ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 53 ของปลอม
บทที่ 53 ของปลอม
สายตาหลายสิบคู่มองมาอย่างอยากรู้เห็น เวลานี้ จางฉีโม่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รู้สึกเขินอายขึ้นมาทันที
สีหน้าหลินอิ่งไม่เปลี่ยน ไม่ใส่ใจ ชิมชาที่ถืออยู่ในมือขวาไปคำหนึ่ง
“ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย? เขาเหรอ?” คุณชายตระกูลหนึ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่เชื่อมองไปในตัวหลินอิ่ง “ของตลาดนัดทั้งตัว ผมว่าแม้แต่ของโบราณถูก ๆ ชิ้นเดียวก็ไม่มีเงินซื้อมั้ง? ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญของโบราณ?”
“ไม่ใช่? คุณชายหวาง คุณหมายถึงหลินอิ่งลูกเขยที่แต่งเข้าตระกูลจางเหรอ? คงไม่ใช่ไอ้ขยะที่ขึ้นชื่อคนนั้นมั้ง?”
“ใช่ ชื่อนี้ผมก็รู้สึกคุ้นหูดี ผมกับจางเถียนไห่ของตระกูลจางสนิทสนมกันดี ได้ยินเรื่องของไอ้ขยะหลินอิ่งอยู่เป็นประจำ ได้ยินจางเถียนไห่บอกว่านายคนนี้เกาะเมียกินอยู่ที่ตระกูลจางเมียเขายังดูถูกเขาเลย อยู่บ้านก็ยกน้ำล้างเท้าให้พ่อแม่เมียทุกวัน ยังต้องขัดห้องน้ำ บางทีก็ถูกพ่อแม่เมียแขวนตัวขึ้นมาเฆี่ยน นี่มันคนที่น่าอับอายที่สุด”
“คุณชายหวาง คนไร้ประโยชน์แบบนี้นั่นเหรอ ยังกล้าบอกว่าตัวเองมีความรู้ด้านการสะสม?”
แขกในงานเมื่อรู้สถานะของหลินอิ่งแล้ว ต่างก็มีสีหน้าดูถูก พูดจาดูถูกขึ้นมา
หวางจื่อเหวินสีหน้าได้ใจ นี่แหละสิ่งที่เขาต้องการ
“ทุกท่านครับ รู้หน้าไม่รู้ใจ อย่างนี้ดีกว่า ผมชี้ของสองชิ้น ดูว่าคุณรู้จักไหม” หวางจื่อเหวินพูดด้วยน้ำเสียงตลก เดินไปหน้าโต๊ะยาวสีแดง ชี้ไปที่กล่องสีแดง อีกชิ้นคือกระถางทองแดง
“สองชิ้นนี้ละกัน ผู้เชี่ยวชาญหลิน ให้คนนำมาข้างหน้า ดูสักหน่อยไหม?” หวางจื่อเหวินพูดอย่างล้อเลียน
“พี่หวาง อย่างเขาเนี่ยนะยังต้องให้ดู?” ฉินเฟยสายตาดูถูก ช่วยพูดอีกแรง
“ไอ้ขยะอย่างมันถ้าแยกของจริงของปลอมได้ แยกออกว่าดีไม่ดี ชื่อผมให้เขียนกลับกันเลย” เสิ่นห้าวหัวเราะเยาะ
หลินอิ่งมองของสองชิ้นบนโต๊ะไม้แดงอย่างใจเย็น พูดขึ้น “ไม่ต้องเอามา”
“ทำไม? ผู้เชี่ยวชาญหลินยอมแพ้แล้วเหรอ?” หวางจื่อเหวินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดูถูก “นี่แค่เริ่มต้นเอง เลือกแค่สองชิ้นประเดิมกันก่อน แค่ให้แยกของจริงหรือปลอมแค่นั้น ก็กลัวแล้วเหรอ?”
หลินอิ่งพูดขึ้น “แยกแยะของโบราณ แค่ดูก็รู้ได้”
“เด็กสมัยนี้ชั่งโอ้อวดจริงนัก” ผู้เชี่ยวชาญสูงอายุผมขาวท่านหนึ่งส่ายหัวพูดขึ้น
พวกเขาร่วมงานแลกเปลี่ยนแบบนี้ในวงการบ่อย ๆ ก็พอมีความรู้ด้านของโบราณพอสมควร ใครจะไม่รู้ว่า การแยกแยะพวกของสะสมของโบราณนั้นต้องดูใกล้ๆ อย่างละเอียด ยังต้องใช้กล้องขยายส่อง และใส่ถุงมือเฉพาะเพื่อสัมผัสอย่างละเอียด แม้กระทั่งใช้จมูกดมก็มี
ถึงแม้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เก่งก็ต้องใช้เวลาดู จึงจะสรุปได้
ขยะไร้ค่าอย่างหลินอิ่ง วัตถุโบราณก็คงเคยเห็นไม่กี่ชิ้น ยังกล้าพูดว่าแค่ดูก็รู้แล้ว?
หวางจื่อเหวินหัวเราะเยาะอย่างดูถูก แล้วพูดว่า “ได้เลย ผู้เชี่ยวชาญหลิน ทุกคนกำลังรอผลจากคุณอยู่ อยากถามว่ากล่องเล็กกับกระถางนี้มีที่มายังไง?”
หลินอิ่งพูดขึ้นเสียงเรียบ “จานสีเหลืองนี้เป็นของจริง เครื่องเคลือบดินเผาในสมัยหงจื่อราชวงศ์หมิงกระถางทองแดงนี้เป็นของเลียนแบบ เลียนแบบขึ้นอย่างละเอียดในสมัยราชวงศ์ชิง”
“นี่มัน?” หวางจื่อเหวินขมวดคิ้ว เขาแค่ชี้ของสองชิ้นไปเลื่อย ตัวเขาเองก็ยังสรุปของจริงของปลอมไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าหลินอิ่งจะสรุปออกมาอย่างมีเหตุมีผลแบบนี้
หวางจื่อเหวินให้ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งใส่ถุงมือหยิบจานเล็กใบนั้นขึ้นมาดู และมันก็มีสลักชื่อของสมัยหงจื่อราชวงศ์หมิงอยู่จริง
“นี่เป็นของสะสมของท่านใด? เชิญออกมาอธิบายให้ทุกคนหน่อย” หวางจื่อเหวินพูดขึ้น เขาเองก็ไม่รู้
“พี่หวาง หรือมันเป็นอย่างที่มันพูด? เป็นไปได้ยังไงไอ้ขยะนี้มันรู้ได้ พูดไปเลื่อยรึเปล่า?” ฉินเฟยพูดขึ้นอย่างไม่เชื่อ
“ผู้ชายเกาะเมียกินอย่างมันเนี่ยนะ จะแยกแยะออกได้อย่างไร ยังพูดอย่างมีเหตุมีผล ฉันดูแล้วน่าจะแต่งขึ้นมาเองมั้ง” อูฉู่เวินพูดอย่างดูถูก และไม่ใส่ใจ
“ฉินเฟย พวกคุณไม่รู้เรื่องพวกนี้ก็อย่าพูดไปเลื่อย นี่มันของสะสมของผม แน่นอนมันเป็นจานของสมัยหงจื่อราชวงศ์หมิง”
ชายหนุ่มท่านหนึ่งมองหน้าฉินเฟยพูดขึ้นอย่างจริงจัง จากนั้นสายตาก็มองไปที่หลินอิ่งอย่างน่าทึ่ง
ต้องรู้ว่า ครั้งที่เขาประเมินของชิ้นนี้ ใช้เวลาไปหลายเดือน หาผู้เชี่ยวชาญไปเป็นสิบคน ล้วนพูดไปต่างกัน สุดท้ายถึงสรุปผลที่มาและจริงเท็จได้
“แค่ก แค่ก กระถางทองแดงเลียนแบบสมัยราชวงศ์ชิงชิ้นนี้เป็นของผมเอง” ผู้เชี่ยวชาญใส่แว่นสายตาคนหนึ่งพูดขึ้น มองหลินอิ่งอย่างรู้สึกอาย ก่อนหน้านี้ยังพูดจาดูถูกหลินอิ่ง แค่ชั่วสายตาเดียวเขาก็ดูของในมือตัวเองออกทันที
แค่ครู่เดียว ฉินเฟยสามคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างหวางจื่อเหวินก็พูดอะไรไม่ออก หน้าแดงก่ำ บรรยากาศเงียบกริบไปทันที
แขกที่อยู่ในงานก็ได้ดูของสะสมสองชิ้นก่อนหน้านี้แล้ว จานเคลือบสีเหลืองของหงจื่อไม่ต้องพูดถึง เพราะทุกคนต่างดูออกแล้วว่าเป็นของจริง แต่อีกชิ้นคือกระถางทองแดงต่างคนต่างพูด ไม่มีบทสรุป
สายตาของทุกคนที่มองหลินอิ่งก็เริ่มเปลี่ยนไป ไม่ได้ดูถูกเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
สายตาของหลินอิ่งคนนี้แม่นยำจนน่ากลัวเกินไปไหม?
ดูของแท้ชิ้นหนึ่งออกอาจจะเดาได้ แต่เตาซวนเด๋อที่ราชวงศ์ชิงเลียนแบบราชวงศ์หมิง แค่ดูก็ประเมินของจริงหรือปลอมได้ และยังบอกรายละเอียดว่าราชวงศ์ชิงเลียนแบบราชวงศ์หมิงได้? นี่เกรงจะไม่ใช่คนธรรมดา?
“ก็พอมีความรู้บ้าง” หวางจื่อเหวินมองหลินอิ่งพูดขึ้น “อย่างนี้ก็สนุกแล้ว หวังว่างานแลกเปลี่ยนต่อจากนี้ นายจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ”
“พี่หวาง ผมว่ามันก็แค่จับพลัดจับผลู เดาถูกแค่นั้น ถ้าดูต่ออีกกี่ชิ้น ก็คงความแตก” อูฉู่เวินพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“เหอะ” หวางจื่อเหวินสบถเสียง กวาดสายตามองอัญมณีบนโต๊ะไม้แดง กำลังจะเลือกเพชรสักกี่ชิ้นมาทดสอบหลินอิ่งไม่สามารถตอบได้และขายหน้า
“วันนี้ครึกครื้นขนาดนี้หรือ? ได้ยินว่า คุณชายหวางพาคนฝีมีดีมาหรือ? ได้สมญานามว่าผู้เชี่ยวชาญนักสะสมแห่งเมืองชิงหยูน?”
ในเวลานี้เอง เสียงเคร่งขรึมก็ดังขึ้นมา
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดโบราณสมัยถังคนหนึ่ง เดินเข้ามาอย่างใจเย็น ในมีกำลูกแก้วหยกสองชิ้นไว้
“อาจารย์หู?วันที่ทำไมถึงมีเวลามาหมิงเป่าซวนได้?”
“อาจารย์หู ไม่เจอกันนาน หรือวันนี้ท่านมีของรักชิ้นสำคัญจะนำมาปล่อยในวันนี้?”
ชายวัยกลางคนในชุดถังโบราณเดินเข้ามา แขกที่มาร่วมงานต่างก็ทักทายท่าน ดูแล้วน่าจะเป็นคนมีหน้ามีตาในวงการ
“ฉีโม่ คนนี้เป็นปรมาจารย์เรื่องวัตถุโบราณที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูน หูหมิงหยิน เธอน่าจะเคยได้ยินมั้ง?” จางหงอี้พูดแนะนำ “วันนี้ถือว่าโชคดี เมื่อไหร่ที่หูหมิงหยินมาหมิงเป่าซวน ต้องมีของมีค่าชิ้นสองชิ้นมาปล่อย ถือว่าได้เห็นเป็นบุญตาแล้ว”
“หูหมิงหยิน?ก็คือบุคคลในตำนานของเมืองชิงหยูนนั่นเหรอคะ?” จางฉีโม่ถามขึ้นด้วยสายตาประหลาดใจ แสดงว่าเคยได้ยินชื่อของบุคคลนี้แล้ว
หูหมิงหยินในวงการนักสะสมของโบราณในเมืองชิงหยูน เขาเป็นที่สอง ก็ไม่คนกล้าเป็นหนึ่งแล้ว
ที่สำคัญคนนี้มาจากครอบครัวธรรมดา เมื่อก่อนเป็นลูกศิษย์ในตลาดนักสะสม จากนั้นก็ฝึกฝนเรียนรู้ฝีมือการประเมินของมีค่า ด้วยฝีมือตัวเอง ทำงานหลายปี สะสมเงินทอง จนก่อตั้งบริษัทหมิงหยินด้วยมือตนเอง ดำเนินกิจกรรมบริษัทรับซื้อและงานประมูล จนวันนี้เป็นถึงบุคคลมีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูน
หวางจื่อเหวินมองหูหมิงหยินไปทีหนึ่ง ยิ้มพูด “อาจารย์หู นักเชี่ยวชาญวัตถุโบราณที่ผมพูดถึงก็คือหลินอิ่งคนนี้ครับ”
“ออ?” หูหมิงหยินมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยิ้มพูด “พอดีเลย วันนี้ฉันมีของมาด้วย มีอยู่ชิ้นหนึ่งฉันเองก็ดูไม่ออก ต้องขอคำชี้แนะด้วย”
“ขอให้ทุกคนช่วยกันดูให้ด้วยนะ”
หูหมิงหยินพูดไปยิ้มไป พูดจบก็นั่งลง ตบมือ ลูกศิษย์หนุ่มสองคนที่อยู่ด้านหลัง ก็ยกหีบไม้อย่างระมัดระวังขึ้นวางบนโต๊ะ แล้วหยิบของสะสมออกมาอย่างระวัง