ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 536 ตัวแทนชีซิงกรุ๊ป
พูดไป จ้าวหลันเอ๋อร์ลุกขึ้น กงซุนชิวอวี่และหลินอิ่งทั้งสองคน ก็ค่อยๆเดินเข้าไปกลางงานเลี้ยง
จ้าวหลันเอ๋อร์เดินอยู่ข้างหน้า ใบหน้ายังคงรักษารอยยิ้มอย่างมีมารยาท ใส่ชุดราตรีสีดำ บวกกับหน้าตาอันสวยงาม ทำให้คนที่เดินไปมาอดที่จะหันกลับมามองไม่ได้ กลายเป็นจุดเด่นของงานทันที
แต่ว่า กงซุนชิวอวี่และฉู่ฉู่ที่ยืนข้างกายจ้าวหลินเอ๋อร์ ความงามและบุคลิกทุกด้านก็ไม่ได้แพ้แม้แต่น้อย
ส่วนหลินอิ่งผู้ชายคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงกลาง ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ดึงดูดสายตาที่อิจฉาของผู้คน
ทำให้คนมากมายในงานต่างก็พากันซุบซิบนินทา พูดถึงฐานะความเป็นมาของกงซุนชิวอวี่และฉู่ฉู่
แน่นอน คนส่วนมากก็รู้สึกสงสัยในตัวหลินอิ่ง
หลินอิ่งที่หน้าตาอายุน้อยขนาดนี้ มีสาวงามระดับประเทศสามคนอยู่ข้างกาย ยืนอยู่กลางงาน ช่างทำให้คนรู้สึกอิจฉาและแปลกใจ
ในความทรงจำของพวกเขา ไม่มีคนรู้จักหลินอิ่ง
ไม่ว่าพูดคุยกันยังไง ก็ไม่มีคนรู้ นี่มันคุณชายของตระกูลไหนกันแน่?
ในขณะที่ทุกคนในงานยิ่งรู้สึกสงสัย สายตาต่างก็สังเกตอยู่บนตัวหลินอิ่ง
จ้าวหลันเอ๋อร์สังเกตเห็นสถานการณ์นี้แล้ว เหล่มองหลินอิ่ง ยิ้มอย่างรู้สึกสนุก สายตาเหยียดหยาม
ไม่นาน จากการนำของจ้าวหลันเอ๋อร์ ทั้งสี่คนก็เข้าไปนั่งในที่นั่งVIP มองสถานการณ์บนเวทีของงาน
บนเวที พิธีกรชายหนึ่งหญิงหนึ่งในชุดสูท กำลังอธิบายขั้นตอนในการประมูลวัตถุโบราณล้ำค่าแต่ละชิ้น
วัตถุโบราณเหล่านี้ล้วนมาจากบริษัทที่อยากจะเข้ามาอยู่ในเมืองเทียนหลง บริจาคของสะสมล้ำค่าต่างๆนานา เงินที่ได้จากการประมูล บริจาคให้มูลนิธิการกุศลศูนย์การค้าเลขที่18ในเมืองเทียนหลง นำมาสร้างอุปกรณ์สวัสดิการต่างๆ สวนสาธารณะหรือโรงเรียนพวกนี้
หลินอิ่งไม่ได้สนใจวัตถุโบราณพวกนี้ ไม่ได้อยากออกราคาประมูล ก็ยกน้ำชาขึ้นดื่ม ลิ้มรสอย่างใจเย็น
สำหรับการทำงานกุศล
เงินแค่นี้ ก็ไม่เข้ากับฐานะของเขา
ผ่านไปแบบนี้หลายนาที วัตถุโบราณของสะสมแต่ละชิ้นถูกประมูลออกไปเรื่อยๆ
จ้าวหลันเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างหลินอิ่ง มองหลินอิ่งและหัวเราะเย็นชา
“คุณทำไมดูอย่างเดียวล่ะ? มาออกงานกับหลินอิ่ง แม้แต่เรื่องให้หน้าตาในสังคมแบบนี้ก็ทำไม่เป็นเหรอ?” จ้าวหลันเอ๋อร์ท่าทางสูงส่ง พูดจาสั่งสอน “ไม่ว่ามีเงินหรือไม่มีเงิน ยังไงก็ประมูลสักกี่ชิ้นก็ยังดี ไม่ว่ายังไง ชิวอวี่ก็ไม่ให้คุณจ่ายเงินอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“เหอะ” หลินอิ่งส่ายหน้า ไม่สนใจ
กับผู้หญิงที่จิตใจคับแคบแบบนี้ เขาขี้เกียจไปพูดอะไร
“เห้อ” จ้าวหลันเอ๋อร์ทำเสียงเย็นชา สายตาดูถูก
จากนั้น เธอก็ประมูลเครื่องประดับหยกราคาหลักล้านมาหลายชิ้น
“ชิวอวี่ ฉันเลือกกำไลหยกมาสองชิ้น เธอเอาไปเถอะ เธอไม่ใส่เอง ก็เอาไปให้น้องหรือเพื่อนก็ได้” จ้าวหลันเอ๋อร์พูดอย่างใจดี
“แล้วก็คุณฉู่ คุณเป็นเพื่อนชิวอวี่ เจอกันครั้งแรก นี่คือของขวัญการพบกันครั้งแรกจากฉัน หวังว่าคุณจะรับไว้” จ้าวหลันเอ๋อร์มองไปที่ฉู่ฉู่ พูดอย่างยิ้มแย้ม
“หา? นี่? ไม่ค่อยดีมั้งคะ” ฉู่ฉู่รู้สึกทำตัวไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าจ้าวหลันเอ๋อร์เจอกันครั้งแรก ก็มอบกำไลหยกราคาหลักล้านให้
“ไม่เป็นไร ทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนกัน ไม่รับก็ถือว่าไม่ให้เกียรติฉันนะ” จ้าวหลันเอ๋อร์พูดอย่างยิ้มแย้ม เพราะตั้งใจหวังผลประโยชน์
เพราะว่า ฉู่ฉู่ถึงจะไม่สนิทกับเธอ แต่ยังไงก็เป็นเพื่อนที่กงซุนชิวอวี่พาออกมา
ด้วยฐานะขอกงซุนชิวอวี่ ของเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้เกิดผลประโยชน์อะไร แต่มอบให้เพื่อนของชิวอวี่ ก็ต้องทำให้ชิวอวี่รู้สึกมีหน้ามีตาเป็นธรรมดา
สรุปก็คือ ครั้งนี้เธอมีเรื่องจะขอร้องชิวอวี่ เงินแค่นี้สามารถเกิดผลที่ดีได้ นั่นก็ถือว่ากำไรแล้ว
ฉู่ฉู่รู้สึกทำตัวไม่ถูก สายตาตั้งคำถาม หันไปมองหลินอิ่ง
“ฉู่ฉู่ คุณอยากรับก็รับไว้เลย แล้วแต่ความหมายของคุณ” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็กแค่นี้
พูดตามตรง ไม่ว่าจะเป็นเขา หรือฉู่ฉู่ ของขวัญแค่นี้ มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
แน่นอน ยื่นมือตบหน้าคนยิ้มไม่ได้ จ้าวหลันเอ๋อร์จะให้ของขวัญการพบหน้ากับฉู่ฉู่ ตัวเขาเองก็ไม่มีอะไรจะพูด แล้วแต่พวกเธอ
เห็นท่าทางของฉู่ฉู่และหลินอิ่งแล้ว จ้าวหลันเอ๋อร์ก็แสดงสีหน้าดูถูก ในใจยิ่งรู้สึกเหยียดหยาม
เห็นได้ชัดว่าเป็นแค่แมงดาที่ชอบเอาเปรียบผู้หญิง ยังแสดงท่าทางอีก
เธอแค่เอาของขวัญราคาหลักล้านชิ้นเดียว ก็ทำให้หลินอิ่งสองคนนี้ทำตัวไม่ถูกแล้ว ไม่เคยเข้าสังคมจริงๆ
“ขอโทษด้วย คุณจ้าว ฉันรับไว้ไม่ได้ ปกติฉันก็ไม่มีนิสัยชอบใส่เครื่องประดับ” ฉู่ฉู่ปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
ระเบียบวินัยของตระกูลฉู่เคร่งครัด หญิงสาวไม่ได้แต่งงานห้ามใส่เครื่องประดับต่างๆนานา
ต้องรอถึงเวลาที่หญิงสาวในตระกูลฉู่จะแต่งงาน ตระกูลฉู่มีเครื่องประดับอัญมณีหายากหลายชุด
เป็นถึงตระกูลราชาแห่งยา รากฐานมรดกแน่นหนา เครื่องประดับอัญมณีทั่วไปไม่ได้เข้าตาคนตระกูลฉู่เลย
จ้าวหลันเอ๋อร์หัวเราะ พูดว่า “ก็ได้”
“คุณหลิน ท่านนี้คือแฟนคุณใช่ไหม? แฟนสาวสวยขนาดนี้ คุณไม่ได้ซื้อเครื่องประดับระดับดีสักชิ้น ไม่สมควรจริงๆ” จ้าวหลันเอ๋อร์พูดจาเสียดสี
ฉู่ฉู่หน้าแดงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
หลินอิ่งหัวเราะ พูดอย่างเรียบเฉย “มันไม่เกี่ยวกับคุณ”
จ้าวหลันเอ๋อร์หัวเราะเย็นชา สีหน้ายโส
เวลานี้ บนเวลาเปลี่ยนพิธีกรกะทันหัน
มีชายวัยกลางคนในชุดสูทสีน้ำเงิน สีหน้าเคร่งขรึมหลายคน เดินเข้ามาในงาน ดึงดูดความสนใจของผู้คน
ชายวัยกลางคนหลายคนนี้ มีตราของชีซิงอย่างโดดเด่นบนเสื้อสูท
เห็นได้ชัดว่า นี่คือตัวแทนผู้บริหารระดับสูงของชีซิงกรุ๊ปแห่งเกาหลี
“ว้าว นี่ นี่เป็นกลุ่มผู้บริหารของชีซิงกรุ๊ปใช่ไหม? มาร่วมงานในครั้งนี้เหรอ?”
“ดูแล้วชีซิงกรุ๊ปก็จะเข้าร่วมเรื่องในเมืองเทียนหลงด้วย ฉันได้ยินว่า ประธานเผียวของชีซิงกรุ๊ปมาที่ตี้จิงด้วยตัวเอง ยังจัดตั้งสำนักงานใหญ่ประเทศหลุงในตี้จิงด้วย”
“เรื่องนี้ฉันก็ได้ยินแล้ว ได้ข่าวว่าเป็นเพราะครั้งนั้นคุณชายอิ่งแห่งตี้จิงทำให้ลูกชายสองคนของประธานเผียวพิการ ครั้งนี้ตระกูลสวีและตระกูลฉีเปิดสงครามไม่ใช่เหรอ? ชีซิงกรุ๊ปสนับสนุนตระกูลสวีอย่างเต็มที่”
เมื่อชายวัยกลางคนหน้าตาเคร่งขรึมหลายคนเข้ามาในงาน ภายในงานก็พากันสนทนา พูดถึงข่าวต่างๆนานา
หลินอิ่งวางแก้วน้ำชาลง สายตาเย็นชามองไปที่คนเกาหลีที่เข้ามาในงาน
“ทุกคนต้อนรับ ประธานบริหารชีซิงกรุ๊ป คุณเผียวเจียงลี่นำทีมธุรกิจมาร่วมงาน”
พิธีกรบนเวทีแนะนำอย่างเป็นทางการ
ทันใดนั้น ภายในงานก็มีเสียงปรบมือดังกึกก้อง
ดูเหมือน เท่าที่ทุคนดูแล้ว นี่ก็เป็นเหมือนเทพแห่งการเงินองค์หนึ่งเข้ามา
เผียวเจียงลี่ น้องชายของประธานชีซิงกรุ๊ปเผียวจินฮุน ผู้มีอำนาจคนหนึ่งของธุรกิจตระกูลเผียวแห่งเกาหลี ฐานะสูงส่ง
“เคกเคก ขอบคุณการต้อนรับของทุกท่าน” เผียวเจียงลี่เดินขึ้นไปบนเวที พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ครั้งนี้ ผมมาที่นี่ เพื่อประกาศนโยบายของบริษัทเราอย่างหนึ่ง ยินดีให้ทุกท่านมาทำความเข้าใจ สนับสนุนชีซิงกรุ๊ปของเราในการพัฒนาเมืองเทียนหลง”
“แน่นอน ก่อนทุกอย่าง ผมมีข่าวดีจะแจ้งให้ทุกท่านทราบ ชีซิงกรุ๊ปของเรา จะจัดตั้งมูลนิธิการกุศลชีซิงที่เมืองเทียนหลง ลงทุนสองพันล้าน ใช้สำหรับกิจการการกุศลโดยเฉพาะ”