ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 633 อย่าหาว่าฉันไม่ไว้หน้าครอบครัวพวกเธอ
จากที่ลู่หย่าฮุ่ยพูดถึงหลินอิ่ง บรรดาผู้คนตระกูลลู่ที่โต๊ะ ทั้งชายๆหญิงๆต่างก็ป้องปากหัวเราะออกมากันหมด
เพราะว่า ก่อนหน้านี้ตัวลู่หย่าฮุ่ยเองก็พูดบ่นอยู่ที่ตระกูลลู่อยู่ตลอด ว่าตระกูลจางหาลูกเขยไร้ค่าที่แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงอะไรไม่รู้มาให้กับฉีโม่ ไร้ประโยชน์สิ้นดี สู้เลี้ยงหมาในบ้านยังดีซะกว่า
แต่ผลที่ได้ ตอนนี้ดันมาพูดว่าหลินอิ่งเป็นคุณชายใหญ่ของตี้จิง? มีเงินมีอำนาจ?
นี่มันตบหน้าตัวเองชัดๆเลยไม่ใช่เหรอ?
“เห้อ พี่สาม ฉันพูดความจริง หลินอิ่งไม่ได้ดูง่ายๆธรรมดาๆเหมือนที่เห็น คนเขาเป็นถึงคุณชายที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ในตี้จิง ในตอนแรกคุณท่านตระกูลหลินนี่ตาดีจริงๆ ดูคนได้เฉียบมากๆ ไม่แปลกที่ให้ฉีโม่แต่งงานกับเขา”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นด้วยใบหน้าแดง
“หย่าฮุ่ยเอ๋ย เธอไม่ต้องพูดแล้ว เธอเอาชายไร้ค่าแบบนั้นมากู้หน้าตาให้อย่างนั้นเหรอ? ไม่ละอายใจเลยเหรอ?”ลู่ฉ่ายเชียพูดขึ้นอย่างขี้เล่น”ฉันได้ยินชื่อเสียงที่ไร้ค่าของหลินอิ่งที่เมืองชิงหยูนมาหมดแล้ว เธอก็มักจะพูดต่อหน้าพวกเราอยู่บ่อยๆ พอตอนนี้ไม่มีหน้าไม่มีตาแล้ว ดันเอาสภาพที่น่าสมเพชไร้ค่านั่นของหลินอิ่งมาเป็นหน้าเป็นตาแทนอย่างนั้นเหรอ? ขายขำชัดๆ”
“พี่สาม คราวหลังอย่าพูดแบบนี้แล้วนะ อย่าพูดต่อหน้าของหลินอิ่ง ไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาขึ้นได้”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว”หลินอิ่งคนนั้น เมื่อก่อนฉันดูถูกเขาประเมินเขาต่ำเกินไป ถ้าคุณพูดจาแบบนี้ต่อหน้าเขา คุณไม่ได้อยู่ดีแน่ๆ ครั้งก่อนคุณชายของตระกูลโจแห่งเมืองชิงหยูน ก็ถูกหลินอิ่งบีบเค้นให้คุกเข่ามาแล้ว!”
“เห้อ ไม่ต้องพูดถึงพวกคนที่ไม่สำคัญอะไรพวกนั้นหรอก ตระกูลโจตระกูลหวางแห่งเมืองชิงหยูนอะไร? ตระกูลธรรมดาๆทั่วๆไปพวกเราไม่รู้จักแล้วก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วย”
มีชายวัยกลางคนอีกหนึ่งคนพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้”น้องหย่าฮุ่ย เมืองชิงหยูนของพวกเธอใครมีเงินมีอำนาจ? ต้องใช้ปากของเธอพูดออกมาไม่ใช่เหรอ?”
“ถ้าหลินอิ่งอะไรนั่นเป็นคุณชายใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่มาจากตี้จิงจริงๆ แล้วจะเห็นตระกูลพวกเธออยู่ในสายตาอย่างนั้นเหรอ? จะเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงของตระกูลจางอย่างนั้นเหรอ? ว่าไหมซิ่วเฟิง ?”
พอได้ฟังแบบนี้ สายตาของจางฉีโม่ก็สั่นไม่นิ่งสักพัก สีหน้ายิ่งดูไม่ดีขึ้นไปอีก
ประโยคนี้มันทิ่มแทงหัวใจของเธอไม่น้อย
ใช่สิ หลินอิ่งเป็นคุณชายที่ภูมิหลังใหญ่โตขนาดนั้นของตี้จิง ทำไมถึงต้องเห็นตัวเองอยู่ในสายตาด้วย?
“เอ่อ……ไอ้เฉียน หลินอิ่ง หลินอิ่งคนนั้น ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา พวกเรายังไม่เข้าใจสถานการณ์โดยละเอียด แต่มีพลังจริงๆ เจ้าพ่อใหญ่แห่งวงการธุรกิจหลายคนของเมืองชิงหยูนล้วนแต่เชื่อฟังเขาทั้งนั้น”จางซิ่วเฟิงพูดขึ้นด้วยใบหน้าแดง
“ฮ่าๆๆ ไอ้เฉียนคุณได้ยินไหม คนเขาพูดขนาดนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จริงจังแล้วสินะ”ลู่ฉ่ายเชียพูดอย่างขี้เล่น
“ในเมื่อมีพลังมากขนาดนี้ เจ้าพ่อใหญ่ของเมืองชิงหยูนล้วนแต่เชื่อฟังแผนการของลูกเขยของเธอ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยแนะนำโครงให้กับไอ้เฉียนของพวกเราสักสองสามโครงการสิ ให้พวกเราได้อาศัยผลประโยชน์สักหน่อย”
“พี่เขยไอ้เฉียน เรื่อง เรื่องนี้พูดกันได้”ลู่หย่าฮุ่ยกัดฟันพูดขึ้น”หลินอิ่งมีธุระที่ตี้จิงแล้ว รอเขากลับมา ฉันจะให้เขาจัดเตรียมให้”
หลินอิ่งยังจะกลับมาที่เมืองตุงไห่ไหม ในใจของลู่หย่าฮุ่ยก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
ต่อให้หลินอิ่งกลับมาที่มณฑลตุงไห่ เธอก็สั่งการหลินอิ่งไม่ได้อยู่ดี
เมื่อก่อนเธอแข็งกร้าวและหยาบคายกับหลินอิ่งเกินไป จะให้ไปจัดการเตรียมการได้ยังไง
“ยังเตรียมการอีก? เหอะ!”ไอ้เฉียนสบถหึออกมาอย่างเย้ยหยัน สายตาดูถูกดูแคลนไม่น้อย พูดขึ้นอย่างเข้มงวดจริงจัง”น้องหย่าฮุ่ย เป็นคนต้องมั่นคงเชื่อถือได้ อย่าอวดโม้มากเกินไป แล้วก็อย่าทำเป็นหน้าใหญ่ใจโตด้วย ครอบครัวของพวกเธอสภาพเป็นยังไง ทุกคนรู้ หลินอิ่งนั่นเป็นคนยังไง คนของตระกูลลู่ก็รู้กันทั้งนั้น”
“ครั้งที่แล้ว ลูกสาวลูกชายของครอบครัวน้องหก ถูกหลินอิ่งตามไปกลั่นแกล้งรังแกถึงเมืองชิงหยูนใช่ไหม? ไหนจะลูกสาวของครอบครัวเจ้าแปดเข้าเรียนที่ตี้จิง ก็ถูกหลินอิ่งไม่สนหน้าสนตานั่นกลั่นแกล้งรังแกเหมือนกันใช่ไหม? แถมยังตบหน้าเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เมืองก่างด้วย?”
ไอ้เฉียน พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา”ลูกเขยไร้ค่าของพวกเธอ มีเรื่องอีกตั้งมากมายฉันก็ขี้เกียจจะพูดถึงแล้ว หลินอิ่งนั่นก็เป็นพวกที่เกาะผู้หญิงกิน ไม่ใช่แค่พึ่งพาอาศัยฉีโม่เท่านั้น แถมยังจะไปหาผู้หญิงคนอื่นข้างนอกอีก ไร้อนาคตสิ้นดี”
“เธอคิดว่าคนของตระกูลลู่น่ากลั่นแกล้งนักหรือไง? ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห ครั้งหน้าฉันจะจับหลินอิ่งนั่นเอาไว้ ฉันจะให้มันมาขอโทษคนของตระกูลลู่ของพวกเราทีละคนให้ได้เลย”
สามีของลู่ฉ่ายเชีย ไอ้เฉียน อยู่ที่อำเภอเจียงเยว่อำเภอเล็กๆแห่งนี้ ถือว่าพอจะเป็นเถ้าแก่ที่มีเชื่อเสียงอยู่บ้างเหมือนกัน
อย่างน้อยในสายตาของตระกูลลู่ ก็เป็นบุคคลระดับเถ้าแก่ที่โดดเด่นไม่ธรรมดา มีอำนาจในการพูด เวลาในตระกูลมีเรื่องอะไรไปหาเขาก็สามารถจัดการได้
เมื่อก่อน หลังจากที่คนของตระกูลลู่ไปยั่วยุท้าทายหลินอิ่งที่เมืองชิงหยูน หลังจากที่ท้าทายหลินอิ่งที่ตี้จิง กลับมาที่ตระกูลแล้วก็พูดสาดน้ำมันใส่ไฟ มาฟ้องร้องเรียนกับไอ้เฉียน เถ้าแก่คนนี้นี่แหละ
“ลุง!คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว!หลินอิ่งไม่ใช่คนแบบที่พวกเขาพูดกัน!”จางฉีโม่สีหน้าโกรธเล็กน้อย พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา”ฉันไม่อยากให้พวกคุณพูดให้ร้ายเขาแบบนี้อีก”
ต่อให้เธอไม่อยู่ด้วยกันกับหลินอิ่ง แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะได้ยินคนอื่นพูดให้ร้ายหลินอิ่งเหมือนกัน
“ให้ร้าย? หรือว่าคนมากมายขนาดนี้กำลังพูดโกหกอยู่อย่างนั้นหรือไง?”ไอ้เฉียนมองจางฉีโม่ด้วยสีหน้าดูไม่ค่อยดี”ฉีโม่ อย่าหาว่าฉันไม่ไว้หน้าเธอเลย หลินอิ่งนั่น ขอแค่กล้ามาอำเภอเจียงเยว่ ฉันก็ต้องให้มันมาขอโทษต่อหน้าให้ได้ว่ามันไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้น”
จางฉีโม่สีหน้ายิ่งดูไม่ดีขึ้นไปอีก พูดขึ้น”ลุง ฉันหวังว่าคุณจะเคารพฉันสักหน่อย อย่ามาวิพากษ์วิจารณ์หลินอิ่งว่าถูกหรือผิดต่อหน้าของฉัน”
“อ๋อ? ฉีโม่ นี่เธอกำลังปกป้องไอ้ผู้ชายไร้ค่าคนนั้นอยู่เหรอ?”ไอ้เฉียนสบถหึออกมาอย่างเย้ยหยัน”ได้ยินมาว่าเธอหย่ากับมันแล้วไม่ใช่เหรอ? ยังยุ่งกับผู้ชายแบบนั้นอยู่อีก?”
“ใช่ ฉีโม่ เธอจะโมโหขนาดนี้ทำไม? ที่ลุงของเธอพูดแบบนี้ ก็หวังดีต่อเธอนะ รู้ไหม”ลู่ฉ่ายเชียพูดประนีประนอม
“ใช่แล้ว ฉีโม่หย่ากับหลินอิ่งแล้วไม่ใช่เหรอ”ลู่ฉ่ายเชียแสร้งทำเป็นท่าทางที่จู่ๆก็ตอบสนองกลับมา มองไปยังลู่หย่าฮุ่ย พูดเปลี่ยนเรื่อง”ถ้าอย่างนั้นหย่าฮุ่ยเอ๋ย เธอบอกว่าหลินอิ่งมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แล้วหย่าทำไมล่ะ?”
“เอ่อ……”ลู่หย่าฮุ่ยหยุดพูดไป ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา
“สรุปก็คือหลินอิ่งไร้ค่าเกินไป ถูกครอบครัวของพวกเธอไม่เห็นอยู่ในสายตา นี่เป็นสิ่งที่เธอบอกมาเองนี่”ลู่ฉ่ายเชียพูดเยาะเย้ยขึ้นมาต่อ”ไม่อย่างนั้น มันก็อาจจะเป็นคุณชายใหญ่อะไรนั่นของตี้จิงจริงๆ ก็เลยไม่เห็นพวกเธออยู่ในสายตาสินะ?”
“ฉันว่านะ หย่ากันไปแล้ว ก็ไม่ต้องเอาหลินอิ่งมากู้หน้ากู้ตาให้แล้ว”ลู่ฉ่ายเชียพูดล้อเล่น”ถ้ามีความสามารถจริงๆ ก็ให้มันมาที่อำเภอเจียงเยว่สักหน่อยสิ หลายปีขนาดนี้ หย่าฮุ่ยเธอก็ไม่เคยกล้าให้ลูกเขยไร้ค่านั่นกลับบ้านมาเลยสักครั้ง เพราะรู้สึกละอายใจ กลัวว่าจะขายขี้หน้าไม่ใช่หรือไง?”
ลู่ฉ่ายเชียพูดจาเสียดสีเยาะเย้ยสุดๆ โจมตีครอบครัวของจางฉีโม่อย่างไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย
“ฉันไม่กินแล้ว”
จางฉีโม่ฟังต่อไปไม่ได้แล้ว วางจานตะเกียบลง ลุกขึ้นยืนอย่างแรง เดินออกประตูไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง