้วส่งกลับไปตี้จิงตระกูลจ้าว”
หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทันใดนั้น ฟังจนจ้าวซานรู้สึกกลัวจนตัวสั่น สีหน้าซีดขาว
……
ในเวลาเดียวกัน อีกฝั่งหนึ่ง
เมืองชิงหยูน โรงแรมชิงหยูน
จ้าวหลินเอ๋อร์รับโทรศัพท์แล้ว ก็เดินออกจากออฟฟิศอย่างรีบร้อน พาบอดี้การ์ดหญิงสองคน ลงจากโรงแรมอย่างรีบร้อน
โรงแรมชิงหยูน หลังจากถูกหลินอิ่งรับซื้อไปแล้ว เป็นสถานที่สำหรับนัดเจอกันระหว่างเสิ่นซานและเจียงฉีกับหลินอิ่ง
หลังจากจ้าวหลินเอ๋อร์มาถึงเมืองชิงหยูนแล้ว ก็จัดการธุระทุกอย่างและพักในโรงแรมชิงหยูน
ส่วนเจียงฉีและเสิ่นซาน ก็ถูกเธอสั่งคนกักตัวไว้ในนี้
“หลินอิ่งกลับมาเมืองชิงหยูนแล้ว กลับมาอย่างเงียบๆแบบนี้” จ้าวหลินเอ๋อร์มุมปากยิ้มขึ้นอย่างคิดสนุก แววตาเป็นประกาย พูดพึมพำเอง “หลินอิ่งนะ หลินอิ่ง ฉันจะรอดู ว่าเรื่องราวเจ้าชู้ที่คุณทำในเมืองก่างลือกันออกมา คุณยังจะแสดงยังไงต่อ?”
“น้องเก้า จะไปไหน?”
จ้าวหลินเอ๋อร์เพิ่งเดินลงไป กำลังจะไปเอารถ ก็มีเสียงอันเคร่งขรึมดังขึ้น
มีก็รถไมบัคสีดำคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตู ชายหนุ่มชุดสูทสีขาวคนหนึ่งเดินลงจากรถ มีคนติดตามอยู่ซ้ายขวาสองคน
“พี่ใหญ่? พี่กลับจากเมืองก่างตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมไม่แจ้งให้หนูรู้?” จ้าวหลินเอ๋อร์เห็นคนที่มา ก็พูดด้วยสีหน้าตะลึง
จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าเคร่งเครียด พูดอย่างจริงจัง “เรื่องในเมืองก่างเหนือการคาดเดาแล้ว พี่กลัวเธอก่อเรื่องใหญ่ ถึงได้รีบมาห้ามที่เมืองชิงหยูน”
“ห้ามหนูทำไม?” จ้าวหลินเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย
จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เธออย่าไปหาเรื่องหลินอิ่งอีก ตระกูลจ้าวของเรา มีเรื่องกับหลินอิ่งไม่ได้”
หลังจากได้ลองมือหลินอิ่งที่เมืองก่างแล้ว จ้าวเฉิงเฉียนกลับไปคิดอย่างรอบคอบแล้ว
สุดท้ายตัดสินใจ รีบกลับมาเมืองชิงหยูน ห้ามน้องสาวตัวเองให้วางมือ อย่าไปยั่วหลินอิ่งโมโหแล้วให้เขาทำเรื่องน่ากลัว
เพราะว่า เขาเห็นมากับตาแล้ว จี้ฉงซานถูกหลินอิ่งบีบจนถึงขั้นไหน
จี้ฉงซานระดับอภิมหาเศรษฐีเมืองก่าง ก็เป็นเพราะไปหาเรื่องหลินอิ่งที่ตี้จิง กลับไปถึงเมืองก่างแล้วก็หนีความตายไม่พ้น แม้แต่ตระกูลจี้ทั้งก็พังพินาศหมด
น้องสาวตัวเองถ้าไม่ระวังทำเกินเลยไป ถ้าหากหลินอิ่งเปิดศึกกับตระกูลจ้าว เรื่องราวก็ไม่จบง่ายๆแน่
“พี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน? พี่ไปเมืองก่างก็ราบรื่นดีไม่ใช่เหรอ ทำไมกลับมาก็มาพูดแบบนี้?” จ้าวหลินเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกแปลกใจ
จ้าวเฉิงเฉียนถอนหายใจ พูดว่า “เรื่องที่เมืองก่างเรื่องมันยาว ไม่ว่ายังไง ก่อนหน้านี้พี่ดูถูกหลินอิ่งมากเกินไป ความสามารถของหลินอิ่งมันเกินที่จะคาดเดา”
หลังจากเผชิญหน้าสู้กับหลินอิ่งแล้ว จ้าวเฉิงเฉียนจำเป็นต้องปล่อยวางความยโส ไปมองหลินอิ่งคนนี้อย่างดี
“พี่ นี่พี่ล้อเล่นใช่ไหม? พี่รีบกลับมา ก็เพราะเรื่องนี้?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดด้วยความไม่พอใจ “หนูไม่สนใจอะไรพวกนั้นหรอก หนูไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้ทำอะไรเกินไปสักหน่อย”
จ้าวเฉิงเฉียนเงียบไปครู่หนึ่ง ถามว่า “รูปที่พี่ส่งมาให้ครั้งก่อน เธอส่งออกไปแล้วใช่ไหม?”
“หนูส่งออกไปแล้ว หนูเอาไปให้ครอบครัวของไอ้ผู้หญิงที่หลินอิ่งคบอยู่ข้างนอกคนนั้นดูแล้ว” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างเรียบเฉย “พี่ พี่ไม่พูดยังดี พี่พูดแล้วหนูก็โมโห หลินอิ่งเป็นลูกเขยของตระกูลจ้าว เมื่อก่อนไปแต่งงานกับจางฉีโม่อะไรนั่นก็แล้วไป ตอนนี้หนูออกมาแล้ว เขายังไปจีบกับสาวฝรั่งที่เมืองก่างอีก? นี่มันดูถูกหนูชัดๆ?”
“อีกอย่าง พี่ ตอนนั้นพี่ก็โมโหมาก พี่ก็พูดไปแล้ว ว่าพี่จะช่วยหนูสั่งสอนหลินอิ่ง” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ปรากฏว่า ตอนนี้พี่มาบอกหนูว่าไปมีเรื่องกับหลินอิ่งไม่ได้? ท่าทางเหมือนกลัวเขา”
“พี่ยังเป็นพี่ใหญ่ที่หนูรู้จักอยู่ไหม?” จ้าวหลินเอ๋อร์มองจ้าวเฉิงเฉียนด้วยสีหน้าสงสัย
ได้ยินจ้าวหลินเอ๋อร์พูดแบบนี้ สีหน้าจ้าวเฉิงเฉียนก็รู้สึกอึดอัด
แน่นอน คุณชายตระกูลจ้าวมีอำนาจแข็งแกร่งขนาดไหน? มองไปทั่วประเทศหลุง คนรุ่นเดียวกัน คนที่สามารถเทียบเคียงกับจ้าวเฉิงเฉียนได้มีแค่ไม่กี่คน
แต่ ความสามารถอันแข็งแกร่งของหลินอิ่ง ทำให้จ้าวเฉิงเฉียนรู้สึกตกใจ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่กลัว