ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 624 เรียกน้า?
ห้านาที
หลินอิ่งลงจากลิฟต์ มาถึงยังทางเข้าของอาคารเทียนหลง
บริเวณทางเข้าออก มีชายหนุ่มชุดสูทนอนระเนระนาดกันเต็มไปหมด ถูกอัดจนเขียวช้ำไปทั้งตัว
ส่วนหยูจื๋อเฉิง ก็ถูกคนทิ้งไว้ที่พื้น ที่ใบหน้ามีรอยมือห้านิ้วประทับไว้ชัดเจน
พอมองเห็นฉากนี้ ใบหน้าที่นิ่งเฉยของหลินอิ่ง ก็เผยให้เห็นถึงความเยือกเย็น
หยูจื๋อเฉิงกับเหล่าผู้เก่งกาจที่เฝ้าประตูทางเข้าอาคาร ศิลปะการต่อสู้ไม่ธรรมดา สำหรับคนธรรมดาแล้วมีระดับถึงขนาดที่รับมือกับคนสิบคนได้ด้วยตัวคนเดียว
แต่กลับถูกซัดจนล้มกองอยู่กับพื้นได้ง่ายดายขนาดนี้?
ใครกัน ที่บ้าระห่ำกล้ามาอาละวาดเล่นงานคนของตัวเองถึงถิ่นของตัวเองแบบนี้
“ท่านอิ่ง ท่านมาแล้ว……”หยูจื๋อเฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าละอาย”ขอโทษครับ ผมไม่สามารถหยุดรั้งพวกเขาเอาไว้ได้”
“คนพวกนี้ มาถึงก็ลงมือเลย จะเจอท่านให้ได้ ไม่สนกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น……”
“ฉันรู้แล้ว นายถอยไปก่อนเถอะ”หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย เหลือบตามองไปที่โซฟาในห้องโถงรับแขก
บนโซฟาหนังแท้ มีชายวัยกลางคนสวมชุดราชวงศ์ถังสีเขียวขี้ม้าคนหนึ่ง กำลังพิงอยู่ด้วยท่าทางยโสโอหัง กางสองขาออก ท่าทางเย่อหยิ่ง
ข้างกายของเขา ยังมีชายหนุ่มรูปร่างกำยำสองคนอยู่ด้วย
“พวกคุณคือใคร?”หลินอิ่งมองพวกเขา พูดถามขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ชายวัยกลางคนที่ชุดราชวงศ์ถังสีเขียวขี้ม้า ชำเลืองมองสำรวจหลินอิ่งเล็กน้อย จากหัวจรดเท้า
รูปร่างหน้าตาของเขาดูธรรมดาทั่วไปไม่ผิดแปลกอะไร แต่สองตาคู่นั้น แฝงไปด้วยความดุร้ายโหดเหี้ยมผิดปกติ
ทั้งตัวของเขา ให้ความรู้สึกเหมือนพร้อมที่จะโจมตีได้ทุกเมื่อ
“แกคือหลินอิ่ง?”
“ดูสภาพแล้ว ก็ไม่เท่าไร ดูท่าทางอ่อนแอ สภาพเหมือนเป็นโรค”ชายวัยกลางคนหันสายตากลับมา พูดขึ้นอย่างไม่แยแสสนใจ”ฉันชื่อหลินเจว๋ จากความอาวุโสในตระกูลแล้ว แกควรจะเรียกฉันว่าน้า”
“หลินเจว๋?”หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ในตาแฝงไปด้วยความเยือกเย็น
“พวกคุณ มาจากไหน?”
“ตระกูลหลินแห่งลังยา เคยได้ยินไหม? หรือว่าแม่ของแกไม่บอกเคยบอกแกเลยหรือไง?”หลินเจว๋พูดขึ้นด้วยความสนใจ
“ไม่เคยได้ยิน”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ
“ไม่ว่าพวกคุณจะมาจากไหน การที่มาก่อเรื่องลงมือกับลูกน้องของผมถึงที่อย่างเลินเล่อแบบนี้ วันนี้ จะต้องชดใช้”
“บังอาจ!หลินอิ่งแกรู้จักที่ต่ำที่สูง รู้กฎข้อบังคับบ้างไหม? ลุงหลินเจว๋อยู่ตรงหน้าแบบนี้ แกยังกล้าพูดอย่างหยิ่งยโสขนาดนี้อยู่เหรอ?”
“ไม่เรียก น้า สักคำ? แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ไม่เคยได้ยินตระกูลหลินแห่งลังยา?”
ตอนนี้ ชายหนุ่มสองคนที่อยู่ข้างๆ หลินเจว๋ ก็เปิดปากพูดด่าหลินอิ่งทันที ท่าทางน่าเกรงขามของผู้อาวุโส
“หลินอิ่ง พวกเราลงเขามาหาแกถึงตี้จิง นั่นก็เท่ากับว่าไว้หน้าแกมากแล้ว แกอย่ามาถือตัวคิดว่าตัวเองถูกต้องหน่อยเลย”หลินเจว๋ท่าทางหยิ่งทะนง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา”ฉันให้เวลาแกลงมาหนึ่งนาที แต่ห้านาทีแล้วแกเพิ่งจะมาถึง แถมยังมาอวดเบ่งหยิ่งผยองต่อหน้าคนที่เป็นน้าแบบฉันอีก? ไหนพูดซิว่านี่มันคือท่าทีแบบไหน?”
หลินอิ่งสบถหึออกมาอย่างเย้ยหยัน ส่ายหัว
“ผมให้เวลาพวกคุณสามสิบวินาที เล่าประวัติของพวกคุณออกมาให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง”
“แล้วทำไมต้องลงไม้ลงมือกับคนอื่นด้วย?”
“ถ้าตอบไม่ได้ พวกคุณก็จะเหลือมือแค่ข้างเดียว”
พอคำพูดที่เย็นชาของหลินอิ่งจบลง บรรยากาศก็เปลี่ยนไปเย็นยะเยือกขึ้นมา
ชายหนุ่มสองคนที่อยู่ข้างกายหลินเจว๋ ล้วนแต่รู้สึกถึงรังสีที่แผ่ซ่านออกมาจากหลินอิ่งในตอนนี้ ถอยหลังไปสองก้าวอย่างควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่
“เหอะๆ “หลินเจว๋สบถหึออกสองทีอย่างเย้ยหยัน หรี่ตาลงมองหลินอิ่ง” ดูมีสไตล์อยู่นิดหน่อยนี่ ท่าทางแบบนี้ ตัวแกเองก็น่าจะมีพลังระดับโลกเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ ประเมินแกต่ำไป แถมยังมองว่าแกเป็นพวกที่พอได้แต่จริงๆ แล้วไม่มีความสามารถอะไรเลยซะอีก”
“ในเมื่อแกมีพลังความแข็งแกร่งนี้ ก็มีคุณสมบัติที่จะรู้เรื่องพวกนี้ “หลินเจว๋ท่าทีเย่อหยิ่งทะนงตัว พูดขึ้นอย่างช้าๆ ไม่รีบไม่ร้อน”ฉันบอกแกก็ได้ พวกเรามาจากตระกูลหลินแห่งลังยา จากภูเขาลังยาชางโจว”
“แม่ของแกหลินซูชิง ในตระกูลหลิน พูดกันตามลำดับอาวุโสของตระกูลแล้ว ก็คือพี่หกของฉัน”
“ที่มาหาแกที่ตี้จิงในครั้งนี้ เพราะแม่เฒ่ามีคำสั่ง เรียกแกกลับไปยังตระกูลหลิน”
พูดจบ หลินเจว๋ก็มองหลินอิ่งด้วยความสนใจ ราวกับว่าอยากที่จะมองปฏิกิริยาตอบสนองและท่าทีของหลินอิ่งว่าเป็นยังไง
พอได้ยินแบบนั้น แววตาของหลินอิงก็ประหลาดใจ มองหลินเจว๋อย่างลึกซึ้ง
หลินซูชิง แห่งตระกูลหลินแห่งลังยา
คนนี้ รู้ชื่อสกุลแม่ของตังเองได้ยังไง
แม่เสียไปตั้งแต่หลายปีที่แล้ว ชีวิตก็ไม่มีเพื่อนที่สนิทอะไรเลย
ส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือที่มาจากกลุ่มสันโดษ แล้วยังเรียกตัวเองว่าตระกูลหลินแห่งลังยา?
แถมยังบอกตัวเองเป็นพี่น้องของแม้ตัวเองอีก? เรียกตัวเองว่าน้า?
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
หลินอิ่งครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็รู้สึกสับสนมึนงง
“คุณหมายความว่ายังไงกันแน่?”หลินอิ่งพูดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม”คุณจะพิสูจน์ยังไง ว่ามีความสัมพันธ์อะไรกับแม่ของผม? แล้วมีหลักฐานอะไร?”
ตระกูลหลินแห่งลังยา
ไม่ใช่ว่าหลินอิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน
ในกลุ่มสันโดษ ตระกูลหลินแห่งลังยามีชื่อเสียงอย่างมาก ชื่อเสียงแค่ด้อยกว่าสามอำนาจใหญ่สูงสุดเท่านั้น ถือว่าเป็นอำนาจสูงสุดของสันโดษ อำนาจหนึ่งเลย
แต่ว่า เขาไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับตระกูลหลินแห่งลังยามาก่อน
แล้วก็ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าตัวเองจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับตระกูลนี้
“ง่ายมาก แกกลับไปตระกูลหลินกับพวกเรา แม่เฒ่าจะบอกแกทั้งหมดเอง พิสูจน์ง่ายมากๆ “หลินเจว๋ค่อยๆ พูดขึ้น”ดูท่า แม่ของแกหลินซูชิง ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตระกูลหลินกับแกมาก่อนสินะ?”
“ในตอนนั้นแม่ของแกละเลยไม่สนใจการต่อต้านของตระกูล ยอมตัดความสัมพันธ์กับตระกูล ไปแต่งงานกับพ่อของแกฉีเหอถู”
“สุดท้ายจบลงยังไง แกก็รู้”
“ตอนนี้ แม่เฒ่าเห็นว่าแกพอจะมีความสามารถอยู่บ้าง ประสบความสำเร็จนิดหน่อยทางโลกธรรม แล้วก็สงสารแม่ของแก กะที่จะให้แกกลับคืนสู่ตระกูลหลินไปหาบรรพบุรุษ”
“กลับไปหาบรรพบุรุษ?”หลินอิ่งส่ายหัว รู้สึกว่าตลกสิ้นดี
ท่าทีของพวกคนตระกูลหลิน คล้ายกับท่าทีที่เย่อหยิ่งทะนงตัวของตระกูลสันโดษ
มองสถานภาพและตำแหน่งของพวกเขาสูงเกินไป
“ทำไม? หรือว่าแกรู้สึกไม่ดีใจ? แกรู้ไหม ว่าการที่ทำให้ตระกูลหลินรู้จักแกได้ นี่ถือว่าเป็นบุญเก่าที่แกทำมาจากชาติที่แล้ว!”หลินเจว๋พูดขึ้นอย่างหยิ่งยโส”แกนึกว่าแกมีกิจการพื้นฐานใหญ่โตอย่างสง่าผ่าเผยทางโลกธรรมแล้ว แต่ต่อหน้าตระกูลหลิน ไม่มีค่าอะไรด้วยซ้ำ”
“แกอย่านึกว่าได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างในตี้จิงแล้ว จะสามารถเย่อหยิ่งทะนงตัวได้นะ ความสำเร็จที่น่าสงสารเล็กๆ น้อยๆ นั้นของแก ในสายตาของพวกเราก็แค่เด็กที่เล่นพ่อแม่ลูกเท่านั้น ไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึงด้วยซ้ำ ”
หลินเจว๋ท่าทางเย่อหยิ่งทะนงตัว ชี้นิ้วพร้อมกับพูดขึ้น
“ใช่แล้ว ฉันยังต้องบอกหลานชายแบบแกว่า อุตสาหกรรมในตี้จิงของแก ถูกตระกูลรับไว้แล้ว แกรีบจัดเตรียมในทันที จัดการเคลียร์ตี้จิงเมืองเทียนหลงแล้วก็อุตสาหกรรมโลกธรรมที่อยู่ภายใต้ชื่อของแก ส่งมอบมาให้ฉันทั้งหมด”
“นี่เป็นเงื่อนไขของการกลับคืนสู่ตระกูลหลินของแก แกควรจะเสียสละและตอบแทนตระกูลหลิน”
พอได้ฟังจากน้ำเสียงมั่นใจที่ว่าต้องเป็นเช่นนั้นแล้ว หลินอิ่งก็หลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“พวกคุณมาขายขำหรือไง?”หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน”คุณคิดว่า ตระกูลหลินแห่งลังยาสามารถข่มขู่ผมได้เหรอ?”