ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 613 หลินอิ่งปรากฏตัว
“นี่มัน?สถานการณ์แบบนี้มันเกินไปแล้ว……”
“หรือว่าตระกูลนิ่งกับตระกูลจ้าวเตรียมจะก่อความวุ่นวายในการประชุมสุดยอดจริงๆ หน่ะ ?บ้าไปแล้วหรือเปล่า?”
“นี่ก็คงจะร้อนรนอยากจะพลิกเกม แต่กลับไม่ลองคิดซะก่อนว่าใครก็ตามที่ทำผิดกฎ ผลที่จะตามมา ……”
คราวนี้ผู้ร่วมประชุมทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่ไม่ดี พากันซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์
ถ้าหากว่านิ่งซวนกับจ้าวเฉิงเฉียนสร้างความก่อกวนในการประชุมสุดยอดเทียนหลงจริง ซึ่งต้องเกิดผลกระทบที่ใหญ่หลวงมากแน่นอน
และอย่างนั้นวันข้างหน้าสองตระกูลใหญ่ของพวกเขาสองคนที่อยู่ในตี้จิงก็คงจะสูญเสียความน่าเชื่อและไร้ตัวตน
เพราะคนที่ฝ่าฝืนกฎและข้อบังคับจะไม่เป็นที่ชื่นชอบเคารพสำหรับผู้อื่นโดยธรรมชาติ
นอกเสียจากว่าความสามารถที่แข็งแกร่งพอจะสามารถจัดการแก้ไขสถานการณ์ความวุ่นวายที่เคยเกิดขึ้น แบบนี้ถึงจะทำให้ผู้คนพอจะยอมรับได้บ้าง
แต่ทว่าที่ชัดเจนคือจ้าวเฉิงเฉียนกับนิ่งซวนมีเพียงความสามารถที่จะทำลายเกมนี้ลงได้ แต่กลับไม่มีความสามารถที่จะสามารถจบทุกอย่างนี้ได้อย่างถูกต้อง
“เจ้าหนุ่มตระกูลนิ่ง เจ้าหนุ่มตระกูลจ้าว พวกคุณสองคนคิดดีแล้วหรือยัง?” สวีจิ่วหลิงหรี่ตาลงพร้อมพูดด้วยเสียงเย็นชา “พวกคุณคิดจะสร้างปัญหาที่นี่จริงหรือ?”
“พวกคุณหรือว่าเพียงแค่พึ่งพลังของพวกคุณสองคนก็สามารถเปลี่ยนผลสรุปของวันนี้ได้?คิดว่าผมจะไม่สามารถป้องกันการกระทำนี้ของพวกคุณได้งั้นหรอ?”
สวีจิ่วหลิงพูดด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ ถือไม้เท้าหัวมังกรพร้อมหรี่ตาลง
โดยที่ด้านหลังของพวกเขามีกลุ่มชายสวมชุดสูทยืนทำหน้าเคร่งขรึมเย็นชาอยู่เข้าแถวอยู่บนแท่นพิธี รวมทั้งยังมีชายวัยกลางคนที่สวมชุดเครื่องแบบประดับดาวสามดวงอีกจำนวนหนึ่งยืนด้วยสีหน้าที่สุขุม ทำให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นดูยิ่งใหญ่อย่างมาก
นิ่งซวนขมวดคิ้วแน่นหน้าผากมีเหงื่อไหลออกมา
เห็นได้ชัดเลยว่า ตาแก่สวีจิ่วหลิงคนนี้ได้มีการวางแผนทั้งหมดนี้ไว้อย่างดีแล้ว และเพื่อที่จะป้องกันการทำลายเกมนี้จึงได้เรียกให้คนของเขาเข้ามา
ตอนนี้ ในใจของนิ่งซวนเกิดความกดดันที่ค่อนข้างหนัก
ในสถานการณ์การประชุมสุดยอดเทียนหลงแบบนี้ การที่จะทำล้มโต๊ะ จำเป็นต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากเลยทีเดียว หากทำผิดพลาดก็อาจจะกลายเป็นภัยพิบัติที่ไม่อาจจะกู้คืนได้
ถ้าหากว่าคนหนุนหลังของเขาไม่ใช่หลินอิ่ง นิ่งซวนก็คงจะไม่มีความกล้าแบบนี้
ซึ่งเขาเองก็ถูกบีบคั้นจนถึงทางตันแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงจำต้องกัดฟันสู้เท่านั้น รอจนกว่าหลินอิ่งจะเดินทางมาช่วย
สายตาของจ้าวเฉิงเฉียนประกายแสงอันเยือกเย็นออกมาพลางกวาดสายตาไปยังกลุ่มทหารลับของตระกูลสวี พร้อมหัวเราะเยาะออกมา
“สวีจิ่วหลิง คุณพูดเกินไปแล้ว อะไรที่บอกว่าพวกเราทำผิดกฎกัน ?การเสนอโครงการของฝั่งคุณ ความจริงยังไม่ได้รับการเห็นด้วยจากทั้งเหล่าตัวแทนผู้บริหารเลยด้วยซ้ำ เป็นคุณต่างหากที่ทำผิดกฎก่อน!” จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยเสียงทุ้มหนัก “ถ้าหากวันนี้ปล่อยให้คุณผ่านการเสนอโครงการไปตามอำเภอใจแบบนี้ อย่างนั้นพวกเราเหล่าตระกูลใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในตี้จิงอีกแล้ว !”
“ผมยังคงยืนยันคำเดิม ก่อนที่คุณชายอิ่งจะมาถึงงานประชุม ใครก็ไม่สามารถออกจากประตูนี้ไป !” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“หากอยากจะไปก็ได้ แต่โครงการของพวกคุณตระกูลสวีจะถือว่าเป็นโมฆะ!”
“หึ หลักแหลมดีนี่!” สวีจิ่วหลิงพ่นเสียงเย้ยหยันออกมาก่อนจะพูดต่ออย่างใจเย็น “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกคุณไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ยังคิดจะมาใส่ความผมอีกงั้นหรอ ?”
“เจ้าเด็กตระกูลจ้าวอย่างคุณอย่ามาพูดจาเหลวไหลไร้เหตุผลตรงนี้ !” สวีจิ่วหลิงพูดด้วยสายตาที่เคืองเล็กน้อย “ถ้าหากยังจะกล้าที่จะขัดขวางอีก ผมจะลากพวกคุณออกไปซะ !อย่าคิดนะว่าผมจะไม่กล้าแตะต้องพวกคุณ”
“แล้วก็ เจ้าเด็กตระกูลนิ่งและตระกูลจ้าว วันนี้พวกคุณมาคอยโห่ร้องสนับสนุนหลินอิ่ง วันข้างหน้าจะต้องพบกับหายนะแน่ !”
สวีจิ่วหลิงกล่าวคำข่มขู่นี้ออกมาอย่างรุนแรง จากนั้นก็ส่งสายตาให้กับเผียวจินฮุน
เผียวจินฮุนส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับโบกมือ ทันใดนั้นเหล่าผู้คุ้มกันชั้นยอดของชีซิงกรุ๊ปก็วิ่งกรูลงมาจากบันได เข้าไปในงานประชุมทีละคนๆ มุ่งตรงไปล้อมโต๊ะเจรจาเอาไว้
“ทุกท่าน ตอนนี้ก็ได้เห็นแล้วว่าตระกูลนิ่งและ ตระกูลจ้าว รวมทั้งฝั่งหลินซื่อกรุ๊ปของตระกูลฉีต่างก็ฝ่าฝืนขั้นตอนของประชุมธุรกิจใหญ่ตี้จิง ทั้งยังไม่เห็นทุกคนอยู่ในสายตาอีก”
ในขณะเดียวกัน สวีไป๋เห้อก็เริ่มพูดกระตุ้นขึ้นมาเหมือนกัน
“ตอนนี้ทุกท่านต่างได้มีการลงนามแล้ว ผลสรุปสุดท้ายของการประชุมสุดยอดเทียนหลงและโครงการของเมืองเทียนหลง ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของทุกท่าน ถ้าหากปล่อยให้พวกเขาขัดขวางก็เทียบเท่ากับเป็นการตัดหนทางแห่งความมั่งคั่งของทุกท่านด้วย !”
“เรื่องแบบนี้ พวกเรา ตระกูลสวีต่อให้จะยอมรับได้ แต่ทุกท่านยอมรับได้งั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว!นี่เป็นการไม่ให้ความสำคัญกับพวกเราเลย!”
“ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลยชัดๆ !”
เมื่อถูกการกระตุ้นของสวีไป๋เห้อ ตัวแทนหลายคนที่อยู่บนที่นั่งก็ลุกขึ้นมา
“คุณจ้าว คุณนิ่ง ผมอาจจะไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ประเทศหลุงของพวกคุณ แต่ในการประชุมสุดยอดของหลักสากล ล้วนต้องผ่านการเจรจาในการแก้ไขปัญหา ในการประชุมสุดยอดระดับนี้ ทำไมพวกคุณถึงต้องใช้กำลังในการแก้ไขปัญหาด้วย ?” ชายต่างชาติผิวขาวสวมสูทสีดำคนหนึ่งลุกขึ้นยืนกล่าวโทษด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์อย่างมาก
“โอ้ ช่างเป็นสถานการณ์ที่แย่มากๆ สุภาพบุรุษทั้งสองท่าน พวกคุณก็นับเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในประเทศหลุง จะมาใช้วิธีการสุดโต่งแบบนี้มาใช้ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างไร?” บริเวณที่นั่งประชุมมีหญิงสาวผมบลอนด์คนหนึ่งลุกขึ้นมาพร้อมกล่าวต่อว่า “พวกเราโซโลวมีกรุ๊ป จะบันทึกองค์กรของทั้งสองไว้ในบัญชีดำการร่วมมือทางธุรกิจ เพราะแบบนี้ถือว่าทำกันเกินไปแล้ว !”
“ใช่แล้ว พวกเราเองก็จะทำแบบนั้นเหมือนกัน การสร้างผลกระทบต่อโอกาสในการก้าวหน้าของทุกคน มีแต่จะทำให้สองตระกูลใหญ่อย่างพวกคุณสูญเสียความน่าเชื่อถือในตี้จิงเท่านั้น !ผมแนะนำว่าพวกคุณหยุดดื้อดึงต่อไปสักที บนโต๊ะเจรจาพวกคุณพ่ายแพ้อย่างราบคาบแล้ว” ซือหม่าเฟยวู่ยืนขึ้นและพูดด้วยท่าทางขี้เล่น
เมื่อมีคนจำนวนหนึ่งลุกขึ้นมาต่อว่า ทำให้ภายในงานเกิดความโกลาหลขึ้นมา คนมีชื่อเสียงจำนวนมากต่างลุกขึ้นยืนด้วยความไม่พอใจ พร้อมกับแสดงออกถึงความคิดเห็นของตนเอง
เมื่อเห็นว่าจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว สีหน้าของจ้าวเฉิงเฉียนและนิ่งซวนต่างก็เขียวปั๊ด
“เหอะๆ พวกคุณเห็นแล้วหรือยัง?” สวีไป๋เห้อพูดด้วยสีหน้าสะใจ “การที่พวกเราตระกูลสวีได้ดูแลเมืองเทียนหลง นั่นเป็นเพราะว่าได้รับความไว้วางใจ และการสนับสนุนจากทุกคน!พวกคุณกำลังทำการต่อต้าน!ซึ่งถือเป็นการรนหาที่ตายเอง!”
“แม้แต่ชาวต่างชาติก็ยังเข้าใจมารยาทและกฎเกณฑ์ของประเทศหลุง แต่พวกคุณสองคนในฐานะตัวแทนผู้บริหารของประชุมธุรกิจใหญ่ตี้จิงทั้งยังเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง กลับมาก่อความวุ่นวายในงานแบบนี้ ไม่กลัวว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะใส่หรือไงกัน ?”
สวีไป๋เห้อพูดอย่างติดตลก ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขและความภาคภูมิใจ
“หรือว่าพวกคุณยังคิดจะรอให้หลินอิ่งมาที่นี่?อย่าฝันไปเลย หลินอิ่งคนนั้นจบเห่ไปแล้ว”
“พอเถอะ” สวีจิ่วหลิงชำเลืองนิ่งซวนพวกเขาสองคน พร้อมกับพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “ประธานเผียว คุณสั่งให้คนจัดการเก็บกวาดสถานที่เถอะ แล้วก็ให้คนของคุณไปบอกให้นักข่าวที่อยู่ด้านนอกตึกเข้ามาได้แล้ว พวกเราจะได้แจ้งผลสรุปการประชุมให้กับสาธารณชน”
“เตรียมเลิกการประชุม”
หลังจากที่สวีจิ่วหลิงออกคำสั่งเรียบร้อย เขาก็ค่อยๆ พยุงไม้เท้าลุกขึ้นยืนอย่างผู้ชนะ
ปี๊บ!!ปี๊บ!!
แต่ว่าขณะนั้นเองทางด้านนอกตึกก็มีเสียงแตรรถอันแหลมสูงดังแทรกเข้ามา
ผู้คนที่อยู่ภายในงานต่างก็แสดงสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“นี่มัน?ออกไปดูข้างนอกสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” สีหน้าของสวีจิ่วหลิงก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะรีบสั่งให้คนออกไปตรวจสอบสถานการณ์
ตอนนี้ ด้านนอกอาคารเทียนหลง
บนบริเวณถนนอันกว้างใหญ่ มีรถถังทหารสีเขียวแล่นเข้ามาตามทาง ตามหลังมาด้วยรถออฟโรดสีเขียวอีกหลายคัน และตรงกลางแถวนั้นมีรถออดี้สีดำแล่นเข้ามาด้วย
กัปตันสวมชุดเครื่องแบบสีดำเคร่งขรึม พร้อมดาวประดับยศตำแหน่งบนไหล่
หลังจากที่เขาเปิดประตูออก หลินอิ่งที่มีสีหน้าเรียบเฉยก็เดินลงมา แล้วมุ่งหน้าเข้าไปยังอาคารเทียนหลง
เหล่าบอดี้การ์ดในชุดสูทที่กำลังดูแลอยู่ด้านนอกอาคาร ต่างก็แสดงสีหน้าที่ตกใจออกมา ก่อนจะไม่รู้ตัวพร้อมตัวกันแหวกทางให้เขาเข้าไปอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย