ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 603 ระยะวัฏจักร
“ผม ผมคือเหอซานจิน เป็นคนจากหุบเฉินเฟิง” เหอซานจินพูดด้วยเสียงที่หืดหอบ “หลินอิ่ง!คุณ คุณคือตัวอะไรกันแน่?”
เหอซานจินเป็นยอดฝีมือระดับสูงที่ คุณท่านสวีไปเชิญออกมาจากแวดวงลึกลับ ซึ่งมีลำดับอำนาจที่แข็งแกร่ง
ซึ่งในใต้หล้า โดยทั่วไปแล้วสามารถพึ่งอำนาจจากพลังการต่อสู้ในการได้มาอย่างหน้าด้านๆ
ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวเมื่อสักครู่นี้ เขายังคิดที่จะลอบโจมตีเย่เฮยอยู่เลย
แต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ประสิทธิภาพทางด้านการต่อสู้ของหลินอิ่งจะน่าเกรงขามขนาดนี้ ในช่วงระยะประชิด เพียงการระเบิดของความโกรธก็แทบจะสามารถทำลายปอดและเส้นเลือดของเขาให้แตกได้ ……
“หุบเฉินเฟิง?” หลินอิ่งพึมพำด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
อำนาจของแวดวงลึกลับนี้ เขาเคยได้ยินมาบ้าง ที่นี่มีสมาชิกไม่มากนัก แต่ว่าแต่ละคนกลับเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น และยิ่งมีชื่อเสียงในด้านการวิชาแข็งกระด้างโดยเฉพาะ ไม่แปลกเลยที่เขาจะสามารถใช้เพียงความแข็งแกร่งเพียงน้อยนิด ในการตั้งรับกับหมัดแห่งความโกรธของตัวเขาและไม่ตาย
“กับแค่พวกกระจอกอย่างพวกคุณ?ยังกล้าคิดจะมาลอบฆ่าผมงั้นหรอ?” หลินอิ่งตวาดสายตาเย้ยหยันไปยังพวกมุซาชิ จูโตะทั้งสามคน โดยมีแววพิฆาตที่พุ่งออกมาจากสายตานั้นอย่างรุนแรง
“โอหัง!”
มุซาชิ จูโตะกระโดดฟาดราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมา ก่อนที่เขาจะสะบัดแขนพร้อมกับอาวุธลับที่พุ่งออกมาจากแขนเสื้อราวกับฝนท้อที่ปกคลุมไปด้วยสิ่งสังหาร
บูม!
หลินอิ่งตวาดฝ่ามือใหญ่ของตัวเองออกไป ลมแรงอันน่าสะพรึงกลัวสั่นสะท้านออกมา จนทำให้อาวุธลับโลหะที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศถูกบดขยี้กลายเป็นผุยผง แล้วร่วงหล่นไปกับพื้น
ทว่าเพียงชั่ววินาที ประกายแหลมคมของมีดสองคมก็พุ่งเข้ามา
มุซาชิ จูโตะและคนเกาหลีคนนั้นประชิดตัวเข้ามาใกล้แล้ว วิชาการเคลื่อนไหวของพวกเขารวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ
คนหนึ่งใช้ดาบ ส่วนอีกคนหนึ่งใช้กระบี่ที่ประกายคมสีเงินออกมา
ติ๊ง!ตั๊ง!
หลินอิ่งกางแขนออกมาราวกับเหยี่ยว พร้อมกับคว้ามีดเบญจมาศที่อยู่ในมือของมุซาชิ จูโตะ ก่อนจะคว้าดาบอ่อนที่ท้วงแทงมาของคนเกาหลี
จากนั้นเขาก็ส่งพลังทะลุผ่านดาบและมีดนั้นเพื่อให้กำลังภายในควบคุมพวกเขาเอาไว้
ทั้งมุซาชิ จูโตะและคนเกาหลีต่างร่างกายแข็งทื่ออยู่กับที่ สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก เหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผากไปหมด รวมทั้งกระดูกยังมีเสียงดัง “กร๊อบ” ออกมา ราวกับว่ากำลังแบกรับแรงกดของเขาไท่ซานเสียอย่างนั้น
ดาบอ่อนและมีดเบญจมาศเกิดเสียง” หึ่งๆ ” สั่นสะเทือน
เพียงชั่วพริบตา!
แววตาของหลินอิ่งเย็นชา แขนทั้งสองขยับออกพร้อมกับเกิดเสียง” ปัง” ดังขึ้น ทำให้ทั้งสองคนกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ
เสียง “ซิ่ว” ลอยผ่านไป
เมื่อเห็นว่ามุซาชิ จูโตะทั้งสองบินหนีไปด้วยความผวา ทว่าเมื่ออยู่กลางอากาศทั้งสองกลับตีหลังกาม้วนตัวกลับมาพร้อมกับประกายปลายคมมีดทะยานมากลางหัวของเขา
หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ในขณะที่กำลังบีบนิ้วเพื่อรับใบมีดเอาไว้อย่างเร่งรีบ จู่ๆ ด้านหลังเขาก็มีลมเย็นพัดโชยมา
คนเกาหลีได้โผล่เข้ามาด้านหลังอย่างลึกลับ ก่อนที่จะดาบอ่อนจะแทงลงไปบริเวณกระดูกสันหลังโดยตรง
เมื่อฟังตามเสียง สีหน้าของหลินอิ่งยังคงไม่เปลี่ยนไปเลย พลางเหยียดมือออกไปด้านหลังพร้อมกับเสียง “แคร็ก” ที่ดังขึ้น แล้วมือของเขาก็จับดาบนั้นเอาไว้ทันที
แต่ว่าในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีการคำนวณพลังผิดไปสองลมปราณ คนเกาหลีจึงสะบัดข้อมือออกก่อนที่จะดาบอ่อนจะสะบัดไปมาราวกับงูพิษ ก่อนที่คมดาบตวาดลงบนข้อมือของหลินอิ่งอย่างรุนแรง
ฉั๊วะ!
แขนเสื้อเชิ้ตขาดออกทันที
สีหน้าของหลินอิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาบิดตัว มือทั้งสองที่สะบัดออกล้วนเป็นสองฝ่ามือของความโกรธเคือง
ปัง ปัง!
เสียงโครมครามดันขึ้นราวกับฟ้าร้อง
ทั้งสามคนผสานฝ่ามือสองหันเข้าหากัน กำลังภายในของพวกเขารวมกัน ลมแรงพัดผ่านอุโมงค์ทั้งหมด ความแตกร้าวจากผนังซีเมนต์กลายเป็นเศษกรวดก็ลอยขึ้นราวกับว่ามันกำลังจะถล่มลงมา
หลังจากที่ต้านรับฝ่ามือนั้น มุซาชิ จูโตะและคนเกาหลีถูกกระแทกจนถอยหลังไปไกลหลายสิบเมตร ก่อนที่ทั้งสองจะชนเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรง จากนั้นจึงหันหลังเพื่อบรรเทาอาการของตัวเอง
ส่วนหลินอิ่ง ร่างของเขาก็ถอยหลังไปหลายก้าวเหมือนกัน ทว่าจังหวะการหายใจกลับไม่ได้มั่นคงเหมือนตอนแรกเริ่มแล้ว……
“ฮือ?กำลังช่วงหลังของหลินอิ่งดูเหมือนจะน้อยลงแล้ว?” แววตาของมุซาชิ จูโตะเป็นประกาย สีหน้ามีความสุขขึ้นมา ก่อนจะเหลียวหันไปมองคนเกาหลี
ภายในแววตาของคนเกาหลีประกายแสงบ้าระห่ำออกมา พลางพยักหน้ารับ
พวกเขาสังเกตเห็นแล้วว่า จากการปะทะด้วยพลังภายในเมื่อสักครู่นี้ หลินอิ่งไม่ได้มีความแข็งแกร่งและน่าเกรงขามเหมือนในตอนแรกอีกแล้ว ………
และก็ไม่ได้มีพลังที่เหนือกว่าอีกด้วย
และนี่ก็คือโอกาสที่จะให้พวกเขาฆ่าหลินอิ่งทิ้งซะ
“นี่มัน……”
หลินอิ่งสายตานิ่งลึก พลางพูดพึมพำกับตัวเองพร้อมกับมองดูบาดแผลลึกแต่ละบาดแผลที่ถูกดาบอ่อนฟันเอาไว้บนข้อมือของตัวเอง
หากอยู่ในช่วง ช่วงรุงเรืองที่สุด ดาบเล่มนั้นของคนเกาหลี ไม่มีทางที่จะทิ้งแผลเป็นไว้บนตัวเขาได้เลยแม้แต่น้อยแน่นอน ……
และต่อให้มุซาชิ จูโตะพวกเขาสองคนจะร่วมมือกันก็ไม่สามารถที่จะทำให้เขาถอยหลังได้เลยแม้แต่สักก้า ……
“ฟู่!”
หลินอิ่งพ่นลมหายใจอันขุ่นเคืองออกมายาวๆ แววตาดูเคร่งขรึมขึ้นมา
เขารับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของตัวเอง
นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยที่ร่างกายของเขาเข้าสู่ช่วงอ่อนแอหลังจากที่เขาลงจากเขามา
พลังเทพที่หลินอิ่งได้ฝึกฝนนั้นเป็นตำนานอันเป็นเอกลักษณ์ของแก๊งมังกร
สิ่งนี้ราวกับเป็นเคล็ดลับพลังเทพขั้นสูงสุดที่เหมือนจะสมบูรณ์แบบในแวดวงลึกลับ ทว่ามันกลับมีข้อเสียอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือในแต่ละขั้นจะมีช่วงเวลาแห่งความอ่อนแอ แบบเดียวกับเทวดาที่มีห้าลางสิ้นอายุขัย
และนี่ก็คือสาเหตุที่ตอนนั้นทั้งที่หลินอิ่งในวัยเยาว์มีพลังสามารถทำลายโลกที่ซ่อนเร้น แต่อาจารย์ของเขากลับให้เขาอยู่เฉยๆ ในแก๊งมังกร พร้อมกับสั่งให้เขาซ่อนตัวจำศีล
หลินอิ่งช่วงตอนแรกๆ ในหนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน โดยมีหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าวันที่อยู่ในระยะวัฏจักร ซึ่งไร้หนทางใช้พลัง
จนกระทั่งเขาได้บรรลุขั้นที่สูงขึ้น และหลังจากออกมาจากเขา ระยะวัฏจักรถึงค่อยๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่าง ระยะวัฏจักรประสิทธิภาพในการต่อสู้ยังมั่นคงไม่น้อย ไม่ได้ไร้หนทางใช้พลังได้เหมือนเมื่อก่อนอีก
แต่ถึงอย่างนั้นหลินอิ่งยังไม่บรรลุขั้นสูงสุด ดังนั้นการฝึกฝนพลังเทพ จึงยังมีระยะวัฏจักรเกิดขึ้น ทั้งยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
วันนี้ จึงเข้าสู่ช่วงระยะวัฏจักรแล้ว……
“คนประเทศหลุงอย่างคุณดูแล้วก็แค่กำลังวางมาดตบตาคนอื่นไปแค่นั้น” คนเกาหลีหัวเราะเยาะออกมาสองเสียง “ตอนแรกก็คิดว่าการที่สามารถโจมตีเหอซานจินจนบาดเจ็บหนักเพียงครั้งเดียว ก็คงจะมีความสามารถที่สะท้านฟ้าอะไรแบบนั้น แต่ตอนนี้ดูแล้วก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น”
“เหอะๆ ๆ ……หลินอิ่ง ถ้าคุณมีความสามารถแค่นี้ล่ะก็ อย่างนั้นชีวิตของคุณก็คงต้องทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้ว” มุซาชิ จูโตะเองก็กระตุกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา
สีหน้าของมุซาชิ จูโตะเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ จากการวิเคราะห์ของเขาแล้ว ฝ่ามืออันแสนสะพรึงนั้นของหลินอิ่งก็เป็นเพียงแค่ใช้มาสำหรับขู่ขวัญคนอื่นเท่านั้น ซึ่งก็คือการใช้กำลังเกือบทั้งหมดในการทำร้ายเหอซานจินให้บาดเจ็บสาหัส
แล้วหลังจากนี้ พลังของหลินอิ่งจะยังมีอีกเท่าไหร่กันนะ?
หากพึ่งพลังภายในที่พลุ่งพล่านอย่างต่อเนื่องและลุ่มลึกของเขา ร่วมมือกับหัวหน้ายามของกลุ่มบริษัทตระกูลเผียวในการต่อสู้ ยังไงก็ต้องบดขยี้หลินอิ่งให้ตายที่นี่!
“คุณก็เอาชีวิตมาแลกกับชีวิตของศิษย์น้องแล้วกัน!”
มุซาชิ จูโตะหัวเราะเยาะอย่างดุดาลออกมา ก่อนที่ร่างจะกระโจนเข้าไปภายในชั่วพริบตาพร้อมสะบัดมีดหวังฆ่าหลินอิ่ง
คนเกาหลีคนนั้นเองก็รีบตามหลังไปอย่างรวดเร็ว ดาบอ่อนในมือของเขาพลิ้วไหวราวละอองฝนที่กระจายไปทั่วที่แฝงด้วยความต้องการฆ่า
ทั้งสองวางแผนจะพยายามโจมตีอย่างต่อเนื่อง โดยไม่หวังให้หลินอิ่งได้พักหายใจ และลากเขาไปสู่ความตายเสีย
……
และในเวลาเดียวกัน
เมืองเทียนหลง อาคารเทียนหลง
ด้านล่างตึกบริเวณลานของเทียน มีการล้อมเทปเตือนเอาไว้เป็นระยะทางยาว
ตามริมถนนที่ทอดยาวที่อยู่ในบริเวณใกล้เขียงเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน
จะมีก็เพียงแต่ในลานของงานที่มีรถหรูระดับโลกรุ่นอันลิมิเต็ดเอดิชั่นที่อยู่จอดอยู่ พร้อมกับเหล่าบอดี้การ์ดสวมชุดสูทเยอะเรียงแถวกัน
เป็นภาพสถานการณ์ที่ดูยิ่งใหญ่มาก
ชายวัยกลางผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจำนวนมาก ต่างเดินเข้าไปด้านในอาคารเทียนหลงอย่างต่อเนื่องด้วยความเป็นระเบียบอย่างมาก
อาคารเทียนหลง ภายในห้องโถงนิทรรศการใหญ่มีทั้งหมดแปดสิบแปดชั้น โดยถูกจัดเอาไว้ในรูปทรงโค้ง ซึ่งได้มีการจัดเรียงเก้าอี้ที่มีชื่อสกุลของแขกทุกคนติดเอาไว้อย่างเรียบร้อย
บริเวณที่นั่งของผู้เข้าร่วม ตอนนี้ได้มีคนเข้ามานั่งจนเต็มแล้ว
ทุกคนล้วนเป็นผู้มีเกียรติ บางคนเป็นตัวแทนจากตระกูลเล็กๆ ของตี้จิง บางคนเป็นผู้บริหารระดับสูงผู้ทรงอำนาจของตี้จิง บ้างก็เป็นประธานกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่…