ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 57 อับอายขายหน้า
บทที่ 57 อับอายขายหน้า
“ใช่ ต้องเอามันให้ตาย ไอ้ขยะนี่คิดว่าตัวเองเคยฝึกมวยมา ถึงกล้าต่อยผมกับเสิ่นห้าว มันนี่รนหาที่ตาย” ฉินเฟยพูดขึ้นด้วยความโมโห
เสิ่นห้าวก็สีหน้าโมโห พูดขึ้นด้วยความโมโห “ไอ้ลูกเขยหน้าตัวเมียของตระกูลจางยังกล้ารังแกพวกเรา เป็นอริกับพวกเรา รนหาที่ตาย”
“พี่หวาง วันนี้ขายหน้าขนาดนี้ พวกเราต้องเอาคืน ไม่อย่างนั้นอีกหน่อยพวกเราจะยกหัวไม่ขึ้นในวงการผู้ดี” อูฉู่เวินก็พูดขึ้นด้วยความโกรธ “ไอ้หน้าตัวเมียนี่มันนึกว่ามันรู้เรื่องของสะสมหน่อย ก็กล้าอวดดีต่อหน้าพวกเรา น่าโมโหจริง ๆ”
เรื่องที่เกิดขึ้นในหมิงเป่าซวนวันนี้ ทำให้พวกเขาขายหน้าขนาดนี้ โดนไอ้ขยะนี้ตบหน้าจนไม่รู้เอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว
ถ้าไม่กู้หน้ากลับมา อีกหน่อยพวกเขาคงวางตัวในวงการผู้ดีลำบากแล้ว
“เสิ่นห้าว นายไปจัดคนมาเดี๋ยวนี้ อย่าให้มันเดินออกจากซอยนี้ได้” หวางจื่อเหวินพูดขึ้นสีหน้าเย็นชา
“ครับ” เสิ่นห้าวหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร แล้วเดินไปที่ทางเดินอย่างโมโห
“จางฉีโม่นี่ก็ไม่รู้จักเจียมตัว พี่หวางดีด้วยขนาดนี้ ให้โอกาสขนาดนี้แล้ว ยังกล้ามาปฏิเสธอีก” ฉินเฟยพูดขึ้น
หวางจื่อเหวินสบถออกมา คิดถึงหน้าตาอันสวยงามของจางฉีโม่ ก็เริ่มมีความคิดอันเลวร้ายในหัวขึ้นมา
“คอยดู ซักวัน กูจะทำให้จางฉีโม่มาเป็นของเล่นในมือกู ทำให้ไอ้ขยะหลินอิ่งมันดูว่า เมียที่มันไม่ได้แตะต้อง กูเอามาเล่นยังไง” หวางจื่อเหวินพูดขึ้นเสียงเย็นชา สายตาเต็มไปด้วยแววชั่วร้าย
“ใช่ ในเมื่อจางฉีโม่ไม่รับความหวังดีไว้ พี่หวางต้องมีวิธีได้เธอมาไว้ในกำมือแน่นอน” อูฉู่เวินพูดขึ้น
หวางจื่อเหวินยากที่จะระงับอารมณ์โกรธหันหลังกลับ มองไปที่สายตาของแขกที่งานที่มองมาด้วยความแปลก หน้ารู้สึกแดงร้อนขึ้นมา
เขารีบเดินออกมาหน้าห้องโถงกับพวกฉินเฟย ไม่อยากอยู่ให้ขายหน้าอีก
“ฮา ฮา ฮา คุณชายสองของตระกูลหวางยังมีวันขายขี้หน้าแบบนี้ด้วยเหรอ?”
“อื้อหือ เรื่องนี้ให้พูดออกไป ตระกูลหวางมีคนแบบนี้อยู่? อีกหน่อยยังมีหน้าไปเรียกตัวเองว่าตระกูลนักสะสมอีกไหม?”
รอจนหวางจื่อเหวินจากไปแล้ว แขกในงานต่างก็นินทาหัวเราะเยาะขึ้นมา พูดคุยกันอย่างสนุกเลย
……
อีกฝั่งหนึ่ง หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็ลงมาชั้นล่างแล้ว อู่เจิ้งก็รีบขับรถมารอที่ข้างทางแล้ว
“หลินอิ่ง เมื่อกี้คุณดูออกได้อย่างไร? แล้วคุณไม่เรียนรู้เรื่องความรู้เกี่ยวกับวัตถุโบราณตั้งแต่เมื่อไหร่?” จางฉีโม่อดสงสัยไม่ได้จึงถามขึ้นมา
เธอนึกไม่ถึงเลยว่าหลินอิ่งที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของเธอมานานหลายปี มีความรู้เรื่องวัตถุโบราณลึกซึ้งขนาดนี้ ซึ่งทำให้เธอเหลือเชื่อ
ขนาดนักสะสมผู้เชี่ยวชาญในหมิงเป่าซวนตั้งเยอะแยะ ยังชื่นชมและเลื่อมใสเขาเต็มที่ ยังมีคนเชิญเขาเข้าเป็นที่ปรึกษาในบริษัท?
นี่ยังเป็นหลินอิ่งที่เธอคิดว่าธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษอยู่ไหม?
หลินอิ่งพูดขึ้น “นี่คือความลับ”
“เชอะ” จางฉีโม่กลอกตาใส่เขา แต่สีหน้าค่อนข้างครุ่นคิด หลินอิ่งในใจเธอ ยิ่งอยู่ยิ่งลึกลับแล้ว……
“แต่ว่า เรื่องมันไม่ง่ายแค่นี้นะ คุณดูถูกพวกหวางจื่อเหวิน ให้พวกเขาขายหน้าต่อหน้าผู้คนเยอะแยะ พวกเขาต้องไม่ปล่อยไปง่าย ๆ แน่” จางฉีโม่พูดขึ้นอย่างกังวล “นั่นมันตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหวาง ขนาดตระกูลจางทั้งตระกูลยังไม่มีใครกล้าขัดใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบ้านฉัน เฮ้อ……”
“ไม่จำเป็นไปกังวลกับเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นหรอก” หลินอิ่งพูดขึ้นเสียงเรียบ “เรื่องในอนาคต ไว้พูดในอนาคต”
“เหอะ ไม่ต้องกังวล ช่างกล้าพูดนะ”
เวลานี้ จางหงอี้ก็เดินมาถึงชั้นล่างด้วยอารมณ์โกรธ มองหลินอิ่งตาลุกเป็นไฟ
“เมื่อกี้แกกล้าสั่งสอนผู้ใหญ่อย่างฉันเหรอ ยังรู้มารยาทอยู่ไหม?” จางหงอี้ตำหนิด้วยความโกรธ “แกคิดว่ามีความรู้เกี่ยวกับของโบราณแค่นี้ ก็อวดดีต่อหน้าคนตระกูลหวางได้เหรอ? ยังเปิดโปงเขาต่อหน้าคนมากมาย ทำให้จื่อเหวินขายหน้า แกรู้ไหมว่าแกทำอะไรลงไป? ตระกูลหวางเป็นคนที่แกหาเรื่องได้เหรอ?”
“ฉีโม่ ฉันบอกเธอนะ ไอ้ขยะนี่สักวันจะทำให้บ้านเธอเดือดร้อน” จางหงอี้พูดขึ้น “คิดว่าตัวเองมีความรู้นิดหน่อย ก็ไม่ดูว่าตัวเองเป็นใคร ยังกล้าไปหาเรื่องคนตระกูลหวาง ทำให้จื่อเหวินขายหน้าที่หมิงเป่าซวน มันมีปัญญาไปรองรับความโกรธของตระกูลหวางไหม?”
“สู้คนอื่นไม่ได้ ขายขี้หน้า ยังมีหน้าไปโกรธคนอื่น?” หลินอิ่งส่ายหัว พูดขึ้นอย่างเย็นชา
“แกจะซวยถึงบ้านแล้วรู้ไหม? ไอ้โง่ ยังอวดดีอีก ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักแยกแยะสถานการณ์” จางหงอี้มองหลินอิ่งพูดขึ้นอย่างเย็นชา “กล้าหาเรื่องคนตระกูลหวาง คนในเมืองชิงหยูนไม่มีใครช่วยแกได้แล้ว รอตายเถอะ”
“ฉีโม่ เรื่องในวันนี้ ฉันจะคุยกับพ่อแม่เธออย่างชัดเจน ต้องรีบออกห่างจากไอ้ขยะหลินอิ่งทันที ห้ามไม่ให้อยู่ที่ตระกูลจางไม่อย่างนั้นจะซวยไปด้วย ฉันจะไปบ้านเธอเดี๋ยวนี้” จางหงอี้พูดอย่างจริงจัง
“นี่มัน?” จางฉีโม่ไม่รู้ควรพูดอะไรดี
พูดไป จางหงอี้ก็เดินขึ้นรถของเธอ จะรีบไปหาพ่อแม่ของฉีโม่ ต้องคิดหาวิธีถีบหลินอิ่งออกไปจากตระกูลจาง
“ฉีโม่ คุณกลับบ้านก่อน” หลินอิ่งพูดขึ้นจริงจัง “อู่เจิ้ง ส่งผู้อำนวยการจางกลับบ้าน ระหว่างทางถ้ามีปัญหาอะไรรีบโทรหาฉัน”
“วางใจครับ ประธานหลิน ผมจะส่งประธานจางกลับไปอย่างปลอดภัย” อู่เจิ้งนั่งอยู่ที่นั่งคนขับ สีหน้าจริงจัง
“คุณยังไม่กลับบ้านเหรอ?” จางฉีโม่ถามขึ้นอย่างสงสัย
“ผมยังมีธุระ เสร็จธุระแล้วก็กลับ คุณกลับไปก่อน” หลินอิ่งยิ้มพูด
จางฉีโม่สีหน้าสงสัย ไม่ได้พูดอะไร ขึ้นไปนั่งในรถ
อู่เจิ้งสตาร์ทรถ ขับออกไปจากซอยโบราณ
หลินอิ่งมองรถเก๋งสีดำที่จอดอยู่ตรงข้าม มุมปากโค้งขึ้น เดินเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ซอยหนึ่ง
ต๊ะ!
ภายในซอยมืดไม่มีคนเลย ลมพัดแรงมา หลินอิ่งสีหน้าเย็นชา จุดบุหรี่ขึ้นมา
ฮวา!
เวลานี้ รถเก๋งสีดำขับเข้ามาในซอยเล็ก เสียงล้อเสียดสีดังมา
แป๊บเดียว มีชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ใส่สูทห้าหกคนเดินลงมาจากรถ ใบหน้าโหดเหี้ยม สายตาเย็นเยือก เดินเข้ามาหาหลินอิ่ง
ในมือของชายฉกรรจ์ ต่างจับท่อนเหล็กไว้ เดินเข้ามาอย่างโหดเหี้ยม
“ไอ้ขยะอย่างแกยังกล้ามารอพวกเราที่นี่? อยากรนหาที่ตายเหรอ” ชายฉกรรจ์ในชุดสูทคนหนึ่งพูดขึ้น
“อยากอยู่ในเมืองชิงหยูน ใครที่แกยุ่งไม่ได้ก็ไม่รู้ใช่ไหม?” ชายฉกรรจ์ในชุดสูทพูดขึ้นเย็นชา “เอาให้ขามันพิการทั้งสองข้าง”
ชายฉกรรจ์ชุดสูทโบกมือ ในมือจับด้ามเหล็กวิ่งนำก่อน ชายอีกห้าหกคนก็วิ่งตามอย่างไม่ลังเล มือจับด้ามเหล็กวิ่งเข้าหาหลินอิ่ง
ชายพวกนี้ท่าทีกระฉับกระเฉง ไม่ใช่คนธรรมดา ถูกฝึกมาโดยเฉพาะ เป็นบอดี้การ์ดระดับดีทีเดียว
หลินอิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยน ดับบุหรี่ในมือ
จากนั้น เขาขยับร่างอย่างเร็ว เสมือนเสือลงจากเขา จนมีเสียงลม