ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 55 แพร่งพราย
บทที่ 55 แพร่งพราย
“ไม่ใช่มั้ง? คุณชายหวางใจกล้าขนาดนี้? ขนาดภาพลมฝนกับต้นกล้วยยังไม่อยู่ในสายตา? ภาพนี้ประเมินอย่างต่ำก็ต้องเจ็ดแปดล้าน” ผู้เชี่ยวชาญสูงอายุท่านหนึ่งพูดขึ้นอย่างตะลึง
“โอ้ ไม่แปลกเลยที่เป็นคุณชาย สายตาก็สูงกว่าคนทั่วไป ผมอยู่ในวงการนักสะสมก็นานแล้ว ในมือยังไม่มีของมีค่าขนาดนี้เลย ถ้าได้ของระดับนี้ไว้ในมือ ชาตินี้ก็คุ้มค่าแล้ว” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นอย่างชื่นชม
“ไม่น่าเชื่อ วันนี้ถือว่าได้เห็นเป็นบุญตาแล้ว คุณชายหวางนี่ช่างมีจิตวิญญาณไม่เหมือนคนทั่วไปเลยจริง ๆ”
หวางจื่อเหวินยิ้ม สีหน้าระรื่นใจ พอใจกับสถานการณ์ตอนนี้มาก เต็มไปด้วยความรู้สึกเหนือกว่าคนอื่น
“ฉีโม่ เธอก็เห็นคุณสมบัติของจื่อเหวินแล้วซินะ? รอบรู้ทั้งจีนและตะวันตก รสนิยมก็สูง ฐานะเงินทองยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนหนุ่มที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ไปหาที่ไหน?” จางหงอี้ยิ้มหน้าบาน ชื่นชมหลานตัวเองไม่หยุด
พูดจบ เธอก็หันไปดูหลินอิ่งสีหน้าเย็นชา พูดว่า “คนไร้ประโยชน์อย่างแกวันนี้ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้วซิ? สำหรับชีวิตสมบูรณ์แบบอย่าง จื่อเหวินแกพยายามทั้งชาติก็เอื้อมไม่ถึง แกดูตัวเองซิว่าต่างกับจื่อเหวินตั้งเท่าไหร่? ยังกล้าไปปฏิเสธจื่อเหวินแทนฉีโม่อีก? น่าตลกจริง”
“น้ารอง ไม่ต้องพูดแล้วค่ะ” จางฉีโม่พูดขึ้นสีหน้าจริงจัง
จางหงอี้สบถไปทีหนึ่ง คิดในใจ กลับไปแล้วจะเจรจากับจางซิ่วเฟิงสองผัวเมียยังไง ให้พวกเขาขจัดสิ่งกีดขวางอย่างหลินอิ่งทิ้ง จะได้พาหวางจื่อเหวินไปแนะนำ
ขอให้เรื่องนี้สำเร็จ ครอบครัวหวางจื่อเหวินกับครอบครัวของตนก็จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน ครอบครัวตนจะได้มีจุดยืนที่มั่นคงขึ้นในตระกูลหวาง เหมือนดั่งน้ำขึ้นไม่ตก
ต้องรู้ว่า ถึงแม้หวางโจงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์หนึ่งในตระกูลหวาง มีอำนาจไม่น้อย แต่ในภายในตระกูลหวางพี่น้องมากมาย มากสุดเขาก็จัดอยู่ลำดับที่ห้าที่หก
แต่พ่อของหวางจื่อเหวิน เป็นผู้มีอำนาจมากสุดหนึ่งในสองของคนรุ่นใหญ่ในตระกูลหวาง หวางจื่อเหวินคนนี้ก็ทายาทผู้สืบทอดที่ผู้เฒ่าตระกูลหวางเลือกไว้
“ใช่แล้ว คุณชายหวาง ภาพลมฝนกับต้นกล้วยนี้ไม่อยู่สายตาคุณ แต่กลับถูกใจแจกันคู่นั้น หรือคุณมีความคิดอะไร?” เวลาเดียวกัน คุณชายคนหนึ่งถามขึ้นอย่างสงสัย
หวางจื่อเหวินพยักหน้า ท่าทางอิ่มเอมใจ พูดขึ้น “ใช่แล้ว ผมถูกใจแจกันคู่นี้มาก”
เขาชี้ไปที่แจกันสลักมังกรหงส์คู่นั้นที่วางอยู่บนโต๊ะไม้แดง พูดขึ้น “ผมดูแล้ว แจกันคู่นี้ เป็นผลงานหมิงถ้วยเฉิงหว้าสมัยราชวงศ์ ไม่ว่าศิลปะหรือการออกแบบ ล้วนเป็นผลงานชั้นเยี่ยม
พูดจบ หวางจื่อเหวินก็เริ่มพูดขึ้นอีก “นอกจากนี้แล้ว ผมยังดูออกว่าแจกันคู่นี้ยังมีคุณค่าและความพิเศษของมันอีก ใต้ฐานแจกันนอกจากมีรหัสปีเฉิงหว้าแล้ว ยังมีเครื่องหมายตระกูลซูด้วย”
“นี่หมายความว่าไงหรือ?” หวางจื่อเหวินสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พูดอวดไม่หยุด “จากการประเมินด้วยความรู้ของผมแล้ว ตระกูลซูในสมัยราชวงศ์หมิงชื่อเสียงโด่งดัง แน่นอนนั่นหมายถึงรุ่นหลังของอ๋องจงซานสวีต๋า บ้านที่มีนายสองคน เว่ยกั๋วกงและติ้งกั๋วกงแห่งตระกูลซู ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลผู้ดีอันดับหนึ่งในราชวงศ์หมิง และแจกันคู่นี้ น่าจะเป็นปีระหว่างสมัยเฉิงหว้าได้รับพระราชทานจากวังให้กับตระกูลซู ซึ่งรวมแจกันพระราชทานคู่นี้ด้วย
“บวกกับเป็นแจกันคู่ที่หาดูได้ยาก และเป็นงานถ้วยเฉิงหว้าด้วย เพราะฉะนั้น ราคาของแจกันคู่นี้ ผมประเมินให้ ไม่ต่ำกว่าสามสิบล้าน” หวางจื่อเหวินอธิบายยาวเหยียด ท่าทางมั่นใจ
ได้ยินตามนี้แล้ว แขกที่อยู่ในงานต่างก็มีชื่นชมกัน
“เยี่ยมมาก พูดได้ดีมาก คุณชายหวางความรู้กว้างขวาง ชั่งหาที่เปรียบได้ยาก ผมเข้าวงการนี้ก็สามสิบปีแล้ว ยังไม่สามารถประเมินได้แม่นยำอย่างคุณชายหวางเลย” ผู้เชี่ยวชาญสูงอายุใส่แว่นท่านหนึ่งพูดขึ้น อย่างชื่นชม
“ความเห็นของคุณชายหวางตรงกับพวกเราเลย แต่พวกเราแค่ไม่กล้าสรุป” ผู้เชี่ยวชาญอีกท่านหนึ่งพูดชมขึ้นมาอีก
“เงินมหาศาลเลย งานแลกเปลี่ยนวันนี้ ได้เห็นของสะสมชั้นเยี่ยมแบบนี้ ไม่เสียเที่ยวจริง ๆ” คุณชายท่านหนึ่งพูดขึ้น
“ถ้วยเฉิงหว้าราคาสูงอยู่แล้ว และยังเป็นแจกันคู่ที่หายากด้วย และยิ่งมาจากตระกูลซู? มันก็ยิ่งมีความหมายและคุณค่าขึ้นไปอีก” คุณชายคนหนึ่งพูดขึ้น “อาจารย์หูออกมาครั้งนี้ ทำให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาจริง ๆ การประเมินจากคุณชายหวาง ก็ยิ่งทำให้เราได้รับความรู้เพิ่มขึ้นอีก”
หวางจื่อเหวินมองแจกันคู่นั้นด้วยสายตาเร่าร้อน และมองไปยังหูหมิงหยิน พูดขึ้นอย่างมั่นใจ “ อาจารย์หูแจกันคู่นี้ ผมให้ราคาสามสิบล้าน อยากรู้ว่า อาจารย์หูจะยินดีขายให้ผมไหม”
หูหมิงหยินค่อย ๆพูดขึ้น สีหน้าไม่เปลี่ยน “คุณชายหวางก็พูดไป ผมก็แค่ทำมาหากินในเมืองชิงหยูน จะกล้าไม่ขายให้คนตระกูลหวางได้อย่างไร? แต่ผมแค่สงสัย ถึงคุณชายหวางก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ แต่ไม่ค่อยเห็นในงานประมูลของสะสมสักเท่าไหร่นัก ตอนนี้ทำไมถึงอยากซื้อของสะสมราคาตั้งสิบล้าน เพราะอะไรหรือ?”
หวางจื่อเหวินยิ้ม พูดขึ้น “ปกติแล้ว ถึงผมจะชอบก็ไม่ได้จะซื้อตลอด แต่ครั้งนี้ ทุกคนในวงการคงรู้ดี อีกไม่นานก็คือวันเกิดแปดสิบปีของคุณปู่ผม ท่านชอบสะสมของโบราณ ผมกำลังหนักใจอยู่ว่าจะซื้ออะไรเป็นของขวัญให้ท่าน พอดีเลย วันนี้ได้เห็นของมีค่าชิ้นนี้ อาจารย์หู คงเข้าใจว่าผมรีบร้อนขนาดไหน”
หูหมิงหยินยิ้มแล้วพูด “ในเมื่อคุณชายหวางจะเอาไปอวยพรวันเกิด อย่างนี้ผมว่าคงไม่มีใครแย่งกับคุณชายหวางแล้ว สามสิบล้าน แจกันคู่นี้นำไปได้เลย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอขอบคุณอาจารย์หูที่ให้เกียรติ” หวางจื่อเหวินสีหน้าได้ใจ ดีใจจนหาอะไรเปรียบไม่ได้ โบกมือให้ฉินเฟยไปชำระเงิน
เขารู้สึกดีใจมาก โชคดีอย่างมาก ที่ได้ซื้อแจกันคู่นี้อย่างราบรื่น อีกไปนานในงานเลี้ยงวันเกิดเขาก็สามารถเอาชนะพี่น้องตระกูลหวางทุกคนได้ ใช้ของขวัญชิ้นนี้เอาใจคุณปู่ และยังได้อวดฝีมือความรู้ต่อหน้าไอ้ขยะหลินอิ่งและจางฉีโม่ ถือว่าได้กู้สถานการณ์ที่ถูกปฏิเสธรับของขวัญก่อนหน้านี้กลับมาได้แล้ว
ได้รับคำชื่นชมทั่วงานแล้ว หวางจื่อเหวินก็วางมาดเหมือนตัวเองเหนือกว่าแล้วหันไปมองหลินอิ่ง พูดล้อขึ้น “ผู้เชี่ยวชาญหลิน? เกือบลืมเลย ไม่ทราบว่าคุณมีความเห็นยังไงกับแจกันคู่นี้? หรือจะบอกผมเหมือนเดิมว่า ถ้วยเฉิงหว้าของแท้?”
“พี่หวาง ราคาตั้งสามสิบล้านบอกซื้อก็ซื้อ ผมว่าไอ้ขยะนี้มันคงดูจนงงไปเลย ดูสภาพจนอย่างมันแล้ว คงไม่มีปัญญาซื้อของสะสมหรอก ยังคู่ควรคุยเรื่องที่มาของล้ำค่าขนาดนี้?” ฉินเฟยพูดเย้นหยัน
“จะไม่ใช่ได้ไง พี่หวางพูดคำไหนคำนั้น ถูกใจก็ซื้อทันที ไอ้ขยะนี่ก็ได้แต่เดาไปเลื่อย ไม่มีเงินซื้อ ยังมีหน้าพูดว่าในเมืองชิงหยูนไม่มีใครรู้เรื่องของสะสมมากกว่ามัน ความสามารถของพี่หวางก็ไม่รู้สูงกว่ามันตั้งกี่เท่าแล้ว” อูฉู่เวินก็พูดเย้นหยันตามอีกคน
จางหงอี้เมื่อเห็นสถานการณ์ก็ยิ้มขึ้นมา มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าดูถูก พูดว่า “ผู้ชายเกาะเมียกินอย่างแก ดูจนงงไปเลยซิ? ตอนนี้คงรู้แล้วซินะว่าตัวเองเป็นใคร? ยังมีหน้าไปเทียบกับจื่อเหวิน? ของที่จื่อเหวินถูกใจก็ให้ราคาสามสิบล้าน ขนาดของมีค่าขนาดนี้ยังประเมินได้ ใช้เงินใช้เงินจริงไปซื้อ และมั่นใจกับความรู้ความสามารถในงานสะสมขนาดไหน? ฉลาดขนาดไหน?”
พูดจบ เธอก็ยิ้มแล้วหันไปพูดกับจางฉีโม่ “ฉีโม่ ครั้งนี้มาหมิงเป่าซวน สายตาเธอคงแยกแยะได้แล้ว หลินอิ่งเป็นคนยังไง ใจเธอก็น่าจะรู้แล้วนะ? น้ารองแนะนำจื่อเหวินให้เธอ ถือว่าช่วยเธอเปิดหนทางแล้วนะ”
“ทำไม? ผู้เชี่ยวชาญหลินพูดไม่ออกแล้วเหรอ? ของราคาสูงขนาดนี้ดูไม่รู้เรื่องแล้วเหรอ?” หวางจื่อเหวินพอได้ทีก็ไม่ปล่อยคนอื่น หัวเราะเยาะขึ้นมา “พูดโอ้อวดต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญมากมาย ตอนนี้ไม่กล้าพูดอะไรเลย จะคอยดูว่าอีกหน่อยแกจะอยู่ในเมืองชิงหยูนยังไง? ออ แน่นอน คนไร้ประโยชน์เกาะเมียกินอย่างนาย ก็คงไม่รู้จักอายแล้วมั้ง?”
หลินอิ่งมองไปที่หวางจื่อเหวินมุมปากโค้งขึ้นเหมือนเยาะเย้ย ยิ้มแล้วพูดว่า “เหอะๆ ของปลอม”