ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 5 คนตระกูลจาง พากันชลมุลแล้ว
บทที่ 5 คนตระกูลจาง พากันชลมุลแล้ว
เมืองชิงหยูนโรงพยาบาลอันดับหนึ่งของเมือง
หลินอิ่ง เดินมาถึงห้องผู้ป่วย 608
“หลินอิ่ง ที่บ้านเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แกไม่สนใจไม่ถามเลยนะ แล้วไปไหนมา?” ลู่หย่าฮุ่ย ลุกขึ้นยืน และอยากสั่งสอนจนทนไม่ไหวแล้ว
“แกดูสิ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับที่บ้านล้วนเป็นเพราะแกคนเดียวเลย!” ลู่หย่าฮุ่ย ด่าทอขึ้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ
หลินอิ่ง ไม่พูดไม่จา เอาแต่มองพ่อตา จางซิ่วเฟิง ที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยที่มีใบหน้ารอยเขียวช้ำ และบนแขนก็พันด้วยผ้าพันแผลด้วย
ข้างเตียงผู้ป่วยมี จางฉีโม่ นั่งอยู่ด้วยสีหน้ากังวล และมีท่าทางเหน็ดเหนื่อย
“พ่อตา ฉีโม่ พวกคุณบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?” หลินอิ่ง ซักถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“แค่บาดแผลภายนอก ไม่สาหัสอะไรหรอก” จางซิ่วเฟิง พูดขึ้น
จางฉีโม่ พูดว่า “ฉันไม่เป็นอะไร พ่อกับ พนักงานดื้อดัง เลยถูกทำร้าย ตอนตรวจร่างกายเมื่อกี้ โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บถึงกระดูก แค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น”
ภายในใจของ หลินอิ่ง ขุ่นเคืองมาก แต่ซักถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “ตกลงวันนี้เกิดอะไรขึ้นครับ?”
จางฉีโม่ เหมือนไม่ค่อยอยากพูด จากนั้นถอนหายใจออกเบาๆ
“วันนี้พ่อของ ฉีโม่ ไปจัดการธุระที่โรงงาน และไม่รู้ว่า จางเถียนไห่ สิทธิของเจ้าหนี้โรงงานทั้งหมดได้ยังไง แถมกลายเป็นเจ้าหนี้ด้วย จางเถียนไห่ อ้างว่าจะยึดอุปกรณ์เครื่องมือในโรงงานทั้งหมดกับพนักงาน พ่อของ ฉีโม่ เลยคิดเข้าไปพูดเกลี้ยกล่อม แต่ถูกพนักงานสองคนทำร้าย” ลู่หย่าฮุ่ย ค่อยๆพูดว่า “ฉันกับ ฉีโม่ เลยไปซักถาม จางเถียนไห่ แต่เขากลับพูดประชดประชัน ตอนนี้อุปกรณ์เครื่องทั้งหมดในโรงงานถูกพวกเขายึดไปแล้ว”
“ตอนนี้โรงงานของพ่อ ฉีโม่ แย่หมดแล้ว แม้แต่บ้านก็ถูกยึดเหมือนกัน!” ยิ่งพูด ลู่หย่าฮุ่ย ก็ยิ่งอารมณ์ขึ้น “พวกเขาใจร้ายใจดำมาก! หลินอิ่ง เป็นเพราะเธอทำให้ครอบครัวของฉันพังหมดเลย!”
หลินอิ่ง เผยสายตาแหลมคมขึ้นมาทันทีอย่างเห็นได้ชัดเจน จางเถียนไห่ แทบไม่ทันเตรียมตัวก็ลงมืออย่างใจร้ายใจดำแล้ว ไม่เพียงทำลายโรงงานอัญมณีที่เป็นธุรกิจหลักของครอบครัว ฉีโม่ พังแล้ว ยังยึดบ้านที่อยู่ด้วย
ซึ่งครั้งนี้เหมือนอยากทำลายครอบครัวของ ฉีโม่ ตายทั้งเป็น
“สิทธิ์เจ้าหนี้ค่าค้ำประกันบ้าน โรงงาน ตอนนี้ล้วนอยู่ในมือของจางเถียนไห่ หมดแล้ว จางเถียนไห่ เอ่ยปากแล้วว่าต้องการให้แกหย่ากับ ฉีโม่ ซึ่งฉันรับปากแล้วด้วย หากแกยังพอมียางอาย ช่วยเซ็นเถอะ” ลู่หย่าฮุ่ย พูดขึ้น
“ช่างเถอะ!” จางซิ่วเฟิง ที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยพูดขึ้น “หย่าฮุ่ย ทุกอย่างนี้เป็นเพราะฉันไร้น้ำยาเองที่ไม่สามารถค้ำจุนครอบครัวนี้ อย่าไปโทษคนอื่นเลย”
“ลูกชายของพี่สามเป็นคนเด็ดขาด เขาต้องการพังครอบครัวของเรา” จางซิ่วเฟิง พูดต่อว่า “ครั้งนี้ฟังตามคำพูดของลูกสาวล่ะกัน งั้นพวกเราก็ไม่ต้องเอาบ้านและโรงงานอัญมณีแล้ว แล้วเราไปจากเมืองชิงหยูนกันเถอะ ไม่ต้องให้พวกเราสมน้ำหน้าพวกเราหรอก”
จากนั้น ลู่หย่าฮุ่ย ก็นิ่งเงียบไป
“โธ่ อยู่กันทั้งครอบครัวเลยนะ หลินอิ่ง ในที่สุดแกก็โผล่หัวออกมาสักที!”
ทันใดนั้น นอกห้องก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้น
จางเถียนไห่ สวมแว่นตากันแดด พร้อมกับสวมชุดสูท และยังมีบอดี้การ์ดตามหลังด้วยสองคน
“ข้อเสนอก่อนหน้านี้ของฉันได้พิจารณากันหรือยัง? อาสะใภ้ห้า คุณลุงห้า?” จางเถียนไห่ พูดขึ้น
“อันที่จริงที่ผมทำแบบนี้ก็เพื่อครอบครัวคุณ พวกคุณดูสิว่า หลินอิ่ง เป็นคนไร้ประโยชน์ยังไง โรงงานเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นขนาดนี้เพิ่งโผล่หน้ามา” จางเถียนไห่ พูดต่อว่า “หากวันนี้ผมมาช่วยไม่ทันเวลา ผมคิดว่าพนักงานเหล่านั้นคงอาละวาดทำร้ายคุณลุงแน่”
“นายหุบปากเลย! ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เป็นเพราะฝีมือนายหรอ หยุดเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนใจดีได้แล้ว” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้น พร้อมเผยสีหน้ารังเกียจ
สีหน้าประชดประชันของ จางเถียนไห่ ไม่มีใครทนเห็นได้!
“ทำบุญบูชาโทษจริงๆ” จางเถียนไห่ ถอนหายใจออกมา “ฉันอุตส่าห์มีน้ำใจช่วยเหลือเอาสิทธิ์เจ้าหนี้ทั้งหมดมาเก็บไว้ในมือ ไม่ใช่เพราะต้องการปกป้องเขาหรอ? หากเป็นคนนอกมาจัดการหนี้สินล่ะก็ ผมเกรงว่าคุณลุงห้าคงถูกคนอื่นทำร้ายแน่!”
“ที่ผมทำแบบนี้ก็เพื่อคิดหาวิธีช่วยเหลือพวกคุณ” จางเถียนไห่ ค่อยๆพูดว่า “ฉีโม่ วางใจเถอะ ไม่ต้องกลัวว่าจะหาสามีคนใหม่ไม่ได้ ลูกชายคนที่สามของตระกูลหลี่ กับฉันมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แถมเขายังรักเธออยู่อีกด้วยนะ หากเธอสนใจ ฉันสามารถจับคู่ให้เธอได้”
“นายรีบไสหัวออกไปจากฉันเดียวนี้!” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้น พร้อมเผยท่าทางอดกลั้นต่อการดูถูกเหยียดหยามนี้ไม่ได้
“ออกไปหรอ?” จางเถียนไห่ ยิ้มและพูดว่า “คุณลุงห้า อย่าหาว่าผมไม่ให้โอกาสครอบครัวคุณนะครับ พวกคุณต้องรู้จักหวงแหนเอง พรุ่งนี้ผมจะปล่อยสิทธิเจ้าหนี้ ถึงตอนนั้นครอบครัวของพวกคุณไม่เพียงไม่เหลืออะไร ยังต้องถูกเจ้าหนี้ตามราวีด้วย!”
“นี่นายกำลังพูดจาไร้สาระอะไรอยู่ หากโรงงานอัญมณีและบ้านของพ่อฉันถูกยึดก็ถือว่าหมดเรื่องแล้วสิ แล้วจะยังมีหนี้สิ้นที่ต้องชำระอะไรอีก?” จางฉีโม่ ซักถามขึ้น
“เธอคิดง่ายดายมากเกินไปแล้ว” จางเถียนไห่ เผยรอยยิ้มสะใจขึ้น “โรงงานอัญมณีเก่าๆนั้น อุปกรณ์เครื่องมือพังหมดแล้ว จนแทบขายไม่ได้สักบาทเลย แค่ชดใช้หนี้หรอ? คงยังไม่พอหรอก! อีกอย่างยังติดหนี้ค่าเช่าที่ด้วย หากจัดการไม่ดีล่ะก็ ไม่แน่คุณลุงห้าอาจจะเกี่ยวกับคดีหลอกลวง จนต้องเข้าคุกก็ได้”
“นายนี่!” จางฉีโม่ กัดริมฝีปากอย่างแน่นด้วยสีหน้าอาฆาต
นี่เป็นวิธีการที่เห็นบ่อยในวงการธุรกิจ ครอบครัวของ จางเถียนไห่ มีเงินทองและอำนาจ หากคิดอยากจัดการโรงงานอัญมณีที่ใกล้ล้มละลายอย่างพวกเขา คงไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่…..
“คิดให้ดีๆ คิดอยากขอร้องผมหรือยัง” จางเถียนไห่ รู้สึกสะใจมากที่เห็นฉากนี้
“พูดจบหรือยัง? ถ้าพูดจบแล้วไสหัวไป!”
หลินอิ่ง จ้องมอง จางเถียนไห่ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ไอ้คนไร้ประโยชน์ แกกล้าไล่ฉันออกไปหรอ?” จางเถียนไห่ เปลี่ยนสีหน้า พร้อมจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าเย็นชา
นับตั้งแต่ หลินอิ่ง อยู่ตระกูลจาง ก็ถูกสั่งสอนมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะกล้าแสดงความเกรียวกราดต่อหน้าเขา
“แกนี่ใจกล้ามากเลยนะ!” จู่ๆ จางเถียนไห่ ก็ระเบิดอารมณ์ขึ้น พร้อมฟาดมือตบใส่ใบหน้าของ หลินอิ่ง
แครก!
หลินอิ่ง ยกมือจับข้อมือของ จางเถียนไห่ ไว้อย่างแน่น วินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงกระดูกหักดังขึ้น
“แครก! อ่า!”
จางเถียนไห่ ส่งเสียงร้องอนาถเหมือนหมูโดนเชือดดังขึ้น ขณะเดียวกันก็จ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ ทั้งที่หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
เขาคุกเข่าอยู่หน้า หลินอิ่ง พร้อมกับตัวสั่นเทาอย่างรุนแรงเหมือนได้รับความเจ็บปวดอย่างสาหัส
หลินอิ่ง หัวเราะประชดหนึ่งที แล้วปล่อยมือออก
ตึง
จู่ๆ จางเถียนไห่ ก็ปล่อยตัวล้มลงฟุบบนพื้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นตะคิวไปทั่วทั้งแขนอย่างเจ็บปวด จนเขาตัวสั่นไม่หยุด
“แก! หลินอิ่ง แกกล้าทำร้ายฉันหรอ” จางเถียนไห่ จ้องมอง หลินอิ่ง อย่างไม่ละสายตา “ฉันจะทำให้แกรู้สึกเสียใจภายหลังที่เกิดมาบนโลกนี้เลย!”
“ครอบครัวของแกพังแน่! ใครก็ช่วยไม่ได้ คอยดู!”
จางเถียนไห่ ลุกขึ้น พร้อมพูดขึ้น
“กูให้โอกาสพวกแกแล้ว แต่พวกแกไม่รู้จักหวงแหนเอง คอยดูครอบครัวของพวกแกพังได้เลย!”
หลังจากที่ จางเถียนไห่ ข่มขู่เสร็จ ก็เดินจากไปด้วยท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“หลินอิ่ง แกนี่ทำเรื่องเล็กให้ยิ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่นะ แถมยังกล้าทำร้าย จางเถียนไห่ อีกหรอ!” ลู่หย่าฮุ่ย บ่นพึมพำขึ้น “แล้วที่นี้จะทำยังไงต่อล่ะ! ฉันต้องถูกแกทำชีวิตฉันพังแน่!”
“นายวู่วามเกินไปแล้ว การใช้กำลังไม่สามารถแก้ปัญหาได้นะ” จางฉีโม่ พูดขึ้น
“เรื่องนี้เดียวผมจะจัดการเอง พวกคุณไม่ต้องกังวลหรอก” หลินอิ่ง พูดต่อว่า “ยังไง จางเถียนไห่ ก็ทำไม่สำเร็จหรอก”
“เห่อ แกจะทำอะไรได้หรอ?” ลู่หย่าฮุ่ย พูดประชดขึ้น “แกมีความสามารถอะไรหรอ….”
หลินอิ่ง เหลือบมอง ลู่หย่าฮุ่ย แวบหนึ่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เธอเป็นคนไวต่อความรู้สึก จู่ๆเธอสัมผัสได้ว่า หลินอิ่ง ในวันนี้แปลกกว่าปกติ เพราะเขามีสายตาแหลมคมขึ้น ดังนั้นคำพูดที่คิดจะสั่งสอนที่เตรียมไว้เลยหยุดชะงักลง
หลินอิ่ง เผยสายตาอ่อนโยนขึ้น พร้อมจ้องมอง จางฉีโม่
“วางใจเถอะ มีผมอยู่”
ไม่รู้ว่า จางฉีโม่ เกิดอะไรขึ้น จู่ๆในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้น วันนี้ หลินอิ่ง มอบความรู้สึกสามารถพึ่งพาได้ให้กับเธอ ทั้งที่เธอไม่เคยได้รับเลย
“อืม” เธอพยักหน้าอย่างนิ่งเงียบ
……
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง
ตึกอาคารบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ
ชั้นที่ยี่สิบกว่าของตึกอาคารใหญ่ ทุกชั้นมีคนเดินสัญจรตลอด และพนักงานทุกคนก็ต่างรีบร้อนด้วย เหมือนกับเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
ชั้นที่ยี่สิบสาม ห้องประชุม
ประธานจาง เรียกพนักงานมาประชุมอย่างรีบร้อน
โต๊ะทำงานที่กว้างยาวมีพนักงานนั่งอยู่ยี่สิบกว่าคน
บุคคลที่มีอำนาจและมีเงินทองของตระกูลจาง ในเมืองชิงหยูนต่างอยู่กันพร้อมเพรียง
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆบริษัทถึงชุลมุนวุ่นวายแบบนี้?”
“พี่ใหญ่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เมื่อกี้ตอนที่ผมตีกอล์ฟนั้น พอได้รับโทรศัพท์ก็รีบมาประชุมเลยทันที ทำไมลูกค้าคนสำคัญทุกคนถึงต้องการยกเลิกสัญญากับบริษัทเราด้วย!”
“บริษัทประสบปัญหาใหญ่แบบนี้ เพราะมีปัญหากับใครหรือเปล่า? ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดเหตุวุ่นวายแบบนี้อย่างกะทันหันแน่!”
ภายในห้องประชุมเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น หุ้นส่วนทุกคนต่างมีสีหน้ากังวล เห็นได้ชัดเจนว่ารีบร้อน
“เห่อเห่อ”
พี่ใหญ่ตระกูลจาง ประธานผู้ดูแลรับผิดชอบจางซื่อกรุ๊ป จางหงจูน กระแอมสองที
“ทุกท่าน ช่วยอยู่ในความสงบก่อนครับ เรามาพูดเรื่องสำคัญกันก่อน ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ไขเสมอ”
จางหงจูน มีสีหน้าเคร่งเครียดมาก ตั้งแต่ดูแลบริหารจางซื่อกรุ๊ปมาราบรื่นมาโดยตลอด ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ประสบปัญหาแบบนี้
ทันใดนั้นภายในห้องประชุมก็เงียบสงบลง ทุกคนต่างหันหน้ามอง จางหงจูน ด้วยสีหน้ากังวล และรอเขาเอ่ยปากพูดต่อ
“ประธาน สถิติข้อมูลที่คุณต้องการจัดการแล้วนะครับ”
ทันใดนั้น เลขาสาวสวมแว่นตาคนหนึ่งก็หยิบเอกสารสำคัญหลายฉบับเดินเข้ามา
“วันนี้บริษัทสูญเสียลูกค้าคนสำคัญหลายคนจริงๆ แถมลูกค้าเก่ายังยกเลิกสัญญาด้วย” จางหงจูน พูดด้วยน้ำเสียงจนปัญญาพร้อมเผยสีหน้ากังวล เพราะบริษัทขาดทุนมาก เขาเลยไม่ค่อยมั่นใจ
เลขาสาวหยิบเอกสาร และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ประธานค่ะ สถิติข้อมูลของวันนี้ หุ้นส่วนจางซื่อกรุ๊ปของเราตกต่ำลงสามสิบเปอร์เซ็นต์….ถือว่าแย่มากๆ ซึ่งทำให้หุ้นส่วนเล็กๆรู้สึกหวาดกลัว เลยต่างพากันยกเลิก”
“อีกอย่าง ช่องทางจำหน่ายอัญมณีสิบสถานที่ของพวกเราวันนี้ขาดแล้ว ขณะเดียวกันก็ถูกบังคับให้ยกเลิกด้วย”
“ธุรกิจอัญมณีเมืองตุงไห่ของบริษัทที่มีชื่อเสียงสิบกว่าแห่ง รวมทั้งสมาคมธุรกิจอัญมณีเมืองตุงไห่และนายกเมืองตุงไห่ล้วนร่วมลงนามประกาศว่า จะไม่ทำงานร่วมกับบริษัทเครื่องประดับจางซื่ออีก…..”
“บริษัทของพวกเรากำลังประสบวิกฤตความน่าเชื่อถือครั้งยิ่งใหญ่……”
เมื่อเลขาสาวพูดถึงตรงนี้ก็พูดไม่ถูก เพราะไม่สามารถพูดตรงๆว่า บริษัทแย่แล้ว…